จากงานเปิดตัวที่บาเซโลน่าที่ผมได้ไปสัมผัส Samsung Galaxy S6 และ S6 edge เป็นครั้งแรก ต้องบอกว่าในรอบนั้นยอมรับว่ามันคือการเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดดของสายพันธุ์ Galaxy S ชนิดหลังเท้าเป็นฝ่ามือ จากพลาสเตอร์ยา สู่อลูมิเนียมอากาศยาน เรื่องของวัสดุ รูปทรง สีสันและงานดีไซน์ ยอมรับว่าประทับใจในความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น และเมื่อไม่กี่วันที่ผานมา ทาง Samsung ประเทศไทยก็ได้เปิดตัว Galaxy S6 และ S6 edge รอบพิเศษให้เหล่าสือต่างๆ ได้ไปทดลองสัมผัสก่อนจะมีงานแถลงข่าวเปิดตัวและวางจำหน่ายในภายหลัง
ซึ่งในงานนี้สิ่งที่ผมพกเอาไปด้วยคือคำถามในหัว ที่ต้องไปหาคำตอบให้ได้ในงานว่า ทั้ง Galaxy S6 และ Galaxy S6 edge นั้นมันจะยังคงดูดีอยู่หรือไม่ ที่ผมไปจับแล้วติ่นเต้นที่สเปนนั้นมันเกิดจากความรู้สึกตื่นเต้นเพราะความใหม่หรือเปล่า การไปลองจับเครื่องในครั้งนี้จะยังได้ความรู้สึกดีอยู่หรือไม่..
เมื่อทาง Samsung เอาเครื่องทั้งสองมาให้จับก็ต้องบอกว่าความรู้สึกตื่นเต้นเมื่อครั้งที่แล้วนั้นลดทอนลงไป รอบนี้เลยเหมือนได้ลองจับแบบละเอียดมากขึ้น สัมผัสตัวเครื่องยังโดนใจอยู่ และอย่างแรกที่รู้สึกได้เลยก็คือฝาหลังที่ทาง Samsung เคยบอกไว้ในงานครั้งก่อนว่าจะมีการแก้ไขเพราะมันติดมีรอยนิ้วมือง่ายมาก ตอนนี้ได้มีการแก้ไขแล้วครับ สีขาวและสีดำที่ได้ลองจับนั้นเห็นได้ชัดว่าแทบจะไม่มีรอยนิ้วมือให้เห็น แต่จะมีคราบมันของนิ้วบ้าง ส่วนสีที่สะท้อนเป็นเงาหน่อยอย่างสีทองและสีเขียวอาจจะยังพอเห็นเป็นรอยนิ้วมือบ้าง แต่จะไม่ขึ้นเป็นเส้นๆ รอยริ้วมือแบบเมื่อตอนโน้น แต่ก็จะพอเห็นเป็นคราบมันๆ ของนิ้วบ้าง
ความเห็นของหลายๆ สื่อในงานก็ออกมาในแนวตกใจ คือตกใจที่มันดูดีขึ้นจนไม่น่าเชื่อว่านี่คือมือถือที่ Samsung ผลิต และเมื่อลองถามๆ ไปว่าชอบ S6 หรือ S6 edge ก็ได้ความเห็นที่แตกต่างกัน บางคนก็บอกว่าชอบ S6 edge แต่ถึงเวลาซื้อจริงๆ เอาไปใช้งาน อาจจะเลือก S6 มากกว่าเพราะสุดท้ายแล้วถือถนัด กระชับมือมากกว่า ส่วนบางคนก็บอกว่ายังไงๆ ก็ต้องซื้อ S6 edge เท่านั้น
ส่วนคำถามยอดฮิตที่เจอประจำคือ S6 edge เนี่ยขอบจอโค้งๆ มันทำอะไรได้บ้าง มันผลิตมาทำไม ทำไมต้องโค้ง ก็ขอตอบตรงๆ ว่ามันทำอะไรไม่ค่อยได้หรอก มีฟังก์ชั่นที่แถมๆ มาให้แค่ 2-3 อย่างเช่น Edge Lighting / People Edge หลายคนมองว่ามันไม่ค่อยมีประโยชน์ ซึ่งไม่ผิด เพราะเหมือนมันออกแบบมาเพื่องานดีไซน์ที่เน้นความแปลกใหม่ และโชว์เทคโนโลยีที่ Samsung สามารถทำได้ในอุตสาหกรรมจอภาพมากกว่า ไม่ได้เอาฟีเจอร์ที่ขอบจอทำได้มาเป็นจุดขายเหมือน Note Edge แล้ว
