หากจะหาสมาร์ทวอทช์ที่ตอบโจทย์การใช้งานแบบครบ ๆ ในงบประมาณสองพันบาทปลาย ๆ Amazfit Bip 5 และ Redmi Watch 3 ถือเป็น 2 รุ่น ที่มีความน่าสนใจพอสมควร เพราะทั้งสองรุ่นมาในราคาที่ใกล้เคียงกันมาก ๆ และเป็น 2 แบรนด์ ที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่ร่วมชายคากับ Xiaomi และแชร์เทคโนโลยีบางอย่างด้วยกัน แถมยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ต่าง ๆ ก็ใกล้เคียงกัน ทำเอาตัดสินใจยากพอสมควรว่าจะเลือกรุ่นไหนดี วันนี้ DroidSans ก็จะมาเทียบกันให้ดูไปเลยว่ารุ่นไหน แจ่มกว่ากัน

Amazfit Bip 5 มาพร้อมกับตัวเรือนวัสดุพลาสติกแบบ Glossy ทำให้น้ำหนักของตัวเรือนเบามาก ๆ เพียง 26 กรัม เท่านั้น ส่วนหน้าจอแสดงผลใช้พาเนล TFT ความละเอียด 320×380 พิกเซล ได้กระจกแบบโค้ง 2.5D ขนาดใหญ่สุด ๆ ถึง 1.91 นิ้ว ทำให้ดูการแจ้งเตือน หรือดูค่าสถานะต่าง ๆ ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น แต่สำหรับข้อมือของผู้หญิงคิดว่าอาจจะดูใหญ่เกินไปหน่อย ส่วนตัวสายที่ให้มานั้นเป็นสายซิลิโคนแบบสอด ทำให้มั่นใจได้ว่าเมื่อใส่ทำกิจกรรมต่าง ๆ จะไม่หลุดออกมาง่าย ๆ

ส่วน Redmi Watch 3 ตัวเรือนจะมาในวัสดุโลหะขอบเงางาม ที่ให้ความรู้สึกพรีเมียมขึ้นมานิดหน่อย แต่ก็แลกมาด้วยน้ำหนักที่เยอะกว่าเล็กน้อยประมาณ 11 กรัม ส่วนจอแสดงผลถึงแม้จะมีขนาดเพียง 1.75 นิ้ว แต่เรื่องของสีสัน ความคมชัด ความสว่างตัวนี้ถือว่าทำได้ดีกว่า เพราะใช้เป็นพาเนล AMOLED ความละเอียดสูงกว่าที่ 390×450 พิกเซล อีกทั้งรองรับโหมด Always-On Display หน้าจอติดตลอด แต่ตัวสายในรุ่นนี้จะมาในดีไซน์แบบกระดุม ซึ่งใส่ค่อนข้างลำบาก และเมื่อถอดบ่อย ๆ อาจมีโอกาสที่รูกระดุมจะหลวม และทำให้นาฬิกาหลุดได้ง่าย

แน่นอนว่าสมาร์ทวอทช์จะต้องมาคู่กับการเปลี่ยนสายนาฬิกา ซึ่งจุดนี้เราให้ Redmi Watch 3 เหนือกว่านิดหน่อย เนื่องจากดีไซน์การระบบการเปลี่ยนสายออกมาค่อนข้างง่าย เพียงกดปุ่มที่ตัวสาย และดึงออกมาจากหน้าปัดนาฬิกาเท่านั้น แต่ในฝั่งของ Amazfit Bip 5 จะใช้ดีไซน์การเปลี่ยนปุ่มแบบ Quick release ซึ่งต้องใช้นิ้วจิกสลักบนตัวเข็มเล็ก ๆ ที่ซ่อนอยู่ในตัวสาย ซึ่งส่วนตัวคิดว่าทำได้ค่อนข้างยาก และใช้เวลานาน และถ้าตัวเข็มของสายเกิดสูญหายก็อาจใช้งานสายนั้น ๆ ไม่ได้เลย

