Apple Watch เป็นอุปกรณ์ที่หลายคนใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการดูเวลา แจ้งเตือนสายโทรเข้า ติดตามสุขภาพ หรือแม้กระทั่งใช้เพื่อตรวจจับค่าต่าง ๆ ในร่างกาย เช่น อัตราการเต้นของหัวใจและระดับออกซิเจนในเลือด ซึ่งเมื่อใช้ไปนาน ๆ สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือ อายุการใช้งานของแบตเตอรี่ที่ลดลง
อาการที่บ่งบอกว่าแบตเตอรี่เริ่มเสื่อม อาจสังเกตได้จาก ระยะเวลาการใช้งานที่สั้นลง จากที่เคยใช้ได้ทั้งวันอาจเหลือเพียงไม่กี่ชั่วโมง หรือบางครั้งแบตอาจหมดเร็วจนรู้สึกผิดปกติ นอกจากนี้ อาจมีอาการ ชาร์จไม่เข้า แบตบวม หรือเครื่องดับเอง ซึ่งเป็นสัญญาณว่าควรพิจารณาเปลี่ยนแบตใหม่
หลายคนที่ใช้ Apple Watch มาเป็นเวลาหลายปีและยังไม่อยากเปลี่ยนไปใช้รุ่นใหม่ อาจสงสัยว่า สามารถเปลี่ยนแบตที่ศูนย์ Apple ได้หรือไม่? ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่? ขั้นตอนยุ่งยากไหม? วันนี้เราจะมาแชร์ประสบการณ์จริงเกี่ยวกับการเปลี่ยนแบตแท้ของ Apple โดยตรง รวมถึงวิธีนัดหมาย คำแนะนำก่อนเข้ารับบริการ และสิ่งที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจเปลี่ยน

1. เช็กค่าใช้จ่ายและขั้นตอนผ่านแอป Support
ก่อนตัดสินใจเปลี่ยนแบตเตอรี่ Apple Watch สิ่งแรกที่ควรทำคือ ตรวจสอบข้อมูลจาก Apple โดยตรง ซึ่งปัจจุบันสามารถทำได้ง่าย ๆ ผ่าน แอป Support โดยสามารถพูดคุยกับเจ้าหน้าที่เพื่อสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับค่าใช้จ่าย ระยะเวลา และเงื่อนไขต่าง ๆ ได้สะดวกกว่าที่เคย
เงื่อนไขเบื้องต้นในการเปลี่ยนแบต
- Apple จะสอบถามเกี่ยวกับสุขภาพแบตเตอรี่ของเครื่อง หากต้องการเข้ารับบริการเปลี่ยนแบต ต้องมีสุขภาพแบตเตอรี่มากกว่า 80%
- สามารถตรวจสอบได้ด้วยตัวเองที่ Settings (การตั้งค่า) > Battery (แบตเตอรี่) > Battery Health (สุขภาพแบตเตอรี่)
- รุ่นที่รองรับการเปลี่ยนแบต ณ ต้นปี 2025 คือ Apple Watch Series 5 ขึ้นไป หรือรุ่นที่ยังไม่ได้ถูกจัดเป็นสินค้า Vintage
- มีค่าบริการ 3,690 บ. สำหรับเครื่องที่หมดประกันแล้ว และถ้ามี Apple Care+ เปลี่ยนฟรี
- หมดประกันแล้วเปลี่ยนได้ แต่ตัวเครื่องต้องไม่มีความเสียหายอื่น ๆ กรณีที่มีจะถ้าต้องการซ่อมจะโดนคิดราคาซ่อมรายการอื่นร่วมไปด้วย ทำให้ราคาประเมินอาจจะไม่ใช่ 3,690 บ.

