มาแล้ว.. รีวิว OPPO Reno 3 Pro มือถือที่มีกล้องหน้าความละเอียดชัดที่สุด! ที่บอกเลยว่าหลังจากใช้งานมาอาทิตย์กว่าๆ จริงๆ แล้วมือถือรุ่นนี้ไม่ได้มีดีแค่ถ่ายรูปสวยเท่านั้นนะ เอาไปใช้งานต่างๆ เล่นเกม ดูหนัง ฟังเพลง ยังทำผลงานออกมาได้ดีเยี่ยมสมราคาค่าตัว 18,900 บาทเลยล่ะ ว่าแต่รายละเอียดจะเป็นยังไง มาอ่านไปพร้อมๆ กันได้เลยครับ

สัมผัสแรก

เครื่องที่ผมได้มารีวิวครั้งนี้เป็นสีขาว Sky White ที่ต้องบอกเลยว่าสวยแบบสวยมากๆ ยิ่งตอนโดยแสงกระทบนะ โอ้โห ละลาย ใครที่ไม่เห็นภาพ ให้ลองนึกถึงท้องฟ้าตอนเย็นๆ เกือบๆ ค่ำดูครับ ฝาหลังของ OPPO Reno 3 Pro เวลาโดนแสงมาตกกระทบ จะเป็นแบบนั้นเลย ดีงามสุดๆ

สัมผัสการจับถือของเจ้า OPPO Reno 3 Pro สิ่งแรกที่สังเกตได้ก็คือ ตัวเครื่องจะเบา และค่อนข้างบางมากๆ ไม่รู้จะบรรยายยังไงให้คนอ่านเห็นภาพ แต่ส่วนตัวผมจับมือถือมาค่อนข้างเยอะพอสมควร จับ OPPO Reno3 Pro ครั้งแรก แล้วรู้สึกว่ามันเบากว่ารุ่นอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัดเลย

แม้ว่าจะเบาและบาง แต่งานประกอบถือว่าแข็งแรงใช้ได้เลยนะ ปุ่มต่างๆ ไม่มีเสียงก๊อกๆ อะไรออกมาเลย ตัวเครื่องโค้งมน จับถนัดมือ แต่ตรงนี้แนะนำนิดนึงว่าใส่เคสน่าจะโอเคกว่า เพราะด้วยความที่บ้านเราตอนนี้อากาศร้อนมากๆ จับถือไปสักพัก มือจะมัน แล้วพอมือมันล่ะก็..บันเทิงเลยล่ะ ฝาหลังเป็นรอยเยอะแยะเต็มไปหมด

 

สำรวจตัวเครื่อง

หน้าจอของ OPPO Reno 3 Pro จะมาในลักษณะแบบราบ มีการเจาะรู Dual Punch Hole ไว้บริเวณมุมซ้ายของตัวเครื่อง สำหรับใส่กล้องหน้า 2 ตัวด้วยกัน ซึ่ง ณ ตอนที่กำลังรีวิวอยู่ OPPO Reno3 Pro ถือเป็นมือถือที่มีกล้องหน้าชัดที่สุดในโลกเลยนะ แต่จะถ่ายรูปออกมาเป็นยังไง เดี๋ยวรออ่านด้านล่างอีกที

พลิกมาด้านหลัง  OPPO Reno 3 Pro มาพร้อมกับกล้องหลัง 4 ตัว  นับว่าเป็นสมาร์ทโฟนอีกรุ่นนึงที่จัดสเปคกล้องมาแบบจัดเต็ม ครบครัน ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ใครที่ชอบอัพรูปบน Facebook หรือ Instagram บ่อยๆ น่าจะถูกใจกับมือถือรุ่นนี้ไม่น้อยเลยล่ะ

ปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง และถาดใส่ซิม จะอยู่บริเวณฝั่งข้างของตัวเครื่อง

OPPO Reno 3 Pro มาพร้อมกับถาดใส่ซิมแบบ Triple Slot นะครับ มีช่องใส่ MicroSD Card แยกต่างหาก

ขณะที่ปุ่ม Power จะอยู่อีกฝั่งนึง ตรงนี้เหมือนจะมีขีดสีเขียวๆ ตรงปุ่ม Power ด้วย แต่ต้องสังเกตนิดนึงนะ ถ้ามองเผินๆ อาจจะพลาด มองข้ามไปได้ ส่วนตัวผมว่าสวยดี

 

ข่าวดีก็คือ OPPO Reno 3 Pro ยังคงมีรูเสียบหูฟังมาตรฐาน 3.5 มม. อยู่ ซึ่งปัจจุบัน ฮาร์ดแวร์ในส่วนนี้ถือว่าเริ่มจะหายากในมือถือระดับกลางๆ ไปจนถึงระดับเรือธงแล้ว ส่วนพอร์ตชาร์จเป็นแบบ USB-C มีลำโพง และไมค์สำหรับสนทนาอยู่ข้างๆ

ส่วนด้านบนจะมีเพียงแค่ไมค์ตัวที่สองเฉยๆ โดดเดี่ยวเดียวดาย..