นอกจากนี้ หากใครที่จะนำไปใช้ในกีฬาทางน้ำ อาจจะต้องลองพิจารณากันอีกที เพราะ AmazFit Bip 5 รองรับมาตรฐานทนน้ำทนฝุ่นระดับ IP68 ซึ่งป้องกันน้ำได้แค่ในระดับหนึ่งเท่านั้น ถ้านำไปใส่อาบน้ำ ล้างจาน ยังอาจจะพอไหว แต่ถ้าจะใส่ลงว่ายน้ำ หรือเล่นกีฬาทางน้ำติดต่อกันนาน ๆ Redmi Watch 3 จะได้เปรียบในจุดนี้ เพราะตัวเรือนได้รับมาตรฐานกันน้ำระดับ ATM5 ซึ่งสามารถทนแรงดันน้ำได้ดีกว่ามาตรฐาน IP แบบปกตินั่นเอง

สรุปแล้วในด้านดีไซน์ วัสดุ และจอแสดงผล Redmi Watch 3 ถือว่าได้เปรียบไปเต็ม ๆ เพราะได้ทั้งตัวเรือนที่ดูเล็กกว่าใส่ได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง ตัวเรือนใช้วัสดุโลหะที่ดูพรีเมียมมากกว่า แถมยังเปลี่ยนสายได้ง่ายแค่คลิกเดียว รวมถึงใช้พาเนลจอที่มีคุณภาพดีกว่า เหมาะกับการใส่กลางแจ้ง แสดงผลสีสันได้ดี แถมยังได้มาตรฐานกันน้ำระดับ ATM5 ด้วย

แต่ถ้าใครไม่ซีเรียสเรื่องวัสดุ แต่อยากได้ตัวเรือนที่ดูเท่กว่า ได้จอใหญ่พร้อมกระจกแบบโค้งไม่เหมือนใคร และได้ตัวเรือนที่น้ำหนักเบา ไม่หนักข้อมือ Amazfit Bip 5 ก็ยังถือเป็น 1 ในทางเลือกที่น่าสนใจนะ

การเชื่อมต่อ

ทั้ง Amazfit Bip 5 และ Redmi Watch 3 มาพร้อมเทคโนโลยีการเชื่อมต่อแบบ Bluetooth 5.2 รองรับการเชื่อมต่อ ทั้ง Android และ iOS ซึ่งสามารถซิงก์ข้อมูลสุขภาพต่าง ๆ ลงในแอป Apple Health ได้ด้วย 

ซึ่งการเชื่อมต่อของทั้งสองรุ่นก็ง่าย ๆ คล้ายๆ กัน เพียงแต่ใช้งานคนละแอป โดย Amazfit Bip 5 จะใช้แอป Zepp ส่วน Redmi Watch 3 จะใช้แอป Mi Fitness สามารถดาวน์โหลดแอป พร้อมล็อกอิน และกดสแกน QR Code เพื่อเชื่อมต่อสมาร์ทวอทช์เข้ากับมือถือเพื่อซิงก์ข้อมูลสุขภาพ หรือใช้งานฟีเจอร์ต่าง ๆ บนสมาร์ทวอทช์ได้เลย  

เทียบฟีเจอร์การใช้งานต่าง ๆ ใครเหนือกว่าใคร? 

ฟีเจอร์โทรออก รับสายจาก Smartwatch ผ่าน Bluetooth 

ทั้ง Amazfit Bip 5 และ Redmi Watch 3 มาพร้อมฟีเจอร์อย่าง Bluetooth Phone Calls ที่สามารถโทรออก รับสายจากตัวนาฬิกาได้เหมือนกัน แต่ Amazfit Bip 5 จะมีความพิเศษตรงที่สามารถกดเบอร์จากตัวนาฬิกา และโทรออกได้เลย ไม่ต้องหยิบมือถือขึ้นมาให้ยุ่งยาก ซึ่ง Redmi Watch 3 ไม่มีระบบที่ว่านี้ สามารถโทรออกได้เฉพาะเบอร์โทรที่เคยมีประวัติโทรเข้ามาเท่านั้น

