มือถือแบรนด์อินดี้ตอนนี้ถ้าให้นับจริงๆ อาจจะเหลือแค่ OnePlus เพียงเจ้าเดียวแล้ว (Xiaomi ตอนนี้บุกตลาดทั่วไป ซอยรุ่นกันสุดๆ) ล่าสุดก็เพิ่งออกรุ่นอัพเกรดอย่าง OnePlus 5T ที่ droidsans จะมาพรีวิวกันในวันนี้นั่นเอง

อย่างนึงที่เปลี่ยนไปของ OnePlus จากวันแรกมาจนถึงปัจจุบันคือเรื่องของราคา ที่ขยับขึ้นมาทีละนิดๆ อย่าง OnePlus 5T รุ่นรือธงปลายปีในมือเรานี่ก็มีราคาเริ่มต้นที่ 17,000-18,000 บาทแล้ว ถ้าเทียบสเปคแล้วยังถูกกว่ารุ่นท็อปของค่ายบิ๊กเนมอย่าง Samsung Sony Huawei HTC LG ก็จริง แต่ถ้าเทียบกับ Xiaomi แล้วก็ถือว่าแพงกว่า แม้ในรุ่นแรกๆ จะมีราคาสูสีกัน

แต่ถ้าพูดถึงเรื่องของคุณภาพงานประกอบ, Oxygen OS, กล้อง, ความรวดเร็วในการอัพเดท ถือว่า OnePlus นั้นเดินมาได้ถูกทางมากๆ

กล่องของ OnePlus 5T นั้นยังทำมาสวยงาม วัสดุดีเหมือนเดิม ภายในจัดเรียงช่องเอาไว้เรียบร้อย

หม้อแปลงที่แถมมาก็เป็น DashCharge อัดประจุไว จ่ายไฟสูงสุดที่ 5V 4A หรือสูงสุด 20W กันเลย ไม่เหมือนบางค่ายที่เครื่อง 3-4 หมื่น ยังกั๊กสายชาร์จ ให้มาแค่ 5V 1A ก็ได้เหรอ (ไม่เอา ไม่แซะ)

ส่วนสายที่แถมมาให้ก็มีแค่ USB C เส้นเดียว

เข็มจิ้มถาดซิมจะอยู่ที่ด้านล่างของช่องเก็บคู่มือการใช้งาน

ในกล่องแถมเคสซิลิโคนสีดำใสสวยงาม งานดี เนื้อหนา ใส่ไปแล้วไม่เสียทรงง่ายๆ

ส่วนหน้าจอตัวเครื่องนั้นติดฟิล์มมาให้เรียบร้อยตั้งแต่ในกล่อง แถมยังเป็นฟิล์มแบบลดรอยนิ้วอีกต่างหาก งานนี้เรียกว่าครบ

สเปค OnePlus 5T

  • หน้าจอ: Optic AMOLED 6 นิ้ว ความละเอียด Full HD+ 1080 x 2160 พิกเซล
  • CPU: Qualcomm Snapdragon 835
  • GPU: Adreno 540
  • RAM: 6 / 8 GB
  • หน่วยความจำภายใน: 64 / 128 GB
  • กล้องหลังคู่: 16MP f/1.7 + 20MP f/1.7 Dual LED Flash
  • กล้องหน้า: 16MP f/2.0
  • การเชื่อมต่อ:
    • Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac
    • Bluetooth 5.0 aptX & aptX HD
    • GPS, GLONASS, BeiDou, Galileo
    • 4G LTE
    • USB 2.0 Type-C
    • 3.5mm audio jack
  • แบตเตอรี่: 3,300 mAh รองรับ Dash Charge
  • สัดส่วน: 156.1 x 75 x 7.3 มิลลิเมตร
  • น้ำหนัก: 162 กรัม

รุ่นที่ droidsans นำมาพรีวิว ในวันนี้เป็นรุ่น 8/128 นะครับ ซึ่งเอาจริงๆ RAM 6 กับ RAM 8 นี่จริงๆ ก็ไม่น่าต่างกันในเรื่องประสบการณ์การใช้งานครับ เพราะมันเหลือเกินที่ระบบต้องใข้ไปเยอะแล้ว

ส่วน Oxygen OS ที่ยังเป็น Android Nougat อยู่นั้น เร็วๆ นี้น่าจะได้อัพเป็น Oreo แล้ว ไม่น่าห่วงเท่าไหร่

จุดเด่นที่ฝั่ง Android นั้นไม่มีใครทำแต่ OnePlus ทำคือ Alert Slider ที่สามารถเปลี่ยนโหมด เสียง สั่น เงียบ ได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องเปิดหน้าจอ แค่สไล์ตัวเลื่อนด้านข้างไปเท่านั้น ถัดลงมาคือปุ่มปรับเสียว.. เอ้ย! เสียง 😓

ท้ายเครื่องจากซ้ายไปขวา ลำโพง, ช่อง USB C, ไมโครโฟน และสิ่งที่เด็กๆ ในปี 2020 อาจจะไม่รู้จักมันอีกต่อไป ช่องหูฟัง 3.5 มม 🤣

