วันนี้ผมได้ไปเข้าฟังบรรยายในงาน Microsoft Thailand Developer Day ที่ทางไมโครซอฟท์ประเทศไทยได้จัดขึ้นเพื่อให้นักพัฒนา, โปรแกรมเมอร์, Startup, อาจารย์และนักเรียนนักศึกษา ได้เห็นว่าทางไมโครซอฟท์ได้พัฒนาบริการต่างๆ สำหรับการสนับสนุนและอำนวยความสะดวกในการสร้างสรรค์ผลงานด้านเทคโนโลยีไปในทิศทางใดบ้าง พร้อมทั้งมีการบรรยายให้ความรู้ความเข้าใจในเทคโนโลยีที่กำลังมาแรงอีกด้วย และช่วงที่เป็นไฮไลท์ของงานก็คือการที่ CEO ของไมโครซอฟท์ คุณ Satya Nadella ได้ขึ้นพูดด้วย
ภายในงานมีการพูดถึงเทคโนโลยีสุดฮอตที่กำลังมาแรงอย่าง Machine Learning พร้อมทั้งการเดโมการนำแพลตฟอร์ม Azure Machine Learning ไปช่วยในการพัฒนาแอพพลิเคชันได้ มีการพูดถึงการให้บริการ Azure Cloud Platform ที่ขณะนี้เปิดให้นักพัฒนา, กลุ่ม Startup หรือกลุ่มอาจารย์นักเรียนนักศึกษาเข้าไปใช้งานได้ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย
นอกจากนี้แล้วภายในงานก็มีการพูดถึงการพัฒนาแอพพลิเคชันแบบ cross-platform ด้วยการใช้ Xamarin บน Visual Studio ที่ทำให้นักพัฒนาสามารถพัฒนาแอพพลิเคชันด้วยภาษา C# และแปลงให้ใช้งานได้ทั้งบน Windows, Android และ iOS ด้วยการเขียนโค้ดแค่ครั้งเดียว อีกหนึ่งเทคโนโลยีมาแรงอย่าง Internet of Things ก็มีช่วงของตนเองเหมือนกัน โดยเป็นการนำเสนอการใช้ Azure IoT Services ในการเข้ามาช่วยให้พัฒนาได้จำลองสภาพการใช้งานอุปกรณ์ IoT ตลอดไปจนการจัดการกับอุปกรณ์จริงและพัฒนาแอพพลิเคชันขึ้นมาควบคุมได้
ในช่วงหลังมานี้นักพัฒนาทั้งหลายน่าจะสังเกตเห็นว่าไมโครซอฟท์หันมาสนใจกับเทคโนโลยีในกลุ่ม Open Source มากขึ้น พร้อมทั้งสนับสนุนการใช้งานมากขึ้นด้วย ภายในงานจึงมีการบรรยายถึงบริการ Cloud Platform ของไมโครซอฟท์ที่ให้บริการการจัดการระบบ Linux และซอฟท์แวร์ Open Source ต่างๆ อีกหลายรูปแบบ
สำหรับไฮไลท์ของงานนี้ก็คงจะหนีไม่พ้นการขึ้นพูดของ Satya Nadella ผู้ที่เป็น CEO คนปัจจุบันของไมโครซอฟท์ คุณ Satya ได้ทักทายและบอกเล่าว่าจริงๆ แล้วสมัยก่อนเขาเคยมาอยู่เมืองไทยกับคุณพ่อที่ทำงานอยู่ในไทย และได้เริ่มจับ PC เครื่องแรกในกรุงเทพฯ นี่เอง
สิ่งที่คุณ Satya ได้นำเสนอนั้นเป็นการจับประเด็นเรื่องความเป็นไปของเทคโนโลยีในโลกที่กำลังเปลี่ยนไป มีการพูดถึงวิสัยทัศน์ของไมโครซอฟท์ที่ปัจจุบันยึดหลัก Mobile-First, Cloud-First ที่เป็นการพัฒนาให้ผู้คนสามารถใช้งานคอมพิวเตอร์ได้ในลักษณะที่พกพาง่ายยิ่งขึ้นสะดวกขึ้น เป้าหมายของไมโครซอฟท์คือการสร้าง Intelligent cloud platform สำหรับนักพัฒนาให้สามารถนำบริการต่างๆ ของไมโครซอฟท์ไปใช้ได้ ไม่ว่าจะเป็นนักพัฒนาที่มีความถนัดทางภาษาโปรแกรมมิ่งที่ต่างกันไป
Satya บอกว่าในช่วงเช้าเขาได้พบปะกับนักพัฒนาชาวไทยหลายราย ไม่ว่าจะเป็นทีมพัฒนา Semantic Touch, Ookbee หรือ Buzzbees ไปจนถึงทีมนักศึกษาที่ชนะการประมวล Microsoft Imagine Cup ที่สร้างแอพพลิเคชันสำหรับสอนภาษาอังกฤษให้กับเด็กไทยโดนการใช้ Speech Recognition และ Natural Language บนแพลตฟอร์มของไมโครซอฟท์ และแอพพลิเคชันลักษณะนี้แหละที่เป็นผลงานที่ทางไมโครซอฟท์คาดหวังที่จะเห็นจากนักพัฒนาทั่วโลก
