ปีนี้มือถือเปิดตัวกันรัวๆ ซอยรุ่นกันดุเดือดมาก จำได้ว่าเพิ่งจะรีวิว F7 ไปได้ไม่นาน นี่ OPPO F9 ตามมาอีกรุ่นแล้ว ซึ่งเปิดให้จองไปเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้เอง ทาง droidsans ก็เพิ่งจะได้เครื่องมา ก็เลยจัดแกะกล่องพรีวิวให้ได้รับชมกันก่อน เผื่อใครกำลังสนใจและหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับมือถือรุ่นนี้กันอยู่
สเปค OPPO F9
- หน้าจอ Waterdrop Screen ขนาด 6.3 นิ้ว ความละเอียด FHD+
- CPU : Helio P60
- RAM : 6GB
- ความจุ : 64GB รองรับ MicroSD Card 256GB
- กล้องหลังคู่ : 16MP (f/1.85) + 2MP
- กล้องหน้า : 25MP (f/2.0) HDR Sensor, AI Beautification 2.1, AR Sticker
- รองรับ 2 SIM (ถาดซิมแบบ Triple Slot)
- แบตเตอรี่ : 3500 mAh รองรับ VOOC Flash Charge
- ระบบ Android Oreo 8.1 ครอบด้วย ColorOS 5.2
- สีที่วางจำหน่าย : สีแดง Sunrise Red, สีน้ำเงิน Twilight Blue, สีม่วง Starry Purple
- ราคาเปิดตัว 10,990 บาท
อุปกรณ์ภายในกล่องก็มีเคสใสซิลิโคน ที่เพิ่มความหนาตามขอบและมุมตัวเครื่องเพื่อกันการตกหรือหล่นโดยเฉพาะ แล้วก็มีหูฟัง 3.5 มม.
สาย micro USB เส้นหนาๆ แข็งๆ สีเขียวๆ นี่ถ้าเป็นแฟนของ OPPO ต้องรู้จักดีว่ามันคือสีของ VOOC Flash Charge
ใช่แล้วครับ เพราะว่า OPPO F9 นั้นรองรับระบบ VOOC Flash Charge ที่ขอเวลาชาร์จแค่ไม่นาน แบตก็พุ่งปรู้ดขึ้นไปได้สบายๆ แถมเครื่องยังไม่ร้อนด้วย ความจุ 3500 มิลลิแอมป์นี่ ใช้เวลาชั่วโมงนิดๆ ก็เต็มแล้ว
เปิดเครื่องมาพบกับหน้าจอแบบใหม่ Waterdrop Screen หรือรอยบากเล็กๆ รูปทรงหยดน้ำที่ทาง OPPO เคยจดสิทธิบัตรเอาไว้หลายสิบแบบ พอรอยบากมันเล็กลงพื้นที่หน้าจอ 6.3 นิ้ว Full HD+ มันก็ดูเต็มตาขึ้น
เทียบกับตอน F7 แล้วจริงๆ ตอนนั้นรอบบากก็ไม่ได้ใหญ่มากนัก แต่พอมาเจอ OPPO F9 เข้าไปนี่ กลายเป็นบน F7 ดูใหญ่ขึ้นมาทันที
นอกจากหน้าจอแบบใหม่แล้ว ฝาหลังไล่โทนสี Gradient color จากแดงไปม่วงของ Sunrise Red ก็ดูสวยงามกว่าเดิม แถมลวดลายสะท้อนเงาแบบกลีบดอกไม้ก็เพิ่มความแปลกใหม่ให้กับฝาหลังด้วย
เทียบกับตอน F7 ที่เป็น Diamond Cut ก็จะให้ความรู้สึกที่ต่างกัน ตอนนั้นมันจะดูแข็งๆ เท่ๆ แต่บน F9 มันจะดูแนวสบายๆ ซอฟท์ๆ ลง เพราะมีการเล่นเส้นเป็นแนวโค้งจากบนลงล่าง