การใช้งานทั่วไป

หลังจากสำรวจตัวเครื่องไปเสร็จเรียบร้อย ตอนนี้ก็มาถึงเรื่องการใช้งานทั่วไปกันบ้างล่ะ มาดูกันเลยดีกว่าว่าพอถึงเวลาใช้งานจริงๆ เจ้า OPPO Reno 3 Pro จะทำผลงานออกมาได้ดีแค่ไหน เริ่มกันที่ความสว่างของหน้าจอกันก่อนเลย จากที่ลองเอาไปใช้งานกลางแจ้ง (ร้อนมากๆ) ถือว่า OPPO Reno 3 Pro จอสว่างใช้ได้เลยนะ ยังมองจอเห็นปกติ ไม่ต้องเพ่งสายตามากนัก

OPPO Reno 3 Pro มากับระบบปฏิบัติการ Android 10 ที่ครอบทับด้วย Color OS 7 นะ ส่วนตัวหน้าตา UI ผมว่าค่อนข้างดูดีพอตัวเลยล่ะ สามารถเลือกได้ว่าอยากใช้งานเป็นแบบ Drawer Mode ปัดขึ้นจะเจอกับแอปต่างๆ หรือ Standard Mode ที่จะปัดซ้ายขวาเอา (คล้ายๆ กับ iPhone) ซึ่งตรงนี้ปรับแต่งได้โดยกดค้างไปที่บริเวณพื้นที่ว่างของหน้าจอ แล้วเลือก Homescreen Mode นะครับ จากนั้นจะใช้งานเป็น Drawer Mode หรือ Standard Mode ก็แล้วแต่เลย แต่ส่วนตัวผมเลือกใช้แบบ Drawer Mode เพราะชินแบบนี้มากกว่า

การแคปหน้าจอ ก็ทำได้ง่ายๆ ด้วยการกดปุ่มลดเสียงและปุ่ม Power ค้างไว้พร้อมกันประมาณ 1 วินาที หรือจะง่ายกว่านี้ก็เอานิ้ว 3 นิ้วลากเลื่อนหน้าจอ ถนัดแบบไหน ใช้แบบนั้นได้เลย

ส่วนใครที่ไม่อยากให้มีปุ่ม 3 ปุ่มด้านล่างมากวนสายตา ก็เลือกเปลี่ยนไปใช้เป็นแบบ Swipe-Up Gestures ได้ เลื่อนฝั่งซ้ายขวาขึ้นจะเป็นกลับ, เลื่อนตรงกลางจะเป็นกลับหน้า Home และเลื่อนตรงกลางพร้อมค้างไว้สัก 1 วินาที จะเป็นการเรียง Recent Apps ขึ้นมา

ไหนๆ ก็เรียก Recent Apps ขึ้นมาแล้ว ขอเข้าเรื่องการแบ่งหน้าจอเลยแล้วกัน เพราะขั้นตอนของการแบ่งหน้าจอบน OPPO Reno 3 Pro นั้น ต้องเรียก Recent Apps ขึ้นมาก่อน > เลือกแอปที่อยากจะแบ่งจอ > กดขีด 2 ขีด > Split Screen > เลือกแอปที่อยากแบ่งจอ เท่านี้ก็เรียบร้อย

 

ขณะที่ฟีเจอร์สามัญประจำเครื่องอย่าง Dark Mode, Eye Care (ตัดแสงสีฟ้า), Screen Recording, ไฟฉาย ฯลฯ ก็สามารถหาได้ที่ Notification Bar ด้านบนเลย เลื่อนลงมาก็เจอแล้ว

 

โดยตัว OPPO Reno 3 Pro รองรับการเชื่อมต่อ WiFi ทั้งแบบ 2.4G และ 5G เลย

เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือ

ส่วนเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือของ OPPO Reno 3 Pro จะอยู่ใต้หน้าจอ เป็นแบบ Optical ตรงนี้สแกนติดง่ายและค่อนข้างไวพอสมควรเลย แตะปุ่ม ปลดล็อคหน้าจอให้เลยทันที แต่ถ้านิ้วเปียกๆ อาจจะสแกนไม่ติดนะ ต้องเช็ดให้แห้งก่อน

 