แต่อย่างไรก็ตาม คุณภาพของการโทร ยังไงก็ต้องให้ฝั่งของ Redmi Watch 3 อยู่ดี เพราะเสียงสนทนาที่ออกมาจากตัวนาฬิกามีเสียงที่ดัง และชัดเจนกว่า ไม่ต้องยกตัวนาฬิกามาจ่อที่หูก็ได้ยินถนัด แต่สำหรับ Amazfit Bip 5 เสียงที่ออกจากลำโพงของตัวนาฬิกาค่อนข้างเบามาก ๆ ถึงแม้จะเปิดเสียงดังสุด ๆ ก็ตาม ต้องยกตัวนาฬิกามาไว้ข้าง ๆ หู ถึงจะได้ยินได้ชัดเจน ทั้งนี้ทาง Amazfit อาจจะออกซอฟต์แวร์มาแก้ไขในจุดนี้ภายหลังก็ได้

ฟีเจอร์การวัดค่าสุขภาพต่าง ๆ

สำหรับฟีเจอร์วัดค่าสุขภาพนั้น สมาร์ทวอทช์ทั้งสองรุ่นรองรับการติดตามและการวัดค่าสุขภาพตลอด 24 ชั่วโมง และสามารถเข้าไปดูข้อมูลแบบละเอียดได้ผ่านแอปเหมือนกัน และนาฬิกาทั้งสองรุ่นสามารถวัดค่าสุขภาพได้ ดังนี้

  • อัตราการเต้นของหัวใจ
  • ออกซิเจนในเลือด (SpO2)
  • ความเครียด
  • การนอนหลับ
  • การติดตามรอบการมีประจำเดือน

และจากที่ได้ลองทดสอบสวมใส่ออกกำลังกาย วัดอัตราการเต้นของหัวใจพร้อมกัน พบว่าค่าที่ออกมาค่อนข้างตรงกันพอสมควร แต่อาจจะมีความคลาดเคลื่อนอยู่ที่ประมาณ 1 – 3 BPM ซึ่งอาจจะมีตัวแปรหลายปัจจัย เช่น ความแน่นในขณะสวมใส่ และการเคลื่อนไหวของตัวเรือนในขณะออกกำลังกาย 

แต่ฝั่งของ Amazfit Bip 5 จะมีความพิเศษอยู่ที่ฟีเจอร์ One-Tap Measurement ที่สามารถวัดค่าสุขภาพอัตราการเต้นของหัวใจ ระดับความเครียด รวมถึงค่าออกซิเจนในเลือดได้ภายในคลิกเดียว ไม่ต้องกดวัดทีละอย่าง และในทุก ๆ เช้าจะมี Morning Updates ที่จะช่วยสรุปแล้วแจ้งข้อมูลสภาพร่างกายให้ในทุก ๆ เช้า

นอกจากนี้ Amazfit Bip 5 ยังสามารถกำหนดค่าให้แจ้งเตือนเมื่อพบว่าหัวใจเต้นเร็ว หรือเต้นช้าจนผิดปกติ หรือแจ้งเตือนเมื่อออกซิเจนต่ำกว่าค่าที่เรากำหนดไว้ได้ด้วย เรียกได้ว่าใครที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับหัวใจ หรือต้องการข้อมูลสุขภาพแบบ Insights Amazfit Bip 5 จึงเป็นรุ่นที่ตอบโจทย์กว่ามาก ๆ เพราะเป็นฟีเจอร์ที่ Redmi Watch 3 ยังขาดไปอยู่

ฟีเจอร์การออกกำลังกาย

สำหรับฟีเจอร์การออกกำลังกายนั้น ส่วนตัวคิดว่าถ้าไม่ใช่กิจกรรมทางน้ำ เช่น ว่ายน้ำ หรือดำน้ำตื้น Amazfit Bip 5 เป็นรุ่นที่ตอบโจทย์มากกว่า เพราะนอกจากจะมาพร้อมโหมดกีฬากว่า 120 รูปแบบแล้ว ยังมาพร้อมกับระบบที่เราสามารถตั้งค่าให้ตัวนาฬิกาตรวจจับ และเข้าสู้โหมดการออกกำลังกายให้อัตโนมัติถึง 7 แบบ ทั้งการวิ่ง การเดิน หรือแม้กระทั่งการปั่นจักรยาน