นอกเหนือไปจากอลูมิเนียมที่ถูกนำมาใช้เป็นแกนกลางตัวเครื่องแล้ว สีของตัวเครื่องภายใต้กระจก 2.5D Gorilla Glass 4 ที่ถูกฟิล์มลดการสะท้อนแสงเคลือบอยู่อีกชั้นนึง ทำให้สีของ Galaxy S6 และ S6 edge ดูมีมิติมากขึ้น มีมุมสะท้อนของแสงไล่ให้เฉดสีมันเงาต่างกัน สำหรับสีขาวและดำอาจจะเห็นได้ไม่มากนัก แต่สำหรับสีทอง สีฟ้า และสีเขียวนั้นเห็นได้ชัดและให้มิติของสีได้มากกว่า สำหรับใครที่ชอบโทนสีธรรมดาๆ หน่อยอาจจะเลือกสีขาวหรือดำก็ได้ แต่ผมว่าหลายๆ คนถ้าได้เห็นสีเขียว มีฟ้า หรือสีทองตัวจริงอาจจะมีเปลี่ยนใจแน่ๆ
ตัวอย่างของ S6 edge สีทอง และ S6 สีฟ้า ยามสะท้อนแสง
S6 edge สีเขียว สะท้อนกับแสงไฟแล้วดูเป็นเงาเหมือนปีกแมลงทับ
อีกจุดหนึ่งที่ทาง Samsung เน้นมากๆ บน Galaxy S6 และ S6 edge คือเรื่องของกล้อง หลังจากที่เคยทำแฟนๆ Galaxy S ร้องไห้ชนิดซื้อ S5 มาได้แป้บเดียวจะปาทิ้งก็เสียดาย กว่าจะเรียกศรัทธาของสาวกในรุ่นพรีเมี่ยมกลับมาได้นี้ก็ต้องรอถึง Note 4
มารอบนี้ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลังของ Galaxy S6 และ S6 edge นั้นจัดเต็มมาทั้งคู่ เลือกใช้เซนเซอร์และเลนส์กว้างทั้งหน้าและหลัง ค่า f1.9 เพื่อที่จะรับแสงให้ได้มากขึ้นจะได้กดชัตเตอร์ทีเดียวอยู่ นอกจากนั้นโหมด Realtime HDR ยังถูกนำมาโปรโมตอีกครั้งนึง เพราะเท่าทีสังเกตุในตลาดตอนนี้ยังไม่มีเจ้าไหนทำแข่ง (ใครนึกออกว่ามีรุ่นไหนท้วงติงมาได้นะครับ) จุดเด่นคือทำให้เราได้เห็นภาพ HDR จริงๆ ที่จะถูกเซฟลงเครื่องหลังกดชัตเตอร์ ความสว่างและมืดของภาพจะถุกคำนวนเอาไว้หมดแล้ว และแสดงมาบนหน้าจอ ซึ่งโหมด Realtime HDR นั้นสามารถใช้งานได้ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง
ระบบโฟกัสภาพในรอบนี้ Samsung อาจจะไม่ได้พูดถึงมากนัก แต่เท่าที่ทดสอบก็ทำได้ดีขึ้น โฟกัสได้แทบจะทันทีหลังเลือกแตะไปที่จุดนั้นๆ (ลองดูในคลิปข้างบน)
