ข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐ ฯ กับ จีนยังไม่ทันได้ข้อสรุปดี ดันมีประเด็นใหม่ที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า “ระดับโลก” ให้ติดตามกันอีกคู่สำหรับข้อพิพาทระหว่างญี่ปุ่น และ เกาหลีใต้ ที่ทางรัฐบาลญี่ปุ่นนั้นได้ออกมาประกาศมาตราการควบคุมการส่งออกวัตถุดิบสำคัญสำหรับธุรกิจเทคโนโลยี โดยดึงเกาหลีใต้ออกจากลิสต์สิทธิประโยชน์ เล่นเอาบริษัทเทค ฯ ชั้นนำอย่าง Samsung | LG | Sony ออกอาการนั่งไม่ติดไปตาม ๆ กัน
ความขัดแย้งเรื่องการเยียวยาแรงงานทาส ยุคสงครามโลก เป็นชนวน
งานนี้ต้องต้องเท้าความกันเบา ๆ ไปถึงความขัดแย้งของ 2 ชาตินี้ ที่พวกเราอาจนึกไม่ถึงหรือลืมไปแล้ว หากมองภาพปัจจุบันที่ต่างก็เป็นชาติระดับพัฒนาแล้วอันเป็นที่เชิดหน้าชูตาของทวีปเอเชียกันทั้งคู่ แต่ความขัดแย้งนั้นมีมาช้านานตั้งแต่สมัยสงครามโลกทั้งครั้งที่ 1 และ 2 กินเวลายาวนานกว่า 30 ปีที่เกาหลีใต้อยู่ภายใต้อาณานิคมของญี่ปุ่นในยุคต้นของศตวรรษที่ 19 (1910 – 1945) และเกิดข้อครหามากมายว่ากลุ่มชนชั้นแรงงานของเกาหลีใต้ ถูกใช้งานเยี่ยงทาสถึงขั้นเจ็บป่วยล้มตาย เพื่อเป็นกำลังการผลิตสำคัญให้อุตสาหกรรมหนัก-เบาทั้งหลายของญี่ปุ่นในสมัยนั้น
จึงเป็นที่มาให้ทางเกาหลีใต้มีการรื้อคดีความเรื่อง ค่าชดเชยของแรงงานในสมัยสงครามโลกที่ญี่ปุ่นต้องจ่ายให้กับครอบครัวปัจจุบันของผู้ได้รับผลกระทบในสมัยนั้น ถึงแม้ทางรัฐบาลญี่ปุ่นจะออกมาประกาศชัดว่า ได้ทำการเยียวยากันไปแล้วตั้งแต่จบสงครามโลกกว่า 800 ล้านเหรียญ (ราวๆ 24,660 ล้านบาท) แต่เกาหลีใต้เองก็ตอบโต้ทันควันว่า ข้อตกลงระหว่างรัฐไม่ได้ช่วยเยียวยาให้กับประชาชนของพวกเขาได้ดีพอ โดยเฉพาะในรายบุคคล
ซึ่งเมื่อช่วงปลายปี 2018 ที่ผ่านมาคดีกลุ่มนี้จึงถูกรื้อกลับเข้ามาพิจารณากันอีกครั้ง โดยมีคดีของแรงงานของบริษัท Nippon Steel & Sumitomo Metal Corporation ในประเทศเกาหลีใต้ช่วงสงครามโลกเป็นคดีตัวอย่าง ตามมาด้วยบริษัทอีกจำนวนมากมายของญี่ปุ่นที่กำลังถูกกดดันให้จ่ายเงินชดเชยจำนวนมหาศาล ส่งผลให้ความสัมพันธ์ของ 2 ประเทศเริ่มออกอาการไม่ดีอีกครั้งนึง ตั้งแต่เข้าสู่ปี 2019 เป็นต้นมา
ญี่ปุ่นดึงเกาหลีใต้ออกจาก Whitelist ยกเลิกสิทธิประโยชน์ส่งออกวัตถุดิบไฮเทคสำคัญหลายชนิด