นอกจากนี้ Amazfit Bip 5 ยังมาพร้อมระบบ PAI ที่ช่วยเก็บรวบรวมข้อมูลอัตราการเต้นของหัวใจ เพศ อายุ และประเมินผลการออกกำลังกาย พร้อมคำนวณผลเป็นคะแนนให้เสร็จสรรพ เพื่อให้เรารู้ว่าควรออกกำลังแค่ไหนให้สุขภาพดีขึ้น และช่วยตั้งเป้าหมายให้เรามีแรงจูงใจในการออกกำลังกายด้วย

แต่ฝั่ง Redmi Watch 3 ถึงแม้ว่าจะไม่มีระบบการตรวจจับการออกกำลังกายอัตโนมัติ หรือระบบ PAI แต่ก็มาพร้อมระบบออกกำลังกายกว่า 120 แบบ ที่ครบครันเหมือนกัน แต่ด้วยความที่ตัวเรือนกันน้ำระดับ ATM5 ทำให้มีโหมดการออกกำลังกายในน้ำที่หลากหลายกว่า ทั้งการว่ายน้ำในสระ กีฬาโปโลน้ำ ระบำใต้น้ำ รวมถึงการดำน้ำ ทั้งแบบ Open Water และ Scuba Diving ซึ่งการออกกำลังกายทั้งหมดนี้จำเป็นต้องแช่อยู่ในน้ำนาน ๆ ดังนั้น ระดับการกันน้ำ IP68 ของ Amazfit Bip 5 จึงไม่เพียงพอแน่นอน

ระบบ GPS เป็นอย่างไร?

ซ้าย Redmi Watch 3 / ขวา Amazfit Bip 5

Amazfit Bip 5 รองรับระบบการติดตามตำแหน่งทั้งหมด 4 รูปแบบ ได้แก่ GPS / GLONASS / GALILEO / QZSS ส่วน Redmi Watch 3 นั้นรองรับระบบการติดตามทั้งหมด 5 รูปแบบ ซึ่งได้เพิ่มการรองรับดาวเทียมระบุพิกัดของประเทศจีน Beidou เข้ามาด้วย แต่ทั้งนี้ถ้าไม่ได้นำไปใช้ในประเทศจีน ก็อาจจะไม่สำคัญมากเท่าไหร่

เปรียบเทียบ GPS : ซ้าย Amazfit Bip 5 / ขวา Redmi Watch 3

และจากการที่ได้ทดสอบใส่และลองเดินออกกำลังกายเป็นระยะเวลาสั้น ๆ โดยจุดเริ่มต้นและจุดหยุดออกกำลังกายเป็นตำแหน่งเดียวกัน แล้วพบว่า Redmi Watch 3 จับตำแหน่งได้ค่อนข้างช้ากว่า Amazfit Bip 5 เล็กน้อย และจุดเริ่มต้นที่ตัวนาฬิกาจับได้ค่อนข้างห่างกับจุดที่ยืนอยู่จริง ๆ พอสมควร ส่วนตัว Bip 5 สามารถจับ GPS ได้แม่นยำเป็นอย่างดี แสดงจุดเริ่มต้น และจุดหยุดเดินได้ตรงกับตำแหน่งจิรง ๆ

ระบบนาฬิกา การตอบสนองต่าง ๆ รุ่นไหนทำได้ดีกว่ากัน?

เรื่องระบบของตัวสมาร์ทวอทช์ ถ้าวัดกันที่ระบบปฏิบัติการ ส่วนตัวให้ Amazfit Bip 5 เหนือกว่านิดหน่อย เพราะตัวนาฬิกามาพร้อมกับ ZeppOS 2.0 ที่รองรับการดาวน์โหลดแอปเพิ่มเติมถึง 70 กว่าแอป บน Zepp App Store ที่มีให้โหลดทั้งแอปเครื่องคิดเลข รวมถึงเกมฆ่าเวลาต่าง ๆ

แต่สำหรับการตอบสนองและความลื่นไหล ส่วนตัวยกให้ Redmi Watch 3 ชนะไปเต็ม ๆ เพราะถึงแม้ว่าจะไม่ได้ระบุว่าใช้ระบบปฏิบัติการอะไร และไม่รองรับการดาวน์โหลดแอปเพิ่มเติม แต่การตอบสนองถือว่ากินขาด การปัดหน้าจอเลื่อนเมนู เข้าออกแอป ทำได้ลื่นไหลและเนียนตากว่ามาก ๆ 