ตรวจสอบตัวเครื่องเบื้องต้น
หลังจากให้ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งาน เจ้าหน้าที่จะทำการตรวจวินิจฉัยระยะไกล (Remote Diagnosis) เพื่อตรวจสอบว่า ตัวเครื่องมีความผิดปกติหรือไม่ เคยถูกแกะซ่อมมาก่อนหรือเปล่า ซึ่งเครื่องของผมไม่เจอความผิดปกติอื่น ๆ มีแค่แบตเตอรี่เลยสามารถเข้ารับบริการได้

ระหว่างพูดคุย Apple แจ้งว่าเครื่องทดแทนที่ให้ลูกค้าใช้ระหว่างรอซ่อมไม่มีเซ็นเซอร์วัดออกซิเจนในเลือด (SPO2) ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าหากเปลี่ยนแบตแล้ว เครื่องที่ได้รับคืนมาจะยังมีฟีเจอร์ครบถ้วนหรือไม่

เพื่อความแน่ใจ จึงโทรสอบถาม Apple เพิ่มเติม และได้รับการยืนยันว่าเครื่องที่ซ่อมเสร็จแล้วจะมีฟังก์ชันครบถ้วนเหมือนเดิม 100% แต่เครื่องทดแทนที่ให้ใช้ระหว่างซ่อมอาจไม่มีฟีเจอร์บางอย่างเท่านั้น
2. นัดหมายเข้ารับบริการที่ Apple Store
หลังจากตรวจสอบข้อมูลและยืนยันว่าเครื่องของเราสามารถเข้ารับบริการเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้ ทางเจ้าหน้าที่จะดำเนินการนัดหมายวันและเวลาที่สะดวกสำหรับเข้ารับบริการ โดยในกรณีนี้ผมเลือกเข้ารับบริการที่ Apple Store Central World
เมื่อการนัดหมายเสร็จสมบูรณ์ Apple จะส่งอีเมลและข้อความยืนยัน เพื่อแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับวัน เวลา และสถานที่ รวมถึงคำแนะนำเกี่ยวกับการเตรียมตัวก่อนเข้ารับบริการ เช่น การสำรองข้อมูลอุปกรณ์และการปิดฟีเจอร์บางอย่างเพื่อให้การเปลี่ยนแบตเป็นไปอย่างราบรื่น หนึ่งในคำแนะนำที่ระบุในอีเมลคือ ให้ลูกค้านำอุปกรณ์เสริมอื่น ๆ ไปด้วย เช่น สายชาร์จและสายนาฬิกา

แต่เมื่อเดินทางไปถึง Apple Store ในวันนัดหมายเจ้าหน้าที่ที่หน้าร้านไม่ได้สอบถามถึงอุปกรณ์เสริมเหล่านี้เลยโดยให้ความสำคัญเฉพาะกับตัวเรือน Apple Watch เท่านั้น ดังนั้น หากใครสะดวกก็สามารถนำไปเผื่อไว้ได้ แต่จากประสบการณ์จริง อุปกรณ์เสริมไม่ได้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับกระบวนการเปลี่ยนแบตเตอรี่
3. เดินทางไปเปลี่ยนแบตตามนัดหมาย
เมื่อถึงวันนัดหมายให้เดินทางไปที่ Apple Store ตามเวลาที่กำหนด และแจ้งเจ้าหน้าที่หน้าร้านว่ามาเพื่อเปลี่ยนแบตเตอรี่ Apple Watch หากไม่ได้ทำการนัดหมายล่วงหน้า ก็สามารถ Walk-in ได้เลย แต่การนัดหมายล่วงหน้าจะช่วยให้ได้รับบริการเร็วขึ้น

หลังจากแจ้งเรื่อง เจ้าหน้าที่จะพาไปที่ Genius Bar เพื่อดำเนินการตรวจสอบตัวเครื่องอีกครั้ง โดยใช้ขั้นตอนเดียวกับที่เคยทำผ่านแอป Support คือ ตรวจสอบสุขภาพแบตเตอรี่และทำการวินิจฉัยระยะไกล (Remote Diagnosis)

ขั้นตอนการรับเครื่อง
- เจ้าหน้าที่จะขอให้ Unpair Apple Watch ออกจาก iPhone
- ถอดสายรัดข้อมือและเคสออกให้หมด เนื่องจากเจ้าหน้าที่จะรับเฉพาะตัวเรือนเท่านั้น (แล้วบอกให้อาสายชาร์จมาด้วยทำไม)
- ตรวจสอบสภาพเครื่อง และ ถ่ายรูปรอบตัวเครื่องเพื่อบันทึกหลักฐาน หากมีรอยจากการใช้งานปกติจะไม่มีปัญหา แต่หากพบความเสียหายที่อาจกระทบต่อการเปลี่ยนแบต อาจต้องพิจารณาเพิ่มเติม

