เมื่อวันที่ 10 กันยายนที่ผ่านมา Apple ได้เปิดตัวมือถือซีรีส์ iPhone 11 ที่ขนนวัตกรรมใหม่ๆ มาเยอะแยะ ไม่ว่าจะเป็นชิปเซ็ต A13 Bionic ที่แรงที่สุดในตลาดมือถือ และกล้องหลังพร้อมโหมดถ่ายภาพตอนกลางคืน (Night Mode) ที่ตอนนี้มีผู้ใช้งาน Twitter นำภาพที่ถ่ายจาก iPhone 11 ในสภาวะแสงน้อยมาเปรียบเทียบกับ iPhone X ที่ไม่มีฟีเจอร์ดังกล่าวมาให้ดูกันแล้ว

Coco Rocha นางแบบสาวสวยชาวแคนาดา ได้ทวีตรูปภาพเปรียบเทียบระหว่าง iPhone 11 Pro Max และ iPhone X เทียบกันให้เห็นชัดๆ กันไปเลยว่า Night Mode ของ iPhone 11 Pro Max จะมีประสิทธิภาพที่ดีกว่าเดิมแค่ไหน

ผลปรากฎว่า.. รูปทั้งสองมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดย iPhone 11 Pro Max ที่ใช้ Night Mode ถ่ายภาพออกมาได้ดีกว่า iPhone X อยู่หลายขุม ต่างกันราวฟ้ากับเหวเลยจริงๆ ซึ่งโหมดดังกล่าวใน iPhone 11 และ iPhone 11 Pro ก็มีมาให้ใช้เหมือนกันนะ แต่รุ่นที่ต่ำกว่านี้อด.. (หรือไม่แน่ว่า Apple อาจจะใจดีปล่อยอัพเดทให้กับรุ่นเก่ารึเปล่า? อันนี้ก็ต้องรอลุ้นกันต่อไปนะครับ)

เบื้องต้น ผู้ใช้จะยังไม่สามารถเลือกใช้งาน Night Mode ได้ตามใจชอบแบบในสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นนะครับ เพราะ Apple ให้คำอธิบายว่าโหมดดังกล่าวจะทำงานแบบอัตโนมัติทันทีที่ระบบมีการตรวจจับได้ว่าซีนที่กำลังถ่ายอยู่นั้นมีแสงไม่เพียงพอ โดยการทำงานของมันก็คือกล้องจะถ่ายรูปรัวๆ หลายรูปในเวลาเดียวกัน พร้อมกับเปิดใช้งานระบบกันสั่นเพื่อไม่ให้ภาพเบลอจากกล้องที่ไม่นิ่ง จากนั้นก็จะนำซอฟต์แวร์เข้ามาช่วยปรับแต่งการเคลื่อนไหวและเกลี่ย Noise ออกไป เพื่อให้ได้ภาพที่คมชัด

นอกจากนี้ Apple ยังได้โพสต์รูปลงบน Instagram เพื่อสาธิตให้เห็นถึงประสิทธิภาพความสามารถของกล้องแต่ละตัวใน iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max ที่มาพร้อมกับกล้องหลัง 3 ตัว ประกอบไปด้วยเซนเซอร์หลัก Wide, Ultra Wide และ Telephoto ซูมแบบไม่เสียรายละเอียด 2 เท่า ขณะที่ iPhone 11 มีกล้องหลังเพียง 2 ตัว คือ Wide และ Ultrawide

iPhone 11 ทั้ง 3 รุ่นมาพร้อมกับโหมดถ่ายภาพบุคคล (Portrait Mode), Smart HDR เวอร์ชั่นอัพเกรด, Portrait Light และ Deep Fusion นอกจากนี้ยังมี Audio Zoom แบบเดียวกับที่เราว้าวกันตอนงานเปิดตัว Galaxy Note 10 | Note 10+ อีกด้วย ก็น่าแปลกใจว่าทำไม Apple ไม่นำฟีเจอร์นี้มาโชว์ตอนเปิดตัวด้วย

iPhone 11, iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max สามารถจองได้แล้ววันนี้ผ่านทางหน้าเว็บ โดยของจะเริ่มจัดส่งพร้อมวางขายอย่างเป็นทางการหน้าร้านในวันที่ 20 กันยายนที่จะถึงนี้ในประเทศสหรัฐ ฯ และประเทศอื่นๆ อีก 30 ประเทศ ทั้งนี้ก็ยังไม่มีการระบุประเทศออกมา สำหรับประเทศไทย จะนำเข้ามาขายวันไหน ต้องรอติดตามกันต่อไปครับ 🙂

 

ที่มา: macrumours , Coco Rocha