รวมถึงเมื่อยกนาฬิกาขึ้นเพื่อเปิดหน้าจอดูเวลา และการแสดงผลก็ทำได้รวดเร็ว ไม่ต้องรอเวลา ในขณะที่ Amazfit Bip 5 ต้องรอประมาณ 1 – 2 วินาที กว่าหน้าปัดจะเปิดขึ้นมา แถมการตอบสนองต่อการสัมผัสยังไม่ลื่นไหลเท่า Redmi Watch 3

หน้าปัด Redmi Watch 3 

ส่วนเรื่องระบบการปรับแต่งรูปแบบนาฬิกานั้น Redmi Watch 3 ก็ยังถือว่าเหนือกว่าอยู่ดี เพราะมีรูปแบบหน้าปัด Watch Face ให้เลือกใช้งานกว่า 200 รูปแบบ อีกทั้งยังสามารถตั้งรูปของเราให้เป็นรูปบนหน้าปัด Watch Face แบบ Slide Show ได้ด้วย

ซึ่งถึงแม้ว่า Amazfit Bip 5 จะมีหน้าปัด Watch Face ให้เลือกเพียง 70 กว่าแบบ แต่ระบบตั้งรูปที่ชอบเป็นหน้าปัด Watch Face ถือว่าทำได้ละเอียดกว่ามาก ๆ เพราะนอกจากจะเลือกรูปที่เราชอบได้แล้ว ยังสามารถเปลี่ยนตำแหน่งนาฬิกา เปลี่ยนสี Font เป็นสีที่เราชอบได้ด้วย นอกจากนี้ ยังมี Watch Face ในรูปแบบ Portrait ที่สามารถนำรูปของเรามาเจาะพื้นหลัง ทำให้ตัวเลขนาฬิกาให้มีความทับซ้อน เหลือบกับภาพของเรา และเปลี่ยน Font เป็นสไตล์ที่เราชอบ ทำได้เหมือนฟีเจอร์วอลล์เปเปอร์บนมือถือรุ่นใหม่ ๆ เลยทีเดียว 

แบตเตอรี่

จากที่ได้ลองสลับใช้งานกันประมาณ 3 วัน พร้อมเปิดฟีเจอร์การวัดค่าต่าง ๆ แบบละเอียด เพื่อพยายามรีดประสิทธิภาพการใช้งานแบตเตอรี่ของทั้งสองรุ่น พบว่าปริมาณแบตเตอรี่ที่เหลืออยู่ในช่วงเช้าวันที่ 3 อยู่ที่ราว ๆ 61 – 59% ซึ่งถือว่ามีความอึดที่พอ ๆ กันเลยทีเดียว เรียกได้ว่าใช้งานกัน 4 – 5 วัน แบบไม่ต้องชาร์จก็อยู่ได้สบาย ๆ

ตารางสรุปการเปรียบเทียบ Amazfit Bip 5 และ Redmi Watch 3

รุ่น / สเปคAmazfit Bip 5Redmi Watch 3
จอแสดงผลจอโค้ง TFT LCD 1.91 นิ้ว
320×380 พิกเซล
ไม่ระบุความสว่าง
จอ AMOLED 1.75 นิ้ว
390×450 พิกเซล
สว่างสูงสุด 600 nits
รองรับ Always-on display
ขนาด / น้ำหนักตัวเรือน
(ไม่รวมสาย)
45.94 x 38.09 x 11.2 มม.
26 กรัม
42.58 x 36.56 x 9.99 มม.37 กรัม
แบตเตอรี่300 mAh
ใช้งานทั่วไปสูงสุด 10 วัน
289mAh
ใช้งานทั่วไปสูงสุด 12 วัน
มาตรฐานทนน้ำIP68ATM5
วัสดุตัวเรือนพลาสติกโลหะ
การเชื่อมต่อBluetooth 5.2
ระบบระบุตำแหน่งGPS/GLONASS/Galileo/QZSSBeidou/GPS/GLONASS/Galileo/QZSS
การโทร และรับสายผ่าน Bluetoothรองรับ มีปุ่มตัวเลขในตัวรองรับ
ฟีเจอร์ออกกำลังกาย124 โหมด
รองรับการตรวจจับการออกกำลังกายอัตโนมัติ 7 โหมด
121 โหมดรองรับโหมดกีฬาทางน้ำ
ฟีเจอร์แจ้งเตือนเมื่อค่าสุขภาพมีความผิดปกติรองรับไม่รองรับ
ฟีเจอร์ One-Tap Measurement
ฟีเจอร์ Morning Updates
ฟีเจอร์แต้ม PAI
จำนวนหน้าปัดที่มีให้เลือกมากกว่า 70 แบบมากกว่า 200 แบบ
รองรับการดาวน์โหลดแอปเพิ่มรองรับไม่รองรับ
สีตัวเรือนขาว / ดำ / ชมพูดำ / ทอง
ราคา2,490 บาท2,990 บาท