GPS

การใช้งาน GPS กับ Google Maps อันนี้ OPPO Reno 3 Pro ก็ใช้งานได้โอเคนะ เดินตามต้อยๆ แล้วไม่หลง ไม่พาเลี้ยวมั่ว แถมลองใช้กับพวกแอป Delivery อย่าง Grab, LINEMAN ฯลฯ ก็จัดว่าดีเลยล่ะ ไม่มีปักหมุดมั่วไปไกล อาจจะมีขยับเล็กๆ นิดหน่อย ราวๆ 1-2 เมตร ซึ่งถือว่าน้อยมากๆ สำหรับมาตรฐาน GPS

ดู Netflix แบบ HD ได้ไหม

OPPO Reno 3 Pro สามารถรับชมคอนเทนต์ต่างๆ ได้บน Netflix ที่ความละเอียดสูงสุด Full HD แต่น่าเสียดายที่ลำโพงของ OPPO Reno 3 Pro ให้มาเพียงแค่โมโนเท่านั้น ไม่ใช่สเตอริโอ ทำให้เสียงที่ได้เวลาดูหนัง หรือฟังเพลง มันจะออกมาเพียงแค่ด้านเดียว ไม่กระหึ่มเหมือนมือถือที่มีลำโพงแบบสเตอริโอ

เชื่อมต่อกับหูฟัง Bluetooth

การฟังเพลงผ่านหูฟังไร้สายของ OPPO Reno 3 Pro นั้นทำได้ดี แต่เหมือนจะเจอปัญหากับหูฟังที่ไม่มีปุ่มปรับเสียงครับ เพราะเหมือนระบบของ OPPO นั้นจะปล่อยเสียงไม่เกินระดับความปลอดภัยในการฟังออกมา ทำให้หูฟังบางรุ่นที่มาเชื่อมต่อหากไม่สามารถเร่งเสียงเพิ่มได้ จะทำให้เสียงเบาไปเลย ที่ลองแล้วเจอปัญหาคือ AirPods แต่พอไปลอง Sony, Bose, OnePlus รวมถึงตระกูล Enco ของ OPPO เองไม่เจอปัญหานะ

 

ประสิทธิภาพความแรง

OPPO Reno 3 Pro มาพร้อมกับชิปเซ็ต MediaTek Helio P95 บวกกับ RAM ขนาด 8GB และความจุ 256GB ใส่ MicroSD Card เพิ่มได้ต่างหาก ซึ่งหากอ่านตามสเปคกระดาษแล้ว ก็ต้องบอกว่า OPPO Reno3 Pro น่าจะใช้งานทั่วไปแบบสบายๆ ไม่มีอุปสรรคอย่างแลค กระตุก หรือเครื่องค้าง มาคอยกวนใจเป็นแน่ แถมส่วนตัวมองว่า Helio P95 น่าจะเอาไปเล่นเกมปรับกราฟิกสูงๆ ได้แบบสบายเลยล่ะ แต่สิบปากว่าก็ไม่เท่าตาเห็น เรามาทดสอบความแรงของสมาร์ทโฟนเครื่องนี้กับแอปวัดประสิทธิภาพต่างๆ กันเลยดีกว่า

 

ผลทดสอบกับแอป Benchmark ต่างๆ

ผลการทดสอบ AnTuTu Benchmark พบว่า OPPO Reno 3 Pro ได้คะแนนไปทั้งหมด 226,111 แต้ม

มาถึงผลการทดสอบหน่วยความจำกันบ้าง โดย OPPO Reno 3 Pro มากับหน่วยความจำแบบ UFS 2.1 นะครับ สามารถทำคะแนนแบบเขียนไปได้ 514.34 MB/s และแบบอ่านที่ 205.6 MB/s

การเล่นเกม

เอาล่ะ ทดสอบประสิทธิภาพกับแอปต่างๆ มาเสร็จแล้ว ถึงเวลามาลองใช้งานจริงกันบ้างดีกว่า มาดูพร้อมๆ กันไปเลยว่า พอเวลาเวลาใช้งานจริงๆ OPPO Reno 3 Pro จะแน่สักแค่ไหนกันเชียว โดยผมจะทดสอบเกมยอดฮิตอย่าง RoV, PUBG, Call of Duty และเกมที่กราฟิกโหดๆ อย่าง Asphalt 9 นะ

 

RoV เกมสามัญประจำเครื่อง ปรับสุดได้ทุกอย่าง

อีกหนึ่งเกมสามัญประจำเครื่องอย่าง PUBG ก็สามารถปรับกราฟิกได้สุดทุกอย่างเช่นเดียวกัน แต่ยังปรับภาพให้เป็นแบบ HDR ไม่ได้ (เหมือนตัวเกมยังไม่รองรับชิปรุ่นนี้ เพราะยังใหม่อยู่)

ส่วนเกมแข่งรถกราฟิกสุดโหดอย่าง Asphalt 9 จากที่ลองเล่นบน OPPO Reno 3 Pro ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีอาการกระตุกแต่อย่างใดนะ เล่นเพลินเลยทีเดียวล่ะ