Samsung ยังปรับตั้งค่ากล้องใหม่ให้เป็นแบบ Always on จะได้เปิดถ่ายได้ทันทีซึ่งผลที่ปรากฏออกมาคือทำได้จริง ใช้เวลาเปิดกล้องแค่ 0.7 วินาทีไม่ว่าหน้าจอจะดับอยู่แล้วกดปุ่ม Home 2 ครั้งติด หรือจะเปิดแอปกล้องจากหน้า Home จากการทดสอบถือว่าทำได้เร็วพอๆ กับ iPhone แล้ว (ลองดูในคลิปด้านบนได้) แถมเปิดมาแล้วพร้อมถ่ายเลยทันที จากเดิมที่มีปัญหากว่าจะเปิดกล้องได้กว่าจะพร้อมถ่ายนี่ ต้องรอกันหลายวิ ยิ่งภาพเยอะๆ แล้วยิ่งรอนาน (ตอน S5 นี่เปิดกล้องแล้ว force close เลยก็มี) ซึ่งใน S6 และ S6 edge เราเองก็ยังไม่รู้ว่าถ้ามีรูปเยอะๆ แล้วมันจะเปิดกล้องช้าลงหรือเปล่า คงต้องรอดูกันอักทีเมื่อเราได้เครื่องมารีวิวครับ
ความเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ของ Galaxy S6 และ S6 edge ที่โดนสาวก apple แซะมาเต็มๆ นอกจากก้นของตัวเครื่อง (ไม่รู้เป็นอะไร ทำไมต้องแซวก้นกันด้วย) ที่บอกว่าลอกกันมาชัดๆ แล้ว ยังมีเรื่องของการเอาแบตเตอรี่เข้าไปฝังไว้ภายใน ฝาหลังถอดเปลี่ยนไม่ได้ รวมถึงยังมีเรื่องของ micro SD ที่ใส่เพิ่มไม่ได้แล้ว และให้ความจุมา 3 ขนาด 32GB 64GB และ 128GB ให้เลือกซื้อแทน
ในเมื่อถอดแบตไม่ได้แล้ว การจะทำให้สาวก Samsung ไม่กลายร่างเป็น Wall hugger ที่เคยแซะชาวๆ iPhone ไปก็คือการทำระบบ Fast charge ขึ้นมา โดยระบบ fast charge ของ Samsung นั้นเคลมว่าชาร์จแค่ 10 นาทีสามารถใช้งาน S6 และ S6 edge ได้อีก 4 ชั่วโมง บอกเลยว่าเป็นอะไรที่น่าทดสอบมาก คือเอาจริงๆ ผมยังไม่เชื่อราคาคุยที่ว่า 4 ชั่วโมงนี่มันหมายถึงใช้งานทั่วไปจริงๆ หรือเอามาสแตนด์บาย คงได้รอดทดสอบกันอีกที แต่ทั้งนี้ต้องชาร์จผ่านหม้อแปลงเฉพาะที่รองรับระบบ fast charge ด้วยนะครับ ไม่ใช่เอาหม้อแปลงอะไรมาเสียบก็ได้
ในเมื่อฝาหลังมันถอดไม่ได้แล้ว Samsung ที่เคยขายเคสฝาหลังที่มี wireless charging มาตลอดก็เลยตัดสินใจฝังแผงวงจรสำหรับ wireless charge ลงไปบนทั้ง S6 และ S6 edge มันซะเลยสิ้นเรื่องสิ้นราว โดยระบบชาร์จไร้สายของ S6 และ S6 edge นั้นเป็นแบบ 2 มาตรฐาน แต่ไม่ได้แปลว่า double standard หรือไม่เท่าเทียมกันนะครับ แต่หมายถึงว่ารองรับทั้งมาตรฐาน WPC หรือ Qi ที่มีใช้กันเยอะแยะ และมาตรฐาน PMA
นอกจากอุปกรณ์เสริมอย่าง wireless charging แล้ว ในกลุ่มเคสและ flip cover ทาง samsung เองก็จัดเต็ม มีให้เลือกหลายแบบ ซึ่ง S6 และ S6 edge นั้นขนาดตัวเครื่องและมุมมันต่างกันนิดหน่อย เลยไม่สามารถใช้เคสร่วมกันได้ ก็ต้องมีแยกเป็น 2 รุ่นกันไป ในส่วนของ S6 นั้นจะยังมีเคสแบบ S View Cover ที่เจาะช่องเป็นหน้าต่าวเอาไว้ให้ใช้งาน แต่ S6 edge ไม่มี
โดยเคาฝาพับแบบใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานกับ S6 edge นั้นจะเรียกว่า Clear view cover ถ้าสังเกตด้านบนจะเห็นว่ามีของ S6 ด้วยเหมือนกัน