ไมโครซอฟท์มีเป้าหมายที่จะพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับการสื่อสารให้ดีขึ้นกว่าเดิม โดยได้นำเสนอบริการใหม่ที่กำลังพัฒนาคือ Conversation as a Service (CaaS) ที่จะจับประเด็นแบ่งเป็นเรื่องการสื่อสารกับผู้คน (People) เช่น Skype, การสื่อสารกับผู้ช่วยส่วนตัว (Digital Assistants) เช่น Cortana และการสื่อสารกับ Bots เช่นการมี Bots มาช่วยให้คนสามารถสื่อสารได้เหมือนการพูดคุยแบบปกติมากขึ้นและคอยรับคำสั่งต่างๆ ได้
เทคโนโลยีที่ไมโครซอฟท์กำลังให้ความสนใจเป็นอย่างมากในตอนนี้คือเรื่องของ HoloLens กับ Augmented Reality ที่จะสร้างโลกที่เป็น Mixed Reality ขึ้นมาให้ของที่เป็นภาพดิจิตอลปรากฏอยู่บนโลกจริงได้ในทุกๆ ที่
คุณ Satya ได้พูดปิดท้ายว่าไมโครซอฟท์ต้องการจะพัฒนาเทคโนโลยีที่เข้าไปช่วยให้คุณภาพชีวิตคนดียิ่งขึ้น สำหรับในตอนนี้ไมโครซอฟท์ได้ร่วมกับองค์กรไม่หวังผลกำไรในไทยเพื่อส่งเสริมให้นักเรียนในพื้นที่ห่างไกลได้เรียนรู้เกี่ยวกับวิทยาการคอมพิวเตอร์และภาษาอังกฤษ และเชื่อว่าจะส่งผลดีเป็นอย่างมากสำหรับเด็กๆ เหล่านั้นครับ
มาในวันที่ไม่มีใครใคร่จะพัฒนาสิ่งต่างๆในแพลตฟอร์มวินโดสว์อีกแล้ว
ในยุคปัจจุบัน สำหรับกลุ่มผู้ใช้ทั่วไปซึ่งเป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุด ดีไวซ์ที่ใช้เป็นหลักคือโมบายล์ซึ่งเป็นตลาดที่ไมโครซอฟต์อยู่ในอาการร่อแร่
ในตลาดพีซีเหลือแต่เกมเมอร์และผู้ที่ใช้พีซีทำงาน
เหมือนกับนักร้องดังๆในอดีต
ที่ตอนดังๆไม่มาไทย แต่จะมาตอนที่เขาเริ่มโรยราแล้ว
อดีต 95 จนถึง 7 ไมโครซอฟต์ เป็นผู้กำชะตาเทคโนโลยีของโลกเอาไว้ ถ้าวินพัฒนาไปในทางที่ดี มันคงทำให้คนส่วนหนึ่งบนโลกไปใช้ชีวิตอยู่ที่ดาวอังคารแล้วแหละ แต่ที่เราได้รับมาคือ ยุคของไวรัสคอมพิวเตอร์ที่ยาวนาน โถ โทษใครไม่ได้ เลือกมันมาเอง
ปัจจุบัน ผู้ใช้ที่เลือกผิดไปสนับสนุน Close Source กลับมาเห็นค่าของ Open Source และพัฒนาขึ้นใช้งานในระดับเซอเวอร์ซี่งก็ไม่แปลก เพราะมันตอบโจทย์หลายอย่าง ทั้งราคาและการคอนฟิค ไมโครซอฟต์ก็ยังคิดไม่ได้ว่าอะไรมันคือใจความสำคัญ ออกวินโดว์กากๆดักทุยผู้ใช้งานดีอันห่วยอัน พร้อมกับพัฒนาเซิร์ฟห่วยๆออกมาและใช้วิธีล็อบบี่ให้ข้าราชการ(ผู้ใช้องค์กร)จำเป็นต้องใช้งานแต่ผลิตภัณฑ์ห่วยๆของบริษัทไปจนกว่ากะลาจะเปิดจริงๆ จุดเด่นคือ Internet Explorer
อนาคต คนเริ่มรู้แล้วว่าอะไรดีจริงๆ ต่างช่วยกันพัฒนา Open Source เฉพาะทาง(ถึงไม่ Open เต็มๆแต่ก็ทำไงได้) จนจับกลุ่มลูกค้าระดับโลกได้ ถึงคราวกากตัวจริงเริ่มสำนึก Microsoft Love Linux ถุยยยย Azure ถุยยย ก่อนหน้าที่คุณทำอะไรไปบ้างเพื่อขัดขา ตอบ!!!
ปล. You R "DeadMan" , But U Dont Know. จบ ขอให้ตายอย่างมนุษย์ละกัน อย่าตายอย่างหมาข้างถนน
ปล.อีก สะใจโว้ย ได้พูดออกไปแล้ว ใครจะด่าเชิญ น้อมรับ ขอโทษที่ใช้คำแรง