ค่าใช้จ่ายและระยะเวลาซ่อม
หลังจากตรวจสอบเครื่อง เจ้าหน้าที่จะแจ้งค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนแบตเตอรี่ หากยอมรับเงื่อนไข จะได้รับอีเมลยืนยันและหมายเลขงานซ่อม โดยระยะเวลาซ่อมอยู่ที่ประมาณ 1-2 สัปดาห์

เจ้าหน้าที่แจ้งว่าเครื่องที่ได้รับคืนจะเป็น รุ่นเดิม สีเดิมและยังไม่ต้องชำระเงินในวันส่งเครื่อง แต่ก็ไม่มีเสนอเครื่องทดแทนให้ใช้ระหว่างรอซ่อม ซึ่งขัดแย้งกับข้อมูลที่ได้รับจากเจ้าหน้าที่ Support ก่อนหน้านี้

4. รับเครื่องหลังการเปลี่ยนแบต
แม้ว่า Apple จะแจ้งระยะเวลาซ่อมไว้ที่ 1-2 สัปดาห์ แต่ในความเป็นจริง เพียง 5 วัน ก็ได้รับอีเมลแจ้งว่าสามารถมารับเครื่องได้แล้วในอีเมลยังระบุเงื่อนไขว่า หากไม่สามารถมารับเครื่องได้ภายใน 14 วัน ควรแจ้งให้ Apple ทราบล่วงหน้า และสามารถมารับได้ตามความสะดวก หลังจากนั้น อีก 2 วัน ก็มีเจ้าหน้าที่โทรมาแจ้งซ้ำอีกครั้ง เพื่อยืนยันให้เข้ามารับเครื่องที่ร้าน เราก็จัดแจงหาวันที่สะดวกเข้าไปรับ

5. รับเครื่องที่ร้าน Apple Store
เมื่อถึงวันที่สะดวกไปรับเครื่อง ก็เดินทางไปที่ Apple Store Central World ซึ่งเป็นสาขาที่ส่งซ่อม สามารถ Walk-in ได้เลย จากนั้นแจ้งเจ้าหน้าที่ว่ามารับ Apple Watch ที่ซ่อมเสร็จแล้ว



ขั้นตอนการรับเครื่อง
- เอกสารที่ต้องใช้ บัตรประชาชน และเงินสด, บัตรเครดิต
- ยืนยันตัวตนด้วยบัตรประชาชนที่มีชื่อตรงกับใบแจ้งซ่อม
- เจ้าหน้าที่จะนำตัวเรือนที่เปลี่ยนแบตเตอรี่แล้วมาให้ ซึ่งจะถูกบรรจุอยู่ในหีบห่อสำหรับเคลมที่ยังไม่ถูกแกะ
- เมื่อแกะออกมา ตรวจสอบสภาพเครื่อง ตัวเรือนที่ได้รับกลับมาอยู่ในสภาพใหม่ ไม่มีรอยขีดข่วนใด ๆ
- เปิดเครื่องและเชื่อมต่อกับ iPhone ตามขั้นตอนปกติ ซึ่งระหว่างนี้อาจต้องอัปเดตซอฟต์แวร์ ซึ่งใช้เวลาค่อนข้างนาน



ถ้าหากไม่สะดวกอยู่รออัปเดตที่ร้าน สามารถจ่ายเงินให้เรียบร้อยแล้วกลับเลยก็ได้
ระหว่างตรวจสอบพบว่า Serial Number ของเครื่องเป็นเลขใหม่ ไม่ตรงกับตัวที่ส่งเคลม จึงคาดว่าน่าจะได้รับเครื่องสำหรับเคลมโดยเฉพาะ ไม่ใช่ตัวเดิมที่ถูกเปลี่ยนแบตให้

การชำระเงิน
ระหว่างรออัปเดตซอฟต์แวร์ ผมก็ชำระเงินค่าบริการ 3,690 บาทกับพนักงาน ซึ่งได้รับใบเสร็จทั้งแบบกระดาษและอิเล็กทรอนิกส์
เรื่องประกัน
- ตัวเครื่องมีประกันซ่อม 3 เดือน นับจากวันที่รับเครื่อง
- หากเครื่องเดิมยังอยู่ในประกันปกติ หรือมี AppleCare+ ประกันจะยังคงเดินต่อจากวันที่รับเครื่อง