ลักษณะการใช้งานก็เป็นแบบฝาพบัปกติ แต่เคสชิ้นหน้าสุดจะเป็นพลาสติกใส เมื่อปิดหน้าจอลงไปก็จะมีนาฬิกาแสดงขึ้นมา สามารถถูเพื่อรับสายและใช้คุยได้โดยไม่ต้องเปิดฝาออกมาเหมือน S View นั่นแล
สรุปจากการที่ได้ไปลองสัมผัส Samsung Galalxy S6 และ S6 edge เป็นครั้งที่ 2 ของผมนั้นก็ต้องบอกว่ามันคือสมาร์ทโฟนในแบบที่ Samsung ควรจะทำมาตั้งนานแล้ว ไม่รู้มัวไปงมโข่งอะไรที่ไหนอยู่ ส่วนของงานประกอบและวัสดุดูสมราคา (ซะที) ดูหรูและงามกว่าพลาสเตอร์ยาและหนังเทียมร้อยไหมมากมาย ซอฟต์แวร์และการใช้งานต่างๆ ลื่นไหลขึ้นเยอะ เป็นรุ่นที่ต้องได้เห็นและเล่นของจริง คุณจะตัดสินใจได้ไม่ยากเลย (ตัดสินใจ “ซื้อ” หรือ “ไม่ซื้อ” ก็ได้นะ เงินใครเงินมัน :p )
ในเมื่อรีวิวเต็มๆ ยังไม่มีให้ดู แต่ Samsung ชิงเปิดให้จองก่อนในวันที่ 1 เมษายนนี้ โดยผุ้ให้บริการทั้ง 3 ค่ายได้ทำการชิงช่วงเวลากันอย่างเมามัน dtac เปิดให้ไปจองได้ตอน 7 โมง ตามมาด้วย treumove H ตอน 8 โมงและปิดท้ายด้วย ais ตอน 9 โมง แน่นอนว่าทั้ง 3 ค่ายย่อมมีโปรเด็ดๆ ออกมายั่วใจด้วย
ราคาของทั้ง 2 รุ่น 3 ขนาดความจุที่มีวางจำหน่ายในไทยนั้นก็ตามนี้เลยครับ เป็นราคาที่ Samsung ประเทศไทยประกาศออกมาแล้ว นั่นก็คือ
- Samsung Galaxy S6 รุ่นความจุ 32GB ราคา 23,900 บาท
- Samsung Galaxy S6 edge รุ่นความจุ 32GB 27,900 บาท
- Samsung Galaxy S6 edge รุ่นความจุ 64GB 30,900 บาท
รุ่น edge นี่สวยจริงๆ แต่ราคาก็เพิ่มตั้ง ๔ พัน
ต่อมความอยากทำงานทันที ขอบคุณสำหรับรีวิวครับ
เขียว กับ ฟ้า นี่จับใจครับ
รอ note 5 ครับ 5555
+1 ผมนี่ก้มหน้าก้มตาใช้ note 2 rom note 4 ต่อไปเลยครับ
S6 ดีมาก สวยดี แต่ผมชอบจอใหญ่+แบตเยอะๆ และมีปากกา
S6 รุ่นธรรมดาก็พอละ สีเขียวนี่ชอบเลย
Fast charge ในnote4 ชาร์ต10นาทีก้ได้20กว่าเปอร์เซนแล้วนะครับ S6น่าจะปรับให้เร็วขึ้น อีกทั้งแบตเล็กลง ผมว่าใช้4 ชม ได้จริงแหละ
#อยากได้มาก
จริงครับ Samsung เริ่มมาถูกทางเรื่องกล้องตั้งแต่ Note4 ครับ คุณภาพของภาพและความไวโฟกัสดีขึ้นกว่า Note3 คนละเรื่องจริงๆ
แต่ก่อนฟังสาวก Samsung อวย Note3 ว่ากล้องชัดกว่า i5s ผมใช้Note3อยู่ผมยังว่ามันสู้ i4sยังไม่ได้เลย
ตอนนี้ลอง Note4ถ่ายกับ i6 สู้ได้สบายแล้วครับ(ไม่เคยลอง i6+ครับ)
real time HDR มันคืออะไรครับ
เห็น Xiaomi Mi4 มันมี Live HDR นี่จะเรียกว่า Real Time รึเปล่าหว่า ผมยังไม่รู้ว่ามันมีประโยชน์อะไรเหมือนกันนะนั่น
