นับตั้งแต่ OPPO Reno รุ่นแรกวางจำหน่ายเมื่อปี 2562 เผลอแค่แป๊บเดียวผ่านมาจะครบ 3 ปีแล้ว จนมาถึง Reno 7 Series 5G ในปัจจุบัน ซึ่งถือเป็นการเดินทางที่รวดเร็วมาก ๆ โดย OPPO ได้เปิดตัวออกมาแล้ว 2 รุ่น ได้แก่ OPPO Reno 7 5G และ Reno 7 Pro 5G ในขณะที่ Reno 7 Z 5G กำลังจะตามมาสมทบอีกในไม่ช้า เตรียมสานต่อความเป็น The Portrait Expert ระเบิดดวงไฟโบเก้ ราวกับใช้กล้อง DSLR ในราคาที่ย่อมเยากว่าเดิม

ต้องบอกว่า กว่าที่ OPPO จะได้รับการยอมรับในแง่ของความเป็นสมาร์ทโฟนสายพอร์เทรตนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่ได้เกิดขึ้นเพียงแค่ชั่วข้ามคืน สิ่งนี้คงไม่เกิดขึ้นหากปราศจากการตกผลึกทางความคิด ประสบการณ์ และเทคโนโลยีที่บริษัทฯ ได้สั่งสมมานานก่อนจะมาเป็น OPPO Reno 7 Series 5G ดังคำกล่าวที่ว่า กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จภายในวันเดียว

โดดเด่นเรื่องเซลฟีมาตั้งแต่สมัย OPPO F1 Series

จุดเริ่มต้นเกี่ยวกับการถ่ายภาพพอร์เทรตของ OPPO หากจะพูดถึงจริง ๆ คงต้องข้ามฟากย้อนกลับไปตั้งแต่สมัย OPPO F1 Series เมื่อปี 2559 นู่นเลย เพราะเป็นรุ่นที่มีการใส่โหมด Beauty มาให้ใช้งาน จากนั้นเมื่อเทคโนโลยีเริ่มก้าวหน้าขึ้น ชิปเซตทรงพลังขึ้น โหมดนี้จึงได้ถูกต่อยอดโดยผสานเข้ากับขุมพลังของปัญญาประดิษฐ์ กลายเป็น A.I. Beauty ใน F5 Series ซึ่งระบบจะมีความสามารถในการรับรู้และทำความเข้าใจกับสีผิว โครงหน้า อายุ หรือแม้กระทั่งเพศ ทำให้สามารถถ่ายภาพพอร์เทรตได้สวยงามเป็นธรรมชาติกว่าเดิม และยังคงพัฒนาต่อไปอีกเรื่อย ๆ หลังจากนั้น


OPPO F11 Pro

จาก Selfie Expert สู่ The Portrait Expert

ถ้าถามถึงรุ่นที่เป็นที่จดจำมากในตระกูลนี้คงหนีไม่พ้น OPPO F11 Pro พี่ใหญ่ใน F11 Series จากการนำดีไซน์ Panoramic Screen หน้าจอเต็มผืนโดยการใช้กล้องเซลฟีป็อปอัป Rising Camera แบบเดียวกับ Find X มาใช้งาน และดีไซน์นี้ได้ถูกส่งต่อไปยัง Reno รุ่นแรกในภายหลัง


OPPO Reno 10x Zoom

นอกจากนี้ OPPO F11 Pro ยังถือเป็นก้าวแรกของการเปลี่ยนผ่าน จาก Selfie Expert สู่ The Portrait Expert อย่างเต็มตัว โดยมีการยกระดับฮาร์ดแวร์กล้อง ขยายขนาดเซนเซอร์ภาพเป็น 1/2.25 นิ้ว บนความละเอียด 48MP และเพิ่มขนาดรูรับแสงของเลนส์หลักเป็น f/1.6 เมื่อรวมเข้ากับเทคโนโลยี Pixel Binding รวมพิกเซล 4 จุดเล็กเข้าด้วยกันเป็น 1 จุดใหญ่ ทำให้ประสิทธิภาพการถ่ายภาพ F11 Pro ถูกอัปเกรดขึ้นอย่างมากในทุกสภาพแสง ไม่เว้นแม้แต่ในที่แสงน้อย