รออัปเดตที่ร้าน
ผมนั่งรอให้ตัวเครื่องอัปเดตและซิงค์ข้อมูลประมาณ 30 นาที ซึ่งก็ไม่ได้มีพนักงานมาเร่งรีบอะไรเลย แถมยังช่วยอำนวยความสะดวกโดยให้ยืมสายชาร์จ Apple Watch ใช้ที่น่าสนใจคือมีลูกค้าคนอื่นมาเคลม Apple Watch ด้วยเหมือนกัน
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ใส่สายรัดข้อมือ เก็บของ และเดินออกจากร้านได้เลย ถือเป็นอันจบกระบวนการเปลี่ยนแบตเตอรี่
6. ทดสอบการใช้งาน
หลังจากที่ได้ลองใช้งานจริง พบว่าทุกฟีเจอร์ยังทำงานได้ตามปกติ ไม่ว่าจะเป็นการวัดออกซิเจนในเลือด (SpO2) หรือ ECG ทุกอย่างยังใช้งานได้เหมือนเดิม สรุปแล้ว การเปลี่ยนแบตกับ Apple ครั้งนี้เป็นไปอย่างราบรื่น ได้เครื่องที่พร้อมใช้งานและไม่มีปัญหาเรื่องฟังก์ชันขาดหายไป
เมื่อใช้งานไปประมาณ 1 สัปดาห์ พบว่าแบตเตอรี่อึดขึ้นอย่างชัดเจน จากเดิมที่ชาร์จเต็มก่อนนอน ตอนตื่นมาแบตจะเหลือประมาณ 75-80% แต่ตอนนี้เพิ่มขึ้นเป็น 90% ส่วนการใช้งานระหว่างวัน 12 ชั่วโมง แบตเตอรี่เหลือ 50% ซึ่งต่างจากก่อนหน้าที่จะเหลือเพียง 20% ถ้ามีแพลนไปเที่ยวหรือสังสรรค์ต่อหลังเลิกงาน เดิมทีต้องคอยหาที่ชาร์จเพิ่มระหว่างวัน แต่ตอนนี้ไม่ต้องกังวลแล้ว เพราะแบตเหลือพอใช้ถึงบ้าน