ถ่ายไปถ่ายมาธรรมดาสวยสุดทุกสถานการ์ณเลย Mi4
คือมันจะโชวภาพที่ปรับแสงแบบHDRแล้วเลยอะครับ ให้ดูก่อนถ่ายเลยว่าถ้าเปิดโหมดนี้จะได้ภาพแบบไหน ไม่ใช่ถ่ายก่อนแล้วกดดูภาพเหมือนรุ่นอื่นๆ
หาที่เทียบกล้องหลังมุมมองเดียวกันกับ note4 i6 i6plus ไม่ได้เลย
อยากรู้ว่า มุมกล้องแคบแบบ S5 Note4 หรือเปล่า แคบมาก ต้องถอยหลังออก
รอยนิ้วมือชัดเลย
ปล.น่ารักจังคนซ้าย
Clear view case ลายพร้อยเลย น่าจะไม่ทนรอยขีดข่วน
ผมอยากได้โทรศัพท์ Spec เทพ แต่ ขนาดเครื่องถือถนัดใช้งาน สุดท้ายสอย Sony Z3 Compact
ถ้าแต่ละค่ายทำโทรศัพท์ Flagship Size พอดีมือ จะขายดีกว่านี้อีกนะ
ยังมีกลุ่มคนที่ต้องการเยอะทีเดียว
เครื่องจริงจะเขียนฝาหลัง ว่า Galaxy S6 เหมือนในรีวิวแกะกล่องของต่างประเทศหรือเปล่า
ถ้าเขียนจริงนี้ความสวยของฝาหลังลดลงไปเยอะเลย
https://www.youtube.com/watch?v=ffLcu0GUUhE
กินแรมเยอะเหมือนกันนะ ขนาดว่าเครื่องจากโรงงาน S6 เหลือใช้งาน 1.2G
ส่วน S6 edge เหลือใช้งาน 1.0G
แอ๊พแถมอาจจะเพียบ และตามมากินแรมตามเคย
อืม พอดีบอกได้คำเดียวครับ พริตตี้สวยน่ารักครับ น่ามองกว่า s6 edge อีก
ตายตั้งแต่เพิ่มเมมไม่ได้ แถมไปซอยความจุเพิ่มราคาเหมือนผลไม้อีก #บายยยยย
ทรงตุ๊ยตุ่ยยยย เพิ่มเเมมไม่ได้อีก จบข่าววววว
กำลังสงสัยว่า Notification ของ S6 Edge
ทำไมมีข้างขวาข้างเดียว ทั้งที่มีขอบด้านซ้ายที่โค้งเหมือนกัน
หรือ มันทำได้ทั้ง 2 ข้างหว่า ???
ผมชอบนะ เมมโมรี่ในตัว เพิ่มเมมไม่ได้ มันอ่านได้ดี และเสถียรกว่าเยอะ และความจุมันก็มีให้เลือกตามที่เราต้องการอยู่แล้ว
บางทีรุ่นที่เพิ่มเมมได้ หลายคนก็ไปซื้อเมมโมรี่คุณภาพต่ำมา แล้วพอมีปัญหาก็โทษโทรศัพท์ไม่ดี
แต่ก็นานาจิตตังครับ คนที่ไม่ชอบ ก็คงต้องไปรุ่นอื่นแล้วหละ เสียใจด้วยครับ 🙂
ตอนเครื่องเกือบตกใจผมนี่หล่นแล้วนะ
แต่พอตกจริงๆ….ลั่นเลยยยยย
ปล.เสียวจนจบคลิปว่าฝั่งของพี่กิมจะทำตกป่าว555
ลอง S4 แอนดรอย 5.0 รัสเซีย แล้วรู้สึก UI 5.0 ลื่นขึ้นจริงๆ S6 น่าจะลื่นขึ้นอีกเยอะ แน่ๆ เรยอยากได้ s6-edge แต่ 64 จิ๊กแพงฝุดๆ = =
เวลาแบตเสื่อม เปลี่ยนแบตยากหรือแพงไหมครับ ฝากถามsamsungทีครับ แอดมิน
เปลี่ยนแบตเองไม่ได้ ไม่ใช่ประเด็นหรอก
ผมใช้ s4 อยู่ แบตเสื่อมยังดี ที่ ซื้อแบตมาเปลี่ยนได้ นี่ละคือประเด็น ถ้ามันเปลี่ยนได้ง่าย ก็ทำให้น่าซื้อขึ้นไง
พริตตี้ บร่ะเจ้า สวยฝุดๆ
พริตตี้ บร่ะเจ้า สวยฝุดๆ