กล้องถ่ายภาพ

OPPO Reno 3 Pro มาพร้อมกับกล้องหลังทั้งหมด 4 ตัว ประกอบไปด้วยกล้องหลักความละเอียด 64MP, กล้อง Telephoto ความละเอียด 13MP, กล้อง Ultra Wide 8MP และตัวสุดท้ายเป็น Monochrome ความละเอียด 2MP มีโหมดต่างๆ Night Mode, Portrait, Time-Lapse, Expert (Pro) ฯลฯ ใส่มาให้ครบ เอาเป็นว่าไม่ต้องบรรยายสรรพคุณอะไรเยอะ มาดูภาพตัวอย่างที่ถ่ายจาก OPPO Reno 3 Pro กันเลยดีกว่าครับ

ตัวอย่างภาพจากกล้อง Telephoto (จากระยะ 1x, 2x, 5x และ 20x)

ตัวอย่างภาพมุมกว้าง Ultra Wide

ตัวอย่างภาพในที่แสงน้อย Night Mode

และแล้วก็มาถึงกล้องหน้ากันบ้าง OPPO Reno 3 Pro ณ ตอนนี้ ถือเป็นสมาร์ทโฟนที่มีกล้องหน้าความละเอียดชัดที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ มาพร้อมกับกล้องถึง 2 ตัวด้วยกัน ตัวหลักความละเอียด 44MP ส่วนอีกตัวเป็น Depth Sensor ความละเอียด 2MP ในส่วนนี้จากที่ลองถ่ายเล่นๆ ผมก็รู้สึกชอบนะ ตัดขอบเนียนพอตัวเลยล่ะ แถมมีโหมดบิวตี้ช่วยลบรอยสิวให้อีกด้วย ฮ่าๆ

แบตเตอรี่

แม้ว่า OPPO Reno 3 Pro จะใส่แบตเตอรี่มาให้แค่ 4,025 มิลลิแอมป์ แต่บอกเลยว่าสมาร์ทโฟนรุ่นนี้แบตอึดกว่าที่ผมคาดหวังเอาไว้ตอนแรกมากๆ จากที่ลองใช้งานแชท ไถโซเชียล ฟังเพลง ดู Netflix ฯลฯ ตั้งแต่ตื่นนอนจนเกือบๆ 3 ทุ่ม ได้ค่า Screen on Time ไปประมาณเกือบๆ 4 ชั่วโมง แถมยังมีแบตเตอรี่เหลืออีกตั้ง 45%

แถมชาร์จไฟเข้านี่ไม่ต้องพูดถึง OPPO ขึ้นชื่อในเรื่องนี้อยู่แล้ว มากับ VOOC Flash Charge 4.0 ความเร็ว 30 วัตต์ เสียบชาร์จทิ้งไว้ตอนเช้าแป๊บเดียวไม่เกิน 30 นาที ก็ได้แบตมาใช้งานเพลินๆ แล้ว 50-60% ได้ เรียกว่าไวมากๆ

สรุป

จุดที่ประทับใจ 

  • สัมผัสจับถือค่อนข้างพรีเมียม
  • ตัวเครื่องเบามากๆ ไม่หนักเวลาใส่กระเป๋ากางเกง
  • กล้องหน้าดี กล้องหลังสวย ซูมได้ 20x
  • ปรับกราฟฟิกสุดทุกเกม
  • ถาดซิม 3 ช่อง ใช้งาน 2 ซิม ใส่ MicroSD Card เพิ่มได้
  • USB-C มีชาร์จไว 30 วัตต์
  • มีรูหูฟัง 3.5 มม.
  • แบตเตอรี่อึด

จุดที่ต้องพิจารณา

  • กล้อง Ultra Wide บางครั้งสีจืด (ต้องเปิดเติมสีพอช่วยได้)
  • ถ้าใส่ลำโพงคู่มาจะดีมาก
  • เชื่อมต่อหูฟัง Bluetooth บางรุ่นเสียงเบา

Play video

หลังจากลองใช้เจ้า OPPO Reno 3 Pro มาเป็นเวลากว่าหนึ่งสัปดาห์กว่าๆ ก็พบว่าสมาร์ทโฟนรุ่นนี้สอบผ่านทุกวิชา ไม่มีซ่อมซักตัว จะเอาไปใช้งานทั่วไปก็ได้, เล่นเกมก็ดี แถมถ่ายรูปก็ยังสวยอีกต่างหาก ที่สำคัญแบตเตอรี่ยังไว้ใจพึ่งพาได้อีกด้วย ไม่มีงอแงระหว่างวัน แบตหมด ให้ร้องถามหาปลั๊กเสียบ หรือพาวเวอร์แบงค์กันอย่างแน่นอน