ทุกวันนี้เมื่อเราเข้าสู่โลกออนไลน์ ความหยาบคายและการรุนแรงใส่กันกลายเป็นเรื่องปกติที่พบเห็นกันในทุกวัน และการจะบอกว่าการกระทำใด เป็นเรื่องที่ควรทำ หรือไม่ควรทำ ก็ไม่เคยมีความชัดเจน จากการที่บ้านเรายังไม่เคยมีตกลงแนวทางปฎิบัติร่วมกันบนโลกออนไลน์ และกลายเป็นหนึ่งในปัญหาที่ทำให้เกิดการไซเบอร์บูลลี่ขึ้น ซึ่งวันนี้ทางดีแทคได้ร่วมมือกับทีมต่างๆ จัดกิจกรรมระดมสมองเพื่อสร้างบรรทัดฐานนี้ขึ้นมา พร้อมเปิดให้ทุกคนเข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็นกันได้อย่างเต็มที่
#ให้ไซเบอร์บูลลี่จบที่รุ่นเรา คือ แคมเปญที่ว่านี้ และต้องการให้ทุกคน โดยเฉพาะเหล่าวัยรุ่น Gen Z ที่ได้รับผลกระทบจากการ Bully มากที่สุด เข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างข้อตกลงร่วมกันนี้ ผ่านแฟลตฟอร์มรูปแบบ JAM Ideation ที่ได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ซึ่งกิจกรรมนี้จะจัดขึ้นเป็นเวลา 72 ชั่วโมงเท่านั้น ตั้งแต่วันที่ 25 มิถุนายน เวลา 20.00 น. ถึงวันที่ 28 มิถุนายน เวลา 20.00 น. โดยข้อเสนอแนะทั้งหมด จะกลายเป็นแก่นตั้งต้นของการแลกเปลี่ยนมุมมอง ในคอมมูนิตี้บนโซเชียลมีเดียระหว่างคนทุกเพศวัย ระหว่างวันที่ 3-5 กรกฎาคมอีกครั้ง จากนั้นทีมงานก็จะนำข้อสรุปที่ได้ทั้งหมด จัดทำเป็น Playbook นำไปยื่นแก่หน่วยงานภาครัฐและองค์กรที่ห่วงในในประเด็นไซเบอร์บูลลี่ และกำหนดแนวทางปฎิบัติในสังคม รวมถึงกฎหมาย ให้มีความเทียบเท่านานาชาติต่อไป
- 25 – 28 มิถุนายน : JAM Ideation แลกเปลี่ยนความคิดเห็น
- 3 – 5 กรกฎาคม : นำหัวข้อไปถกกับเหล่ากูรูหลากหลายวงการคนนำความคิดทางสังคม
- สรุปผล Stop Cyberbullying Playbook และเผยแพร่
โดย 3 ประเด็นหลักของการไซเบอร์บูลลี่ ที่จะถูกพูดถึง ได้แก่
- การเหยียดรูปร่างหน้าตา (Body Shaming)
- การเหมารวมและอคติทางเพศ (Gender Inequality)
- การกล่าวล่วงละเมิดทางเทศ (Sexual Harassment)
ใครที่สนใจสามารถเข้าร่วมระดมความคิดเห็นกันได้ที่ www.safeinternetlab.com/brave
ปล. ดีแทคได้ริเริ่มโครงการ dtac Safe Internet มาจนถึงปัจจุบันเป็นปีที่ 7 แล้ว โดยปีนี้เล็งขับเคลื่อนเชิงนโยบาย (Policy Drive) ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม มีการร่างและพัฒนาหลักปฎิบัติและมาตรฐานการกำกับดูแลปัญหาการกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ที่เกิดขึ้นรุนแรงขึ้นทุกวัน อ้างอิงข้อมูลจากงานวิจัย พบว่าโซเชียลมีเดียประกอบไปด้วยข้อความที่สร้างความเกลียดชังถึง 39 ข้อความต่อนาที และพบการเกิดขึ้นของปัญหาในสถานศึกษา และเพื่อนมักเป็นผู้กระทำมากที่สุด