อาการทรง ๆ กันมาได้ร่วมครึ่งปี รัฐบาลญี่ปุ่นก็ออกมาแจกเซอร์ไพรส์เบอร์ใหญ่เวอร์ (เซอร์ไพรส์กว่าทรัมป์เข้าพบท่านผู้นำคิมจองอึนเสียอีก) ณ วันที่ 1 กรกฎาคม ที่ผ่านมา โดยประกาศดึงเอาเกาหลีใต้ออกจากบัญชีขาว (Whitelist – รายการบัญชีประเทศคู่ค้าสำคัญที่ได้รับการผ่อนปรนระดับสูงสุดในการนำเข้า-ส่งออกสินค้าและวัตถุดิบสำคัญกับญี่ปุ่น) ส่งผลให้มาตรการควบคุมตามปกติจะถูกนำมาบังคับใช้กับบริษัทในเกาหลีใต้ด้วย
ผลกระทบของมาตรการควบคุมการส่งออก (Export Controls)
- สารเคมีสำคัญ 3 ชนิด ตกไปอยู่ในรายการส่งออกแบบเข้มงวด | ต้องมีการขออนุญาตทุกครั้งที่มีการส่งออก และใช้เวลา 90 วัน
- Fluorinated Polyimide (หน้าจอแสดงผล)
- Photosensitising Agent Resist (ชิปประมวลผล)
- Hydrogen Fluoride (สารกึ่งตัวนำ)
- กำลังพิจารณาขยายขอบเขตรายการควบคุมไปยัง ชิ้นส่วนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำเร็จรูปอื่นๆ รวมไปถึงวัตถุดิบที่อาจใช้ได้กับเทคโนโลยีทางการทหาร
ทางรัฐบาลญี่ปุ่่นให้เหตุผลของการออกมาตรการนี้ว่า ความน่าเชื่อถือของเกาหลีใต้ต่อนานาชาตินั้นลดลง พร้อมยอมรับชัดเจนว่า นี่คือมาตรการตอบโต้ทางการทูตต่อข้อเรียกร้องของเกาหลีใต้ที่มีต่อบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นในประเด็นของแรงงานจากยุคสงครามโลก พร้อมเผยอีกว่าความสัมพันธ์และความไว้วางใจระหว่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้นั้นถูกคุกคามอย่างชัดเจน และต้องเกิดการทบทวนกันใหม่อีกครั้งนึง
จากการวิเคราะห์ของสำนักข่าว Reuters นั้นพบว่า บริษัทสัญชาติญี่ปุ่น และร่วมทุนญี่ปุ่น นั้นถือครองสารเคมีสำคัญทั้ง 3 ชนิดของโลกอยู่เป็นจำนวนมาก โดยมี Fluorinated Polyimide และ Photosensitising Agent Resist อยู่ชนิดละ 90% ของโลก นอกจากนั้นแล้วบริษัท Stella Chemifa Corp ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนญี่ปุ่น-เกาหลีใต้ เป็นผู้ผลิต Hydrogen Fluoride รายใหญ่ที่สุดอยู่ที่ 70% ของทั้งตลาดเลยทีเดียว
บริษัทเทค ฯ เกาหลี (Samsung อีกแล้ว) งานเกิด! ส่วนของญี่ปุ่นอาจเจอ Boycott
ฝั่งเกาหลีคือเดือดร้อนสุด ๆ โดยเพราะสารกึ่งตัวนำ หรือ Semiconductor นั้นนับเป็นมูลค่ากว่า 20% ของมูลค่าการส่งออกรวมของทั้งประเทศ ซึ่งทั้ง Samsung และ SK Hynix ต่างก็เป็นผู้ผลิตอันดับต้น ๆ ของโลก ส่วนชิปประมวลผลนั้นแค่ Samsung ลำพังก็ครองส่วนแบ่งการตลาดของทั้งโลกกว่า 40% แล้ว แถมในกลุ่มสินค้าประเภทหน้าจอแสดงผลนั้น ชื่อแรก ๆ ที่ต้องนึกถึงก็จะมี Samsung กับ LG นี่แหละ งานนี้แน่นอนเลยว่าพี่ใหญ่ของเรา Samsung Electronics เจ็บตัวมากที่สุดทั้งขึ้นทั้งล่อง ล่าสุดหุ้นก็ร่วงนำไปก่อนแล้วเกือบ 1% ในวันเดียวให้หลังจากการออกมาตรการนี้ของญี่ปุ่น