นับตั้งแต่ตรงนี้เป็นต้นมา เพื่อน ๆ จะเห็นถึงเทคโนโลยีและฟีเจอร์การถ่ายภาพเจ๋ง ๆ จาก OPPO หลายอย่าง ยกตัวอย่างเช่น


AI Color Portrait

OPPO Reno4 : สร้างลูกเล่นเก๋ ๆ ให้กับการถ่ายภาพและวิดีโอในโหมด AI Color Portrait ดูดสีฉากหลังออกจนเหลือแต่สีขาวดำ โดยยังคงสีสันของตัวแบบเอาไว้ตามเดิม ช่วยให้ตัวแบบดูโดดเด่นและน่าสนใจขึ้นทันตาเห็น


OPPO Reno5 5G

OPPO Reno5 Series 5G : มีฟีเจอร์ AI Mixed Portrait ใส่เข้ามาเป็นครั้งแรก โดยจะเป็นการซ้อนวิดีโอ 2 คลิปเข้าด้วยกัน สร้างสรรค์เป็นผลงานสุดครีเอตได้มากมายตามแต่จินตนาการของผู้ใช้งาน คล้ายกับเทคนิคการถ่ายภาพแบบ Multiple Exposure


AI Mixed Portrait

อย่างไรก็ตามฟีเจอร์ AI Mixed Portrait ของ OPPO นั้นง่ายดายกว่านั้นมาก เพราะปัญญาประดิษฐ์คิดแทนให้แทบทั้งหมดแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังมีโหมด Dual View Video ถ่ายวิดีโอจากกล้องหน้าและกล้องหลังพร้อมกันได้ในคราวเดียว โดยใจ Vloger ไปเต็ม ๆ


OPPO Reno6 Z 5G

OPPO Reno6 Series 5G : สุดท้าย…แต่ไม่ท้ายสุด กับโหมด Bokeh Flare Portrait ที่เพื่อน ๆ ได้เห็นกันไปเมื่อช่วงปลายปี 2564 ที่ผ่านมานี่เอง โดยเป็นการเรนเดอร์โบเก้แบบสมจริงราวกับถ่ายวิดีโอด้วยกล้องโปรก็ไม่ปาน ความเจ๋งอีกอย่างหนึ่ง คือ มันสามารถใช้งานพร้อมกับเปิดโหมด Beauty ได้ด้วยนะ


Bokeh Flare Portrait

เกี่ยวกับเรื่องพอร์เทรตทั้งหมดทั้งมวลที่หยิบยกมาพูดนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งในความโดดเด่นของสมาร์ทโฟนจาก OPPO เท่านั้น แต่จริง ๆ แล้วยังมีอีกหลายอย่างที่น่าสนใจไม่แพ้กัน


OPPO Reno7 Z 5G

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ OPPO Reno7 Z 5G ที่กำลังจะเผยโฉม เช่น งานดีไซน์ OPPO Glow ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว พร้อมไฟ LED รอบวงแหวนกล้องสุดจ๊าบที่เรียกว่า Orbit Breathing Light และเทคโนโลยี SUPERVOOC ชาร์จไว 33W เป็นต้น ตามที่ DroidSans พรีวิวให้ดูเรียกน้ำย่อยล่วงหน้ากันไปแล้ว (ถ้าใครยังไม่ได้ดูก็ไปรับชมกันได้ตามคลิปด้านล่าง)

Play video

แม้ OPPO Reno7 Z 5G จะเป็นน้องเล็กของ Reno7 Series 5G แต่ความเป็น The Portrait Expert ยังคงจัดเต็มเหมือนเดิม ใส่มาให้แบบครบ ๆ เหมือนกับ Reno7 5G และ Reno7 Pro 5G ทั้ง Bokeh Flare Portrait, AI Color Portrait, Selfie HDR รวมถึง Portrait Retouch ที่ปรับแต่งใบหน้าในภายหลังได้ละเอียดยิบ ๆ ตั้งแต่โครงหน้ายันขอบตากันเลยทีเดียว


OPPO Reno7 5G และ Reno7 Pro 5G

แจ้งให้ทราบกันอีกทีว่า OPPO Reno7 Z 5G จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทยวันที่ 3 มีนาคม ส่วนจะมีราคาเท่าไหร่นั้น ให้รอติดตามไปพร้อม ๆ กันได้เลยครับ