ทำไมถึงเลือกเปลี่ยนแบตแทนการซื้อรุ่นใหม่
ส่วนตัวมองว่า Apple Watch รุ่นใหม่ ๆ ไม่ได้มีอะไรแตกต่างจาก Series 6 ที่ใช้อยู่มากนัก ฟีเจอร์ต่าง ๆ ยังคงตอบโจทย์การใช้งานประจำวันได้ดี จึงไม่รู้สึกว่าจำเป็นต้องเปลี่ยนรุ่นใหม่ และเมื่อลองชั่งน้ำหนักค่าใช้จ่ายแล้ว การเปลี่ยนแบตในราคา 3,690 บาทก็คุ้มค่ากว่าการซื้อเครื่องใหม่ที่ต้องจ่ายเป็นหลักหมื่น สุดท้ายเลยตัดสินใจเลือกเปลี่ยนแบตและใช้งานต่อไปอีก 1-2 ปี ซึ่งก็ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีและประหยัดกว่ามาก
Q&A คำถามจากทางบ้านที่ได้รับใน TikTok (อยู่ระหว่างอัปเดตข้อมูล)
คำถาม | คำตอบ |
---|---|
แชทกับ Apple Support ทำยังไง? | ดาวน์โหลดแอป Apple Support จาก App Store เลือกอุปกรณ์ที่ต้องการความช่วยเหลือ แล้วเลือกหัวข้อที่ต้องการสอบถาม แต่มีเวลาทำการ จ.- ศ. 09:00 – 18:00 น. |
ถ้าไม่ได้คุยกับ Apple Support สามารถเข้าไปที่ศูนย์บริการได้เลยไหม? | สามารถ Walk-in ได้ที่ Apple Store แต่การนัดหมายล่วงหน้าจะช่วยให้ได้รับบริการเร็วขึ้น |
เปลี่ยนแบตแล้วได้รุ่นไหน? | ได้รุ่นเดิม แต่หากอะไหล่ไม่มี อาจได้รุ่นที่ใกล้เคียงที่สุด |
ได้เครื่องเดิมที่แกะซ่อม หรือได้เครื่องใหม่? | ได้เครื่องใหม่ ไม่เคยผ่านการใช้งาน เป็นเครื่องที่เตรียมไว้สำหรับเคลมโดยเฉพาะ |
รุ่นไหนเปลี่ยนแบตได้บ้าง? | ณ ต้นปี 2025 คือ Apple Watch Series 5 ขึ้นไป หรือรุ่นที่ยังไม่ถูกจัดเป็นสินค้า Vintage |
สามารถเปลี่ยนเป็นสีอื่นได้ไหม? | ไม่ได้ ต้องเป็นสีเดียวกับที่ส่งซ่อม |
ตัวเครื่องมีรอย หรือหน้าจอแตกเปลี่ยนแบตได้ไหม? | รออัปเดต |
ต้องมี Apple Care+ ไหมถึงจะเปลี่ยนแบตได้? | ไม่จำเป็น สามารถเปลี่ยนได้แม้ไม่มี Apple Care+ |
ต้องอยู่ในประกันไหม หรือหมดประกันก็เปลี่ยนได้? | หมดประกันก็สามารถเปลี่ยนได้ |
เปลี่ยนได้ที่ไหนบ้าง? iCare หรือ iStudio ทำได้ไหม? | รออัปเดต |
แบตต้องลดต่ำกว่ากี่เปอร์เซ็นต์ถึงเปลี่ยนได้? | ต่ำกว่า 80% |
ทำไมราคาบางคนไม่เท่ากัน? | รออัปเดต |
เครื่องนอกสามารถเปลี่ยนได้ไหม? | รออัปเดต |
อยู่ต่างประเทศสามารถเปลี่ยนได้ไหม? | สามารถเปลี่ยนได้ โดยต้องติดต่อ Apple Support ของประเทศนั้น ๆ |
หมดเขตวันไหน? | จนกว่ารุ่นนั้นจะถูกจัดเป็นสินค้า Vintage |
เคยถูกแกะซ่อมมาแล้ว เปลี่ยนแบตได้ไหม? | รออัปเดต |
ราคาเท่าไหร่? | 3,690 บาท |
เงื่อนไขมีอะไรบ้าง? | รออัปเดต |
สำหรับใครที่ใช้งาน Apple Watch มานานแล้ว เริ่มรู้สึกว่าแบตเตอรี่เสื่อมลงจนส่งผลต่อการใช้งาน แต่ยังไม่อยากเปลี่ยนไปใช้รุ่นใหม่ การเปลี่ยนแบตเตอรี่กับ Apple ถือเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าและช่วยยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ไปได้อีกนาน
แม้ว่าการเปลี่ยนแบตกับร้านข้างนอกอาจมีราคาถูกกว่ามาก แต่ก็ต้องแลกมากับความเสี่ยงเรื่องคุณภาพการซ่อม โดยเฉพาะกับ Apple Watch ที่เป็นอุปกรณ์กันน้ำ หากถูกแกะโดยร้านนอก อาจทำให้ซีลกันน้ำเสียหาย ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้หลายคนรู้สึกไม่สบายใจ เพราะนาฬิกาถูกใช้งานในชีวิตประจำวัน ต้องโดนน้ำจากการล้างมือ เหงื่อ หรือฝนอยู่ตลอด

ในทางกลับกัน การจ่าย 3,690 บาทกับ Apple นั้นไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแบต แต่เราได้ตัวเรือนใหม่ที่ผ่านมาตรฐานของ Apple ทำให้มั่นใจได้ว่าเครื่องยังคงกันน้ำได้เหมือนเดิม ซึ่งสำหรับอุปกรณ์ที่ต้องเจอความชื้นบ่อย ๆ แบบนี้ ถือว่าคุ้มค่าและสบายใจกว่าเยอะ
หากใครกำลังสงสัยเกี่ยวกับขั้นตอนการเปลี่ยนแบต หรืออยากรู้ว่ากระบวนการเป็นอย่างไร เราได้ลองทำมาให้แล้ว หวังว่าประสบการณ์นี้จะช่วยให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าการเปลี่ยนแบตกับ Apple เป็นตัวเลือกที่เหมาะกับคุณหรือไม่นะครับ
ข้อมูลเพิ่มเติม Apple
คุ้ม ๆ