ด้านขวาปุ่มพาวเวอร์สำหรับปิดเปิดเครื่อง ดีไซน์เครื่องนั้นผมว่าโอเคมาก มีความบาง จับถนัด ถ้าเทียบกับ U11+ ที่ทรงคล้ายๆ กัน OnePlus 5T ถือถนัดมือกว่า ..อ้อ ส่วนบนสุดเป็นถาดซิม

จิ้มออกมาแล้วเป็นถาด nano SIM คู่ ใส่เมมเพิ่มไม่ได้ เพราะฉะนั้นอยากได้ ROM 64 หรือ 128 ก็จงตัดสินใจตั้งแต่แรกก่อนควักเงิน

ฝาหลังโลหะเคลือบผิวมาแบบดำด้านสวยงาม ไม่เป็นรอยนิ้วง่ายเหมือนพวกกระจก แต่ก็อาจจะมีคราบมันติดได้บ้าง เช็ดออกไม่ยาก กล้องคู่นั้นเป็นแบบ Wide + Tele Low Light มีโหมด Depth Enable สำหรับถ่ายภาพ Portrait

Oxygen OS นั้นถือว่าเป็น ROM ที่ทำออกมาได้ดี ใครที่เคยใช้จะรู้เลยว่ามันลื่นหัวแตก ปรับจูนในเรื่องของกราฟิคและอนิเมขั่นได้เนียนตากว่าหลายๆ ค่าย

แถมยังมีความเป็น Pure Android ค่อนข้างสูง ทั้งการจัดเรียงหน้าตา การตั้งค่าและปรับแต่งต่างๆ

ส่วนที่ Oxygen OS ใส่เพิ่มเติมเข้ามาก็จะมีพวก Gesture การใช้นิ้ววาดลากเพื่อเรียกฟังก์ชั่นหรือเปิดแอป

และการปรับตั้งค่าตัว Aler Slider ว่าจะให้มีการทำงานอย่างไร เปิดปิดเสียงของทุกแอปเลยหรือไม่ หรือจะมีข้อยกเว้นในบางกรณีก็ปรับแต่งได้

ระบบเสียงนั้นสามารถเลือกการส่งสัญญาณ bluetooth ได้ตามมาตรฐานอุปกรณ์ที่เรารองรับ บางรุ่นหูฟังอาจจะรองรับ AptX , AptX HD หรือ SBC ก็มาตั้งค่าได้

แต่ส่วนที่ถูกใจมากๆ ค่ฝือการปรับค่าหน้าจอตามโปรไฟล์สีครับ บอกเลยว่าตอนแรกที่เปิดมานี่แทบจะปาทิ้ง มันจะสดไปไหน ดัน saturate 100 เลยหรือเปล่า ดีที่มาเจอว่ามีให้เลือกใน Display

สีธรรมชาติ ดูแล้วสบายตาก็ฟนีไม่พ้น sRGB ครับ แต่เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะบ่นว่าทำไมมันจืดขนาดนี้ จืดระดับเดียวกับแกงจืดผักกาดขาว เพราะฉะนั้นก็แนะนำให้ไปเลือก DCI-P3 ที่สดขึ่นมานิดๆ พอมีสีสีสัน

โหมดกล้องมาแบบคลีนๆ มีปุ่มให้ซูม 2x ง่ายๆ และปัดซ้ายขวาเพื่อเปลี่ยนโหมดภาพถ่ายและวิดีโอ

ส่วนโหมดการถ่ายภาพแบบอื่นๆ นั้นต้องสไล์ออกมาดูครับ โดยจะมี Portrait, Slow motion, Pro Mode, Time lapse และ Panorama

วันนี้ขอไปเก็บภาพก่อน พอดีสบโอกาสได้มาภูเก็ตกับที่บ้าน อาจจะเอาไปถ่ายวิว ภูเขา ทะเล และสาวๆ ตามหาด (ถ้าไม่โดนเค้าตบ)  มาแปะให้ดูช่วงค่ำๆ นะครับ

ภาพมาแล้วครับ ขอโทษที่่ช้าไปหน่อย เริ่มจากภาพ Selfie ไปก่อนละกัน มีแบบ Before > After เปิดโหมดบิวตี้

ต่อด้วยภาพอาหาร ไม่มี Food Mode แต่ก็ถ่ายออกมาได้น่ากินเหมือนกัน

ต่อกันด้วยภาพ Landscape เก็บวิวทิวทัศน์มาฝากกัน

แถมภาพมาโครให้กันอีกหน่อย

ปิดท้ายด้วยภาพแสงน้อย ที่มีกล้องเพิ่มมาให้อีกตัวเพื่อการนี้โดยเฉพาะ

คร่าวๆ ประมาณนี้ก่อนละกันนะครับ สำหรับพรีวิว เอาไว้เจอกันใหม่ มีคำถามอะไรมาทิ้งไว้ได้เลย จะได้ตอบรวดเดียวตอนรีวิวครับ