ด้านบนตัวเครื่องนั้นมีแค่ช่องไมค์ตัดเสียงเท่านั้น จะเห็นว่าแถบด้านบนนั้นเป็นสีแดงสดเลย
แต่พอหยิบเครื่องจากด้านท้ายมันกลายเป็นสีม่วง ตอนแรกนี่นึกว่าคนละเครื่องกันเลยทีเดียว
พอมาดูจากด้านข้างก็จะเห็นละ ว่ามันมีการไล่โทนสีแดงจากด้านบนลงมา พอถึงช่วงกลางตัวเครื่องก็จะเป็นสีชมพูๆ หน่อย เพราะผสมกับสีม่วงส่วนล่างของตัวเครื่อง
ถาดซิมนั้นมาเป็นแบบ Triple Slot รองรับการใช้งาน 2 นาโนซิมพร้อมกัน และยังไม่ micro SD เพิ่มความจุได้ด้วย
ตัวเครื่องอีกฝั่ง ด้านนี้จะมีแค่ปุ่มพาวเวอร์นะครับ ส่วนความหนาและน้ำหนักนี่ไม่ได้แตกต่างจาก F7 สักเท่าไหร่ แต่ได้แบตเตอรี่มากกว่าเป็น 3500 มิลลิแอมป์
กล้องหลังคู่ของ OPPO F9 นั้นก็เป็นการตีบวกเพิ่มเอาเซนเซอร์ขนาด 2 ล้านพิกเซลเข้ามาช่วยกล้องหลัก 16 ล้านพิกเซลในการถ่ายภาพแบบ AI Portrait เพื่อให้มันสามารถวัดระยะความลึกตื้นของวัตถุได้ดีขึ้น และยังสามารถจำแนกซีนต่างๆ ในการถ่ายภาพได้ถึง 16 แบบ
UI กล้องมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อตอน F7 พอสมควร เพราะมันมาพร้อมกับ Color OS เวอร์ชั่นเดียวกับ Find X หน้าตาการเปลี่ยนโหมด หรือตั้งค่าต่างๆ ของ F9 ก็เลยจะไปเหมือนของ Find X นั่นเอง
ตัวอย่างภาพจากกล้องหลัง OPPO F9
ส่วนกล้องหน้านั้นถูกซ่อนเอาไว้ตรงติ่งรูปทรงหยดน้ำ ซึ่งตำแหน่งอยู่ใต้ลำโพงสนทนาที่เอาไปเนียนเก็บไว้ที่ขอบดำของตัวเครื่องได้แบบถาไม่เพ่งนี่ไม่มีทางเห็นกันเลยทีเดียว
กล้องหน้าความละเอียด 25 ล้านพิกเซล เซนเซอร์ HDR นั้นก็ยังมาพร้อมกับโหมดการถ่ายภาพเซลฟี่ที่ไม่ละลายฉากหลังให้หายไป แถมยังเติมสีสันให้สดขึ้นด้วยด้วยโหมดสีจัดจ้าน และมี Portriat ละลายหลังได้เนียนตา AI Beautification 2.1 ก็มาทำให้หน้าเนียนใสไม่ต้องผ่านหลายแอปหลายขั้นตอน
ตัวอย่างภาพจากกล้องหน้า OPPO F9
ก็ขอพรีวิวเอาตามที่ได้ลองเล่นกันไปก่อนนะครับ คาดว่าสุดสัปดาห์นี้น่าจะได้เอา OPPO F9 ไปทัวร์ ไว้จะไปถ่ายรูปมาฝากเยอะๆ รวมถึงเทสต์เครื่องให้ครบๆ ไปเลยว่ามันมีอะไรเพิ่มเติมขึ้นมาจนน่าสอยกว่า F7 ในราคาที่เพิ่มมาอีกนิดเดียวเท่านั้นเอง
สวยมาก
เสียดายไม่ได้มังกรไฟ
3i ราคานี้นะ
สวยนะ ตัวนี้รับ ไซไฟ 5KHz ได้มั้ย ฝากแอดทดสอบให้ด้วยครับ
5 GHz ครับ
cencor วัดแสง ไปซ่อนอยู่ตรงไหนครับ