ส่วนญี่ปุ่นเองก็ใช่ว่าจะลอยตัว เพราะว่าผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชั้นนำหลายรายก็ต้องใช้ซัพพลายชิ้นส่วนจากฝั่งเกาหลีเช่นกัน เห็นภาพง่าย ๆ สุดก็ Sony | Sharp ที่ต่างก็ต้องใช้ผลิตภัณฑ์เช่น Memory Chip | Semiconductor ซึ่งเคสแบบนี้อาจทำให้ราคาแพงขึ้นเช่นกัน นอกจากนั้นแล้วอาจเดือดร้อนไปถึงการถูกบอยคอตต์โดยผู้บริโภคชาวเกาหลีอีกด้วย โดยล่าสุดมีรายงานว่าเกิดการเข้าชื่อกันในแคมเปญจ์บอยคอตต์งดบริโภคสินค้าสัญชาติญี่ปุ่น เช่น Mitsubishi | Sony | Toyota เกินกว่า 17,000 รายแล้ว
ทางรัฐบาลเกาหลีใต้เองได้ออกมาให้ความเห็นตอบโต้เป็นที่เรียบร้อยแล้วว่า “การกระทำของญี่ปุ่นนั้น ไม่เป็นธรรมและขัดต่อข้อตกลงขององค์การการค้าโลก (WTO)” พร้อมประกาศจะนำเรื่องนี้ขึ้นเสนอต่อ WTO ให้เป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยต่อไป อย่างไรก็ดี ทางเกาหลีใต้เองกำลังพิจารณาถึงมาตรการตอบโต้อยู่เช่นกัน เพราะหากต้องรอพึ่ง WTO เองอาจใช้เวลานานและไม่ทัน งานนี้ต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิดต่อไปว่า จะจบไม่ลงแบบสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ กับ จีนหรือไม่…
อ้างอิง: Reuters | Nikkei Asian | Japan Today
ความวัวไม่ทันหาย …
ถ้าตกลงกันไม่ได้นี่ เศรษฐกิจโลกเตรียมตัวกันได้เลย
สงสารก็แต่ Samsung ผู้ที่อยู่นิ่งๆ แต่ประเทศมีอะไรพี่แกก็โดนด้วยตลอด
ขนาด Apple ยอดตกยังโดนหางเลข
ปัญหาเยอะดีแท้ 🙂 🙂
samsung ธุรกิจใหญ่โตจนกลายเป็นฟันเฟืองของเศรฐกิจโลกไปซะแล้ว พอเฟืองตัวไหนมีปัญหาก็ส่งผลกระทบหมด
ผลของการเอาเศรษฐกิจไปผูกกันทั่วโลก ถ้าบ้านเรานำเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ได้จริงๆ คงไม่ต้องกังวลอะไรมาก
เกมไฟต์บังคับทั้งๆที่ไม่ได้อยากชกกัน
เกาหลี,ญี่ปุ่นมีศัตรู(ทางเศรษฐกิจ)ร่วมกันคือจีน มีพันธมิตรร่วมกันคืออเมริกา
แต่ทั้งสองคนดันแข่งกันเอง สู้กันเองด้วย อย่างที่เห็นพวกสินค้าคอนซูมเมอร์
ตอนนี้เกาหลีตีกินญี่ปุ่นไปเรื่อยๆ ญี่ปุ่นทะยอยล้มไปเรื่อยๆ จะอยู่เฉยก็คงไม่ไหวแล้ว