สรุปการใช้งาน รุ่นไหนเหมาะกับใคร?

หลังจากที่ได้ทดสอบใช้งานสองรุ่น ส่วนตัวคิดว่า Amazfit Bip 5 น่าจะเหมาะกับคนที่ต้องการสมาร์ทวอทช์ที่มีฟีเจอร์แน่น ๆ ตอบโจทย์คนที่ชื่นชอบการออกกำลังกายเป็นชีวิตจิตใจ เพราะฟีเจอร์สำหรับการออกกำลังกายเรียกได้ว่าเยอะจัดเต็ม และให้ข้อมูลที่ค่อนข้างละเอียด แถมผู้ที่มีปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับโรคหัวใจก็ถือว่าเหมาะ เพราะเราสามารถตั้งค่านาฬิกาให้แจ้งเตือน หากพบว่าอัตราการเต้นของหัวใจสูง หรือต่ำเกินที่เราตั้งไว้ได้ ซึ่งในราคาเพียงแค่ 2,490 บาท แต่ได้ฟีเจอร์ที่จัดเต็มขนาดนี้ถือว่าคุ้มพอสมควร

สำหรับ Redmi Watch 3 ถึงแม้ว่าจะไม่ได้จัดเต็มด้านฟีเจอร์ และมีขนาดจอที่เล็กว่า Amazfit Bip 5 แต่เรื่องของฮาร์ดแวร์ และการดีไซน์ตัวเครื่อง ส่วนตัวคิดว่าทำได้ดีกว่าไม่น้อย เพราะทั้งใช้พาเนลที่มีคุณภาพดีกว่า มาพร้อมตัวเรือนที่ดูมีความเป็นไลฟ์สไตล์มากขึ้น และยังมาในขนาดกำลังดี ไม่ดูใหญ่ไปสำหรับผู้หญิง แถมยังเปลี่ยนสายง่าย ซึ่งน่าจะตอบโจทย์คนที่ต้องการสมาร์ทวอทช์ที่ใส่ได้ทุกวัน แต่ยังคงมีฟีเจอร์ออกกำลังกายไว้แบบครบครัน แถมยังมีฟีเจอร์กีฬาทางน้ำเยอะกว่าด้วย

ราคา และการวางจำหน่าย

และสำหรับใครที่สนใจสมาร์ทวอทช์ทั้งสองรุ่น สามารถหาซื้อได้แล้วในเว็บ E-Commerce ต่าง ๆ ทั้ง Shopee Lazada และ Tiktok shop หรือหาซื้อได้ที่หน้าร้านสาขา Betrend , B2S , IT city , Banana และร้านค้าโซนสินค้าเทคโนโลยีในห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วไป โดย Amazfit Bip 5 จะมีให้เลือกทั้งหมด 3 สี ได้แก่ สีขาว, ดำ และ ชมพู ในราคาเพียง 2,490 บาท

ช่องทางการสั่งซื้อ

ส่วน Redmi Watch 3 จะมีตัวเรือนให้เลือกเพียง 2 สี เท่านั้น ได้แก่ สีดำ และสีทอง Ivory ส่วนราคาวางจำหน่ายจะสูงขึ้นมานิดหน่อย อยู่ที่ 2,990 บาท หากดูจากที่เราเปรียบเทียบไว้แล้วชอบรุ่นไหน สามารถไปสั่งซื้อมาใช้กันได้เลยนะ

ช่องทางการสั่งซื้อ