ยากกว่าคิดค้นทฤษฎีสัมพันธภาพของไอสไตน์อีก เหมือนเคสอยากให้โลกนี้ไม่มีสงคราม ไม่มีความเหลื่อมล้ำ T-T
เป็นไปไม่ได้ เมือมนุษย์ยังแยกแยะความแตกต่างได้ เพราะมนุษย์กลัวสิ่งที่แตกต่างออกไปโดยสัญชาตญาณ
สิ่งนี้เลยเป็นสิ่งเร้าให้เกิดพฤติกรรมตอบสนองต่างๆ หลายๆครั้งมาให้รูปแบบการบูลี่ สิ่งที่แตกต่าง
ควรสร้างค่านิยมใหม่ "แตกต่างคือความสวยงาม" ทำให้คนทีแตกต่างรู้สึกดี มากกว่ารู้สึกแย่
(จริงๆก็มีอยู่แล้วคือความสวย..หล่อ ถูกมองไปทางข้อดี คนที่แตกต่าง(สวยหล่อ)เลยรู้สึกดี(กว่าคนหน้าตาธรรมดา))
และก็อีกเช่นกันคนที่สวย หล่อ ก็จะบูลี่คนไม่สวยไม่หล่อ
สรุป วนลูปไปไม่จบ ไม่สิ้น แก้ไม่ได้ครับปัญหานี้
สิ่งทีควรคิดและพอจะช่วยได้ คือ กรบวนการ รักษาจิตใจของคนที่ถูกบูลลี่ ต้องฮิลตัวเองให้ได้ ครับก็เท่านั้น
ปัญหานี้เกิดจากกการว่างงานครับ สังเกตง่ายๆ ถ้างานเยอะยุ่งๆจะไม่ค่อยหื่น ไม่มีอารมย์ ถ้าว่างๆ มีเวลา ก็จะส่องไปเรือยจินตนาการก็มา อาการหืนก็มา ถ้างานเยอะจนไม่มีเวลา เอาเวลาไปนอนดีกว่าเหนือย
ผมห้ามคนไม่ให้ bully คนอื่นไม่ได้
แต่ผมสอนลูกผมให้เพิกเฉยต่อการถูก bully และไม่ไป bully คนอื่นได้
สมัยผม เรียนม.ปลาย (เป็น ปวช) ยิ่งนิ่งยิ่งหนัก
สุดท้ายผมเลยไปเข้าทีมกีฬา มันไม่มีที่พึ่งจริงๆ ทั้งอาจารย์และพ่อแม่
ถือไม้เบสบอล ผมเข้าทีมซอฟท์บอลโรงเรียนตอนนั้น
เดินออกนอกโรงเรียน หาคนแกล้งยากเลยตอนหลัง สมัยก่อน ยัง BULLY แบบถึงเนื้อถึงตัว
เป็นคนที่เล่นโซเชียลยามว่างตลอด เอาจริงๆเพจที่สิงๆมาการเหยียดสภาพร่างกาย เหยียดเพศ ใช้คำพูดคุกคามทางเพศ
ผมว่าเจอน้อย แต่ที่เจอบ่อย เจอประจำคือการพูดจาเหยียดเสียดสีความเห็นที่ไม่ตรงกัน พูดเหยียดคนที่ตอบผิด อันนี้เยอะมาก
เอาแค่เพจ droidsans ยังมีเป็นระยะๆเลย แบบติ่งค่ายโจมตีกันด้วยคำพูด แทนที่จะใช้เหตุผลและข้อมูลมานำเสนอ สนทนากันดีๆ
เช่นกระทู้เรื่องมือถือ มีคนแสดงความเห็นว่ามือถือรุ่นนี้ไม่ดีตรงจุดนี้ อีกคนไม่เห็นด้วย แทนที่จะเอาข้อมูลมาแย้งแบบดีๆ
ก็เข้ามาตอบโจมตีไปที่ตัวคนตอบเลยเช่น ทำไมโง่จัง ไม่น่าเกิดมาเลย บลาๆๆ
ทางแก้คือแอดมินต้องเข้าไประงับเหตุอย่างยุติธรรมเสมอหน้า มีระบบการตัดคะแนน การพักID หรือการแบน ID
ปลูกฝังจิตสำนึก มันต้องลงไปที่สถาบันครอบครัว
ถ้าผู้ปกครองคอยแนะนำลูกหลานได้ เรื่องพวกนี้จะเริ่มลดลง
แต่ความจริง คือผู้ปกครองเป็นตัวอย่าง และไม่เอาใจใส่เข้ามาดูเรื่องพวกนี้
บลูลี่เหมือนไวรัสโควิต ที่เราไม่สามารถไปฆ่าไวรัสทุกตัวได้ แต่เราใช้วัคซีนเพื่อให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันแทน
เช่นกัน เรื่องถูกบลูลี่ ไม่สามารถแก้ปัญหาด้วยบอกว่าอย่าบลูลี่ได้ แต่แก้ปัญหาด้วยการสร้าภูมิคุ้มกันให้คนที่ถูกบลูลี่