ฮือฮากันมากเมื่อตอนเปิดตัวสำหรับ Galaxy A9 ที่ได้กล้องหลังมาถึง 4 ตัว พร้อมกับความที่เค้าอยากให้เป็นมือถือที่ตอบโจทย์ รวมทุกอย่างไว้ในเครื่องเดียว ดูหนัง เล่นเกม ถ่ายรูป โซเชียลมีเดีย เราก็ลองได้จับมาซักพัก เลยอยากมาแชร์ว่าสรุปแล้วมันครบมั้ย มันตอบโจทย์ทั้งหมดที่เค้าตั้งไว้ได้รึเปล่าค่ะ

ดีไซน์

ขอเริ่มที่ตัวดีไซน์ หน้าตากันก่อน Galaxy A9 นี้ได้ดีไซน์แบบไล่สีเป็นรุ่นแรกของทางซัมซุง ส่วนตัวเลยมองในมุมผู้หญิงเค้าทำออกมาถูกใจเรามากก จับมาแล้วทั้งสองสี ชมพู Bubble Gum ไล่จากชมพูอ่อนไปเข้ม ออกหวานหน่อยๆ แต่ไม่ได้หวานมากจนเลี่ยน ผู้หญิงที่ไม่ได้ชอบสชมพูมากมายแบบเราก็ว่ามันสวยดี

ส่วน Lemonade Blue ก็สวยไม่แพ้กัน ไล่สีจากฟ้าอ่อนไปน้ำเงิน สำหรับผู้ชาย หรือ สาวที่ไม่ได้หวานมากก็น่าจะถูกใจ หรือถ้าใครโดนใจทั้งสองสีที่ว่า เค้าก็ยังมีสีดำล้วนมาให้เลือกเช่นกันค่ะ

หน้าจอขนาด 6.3 นิ้ว ไซส์ จับถือเข้ามือดี เดี๋ยวนี้จอ 6 นิ้วก็แทบจะเป็นไซส์หลักๆไปแล้วจากที่เมื่อก่อนว่าใหญ่ ตอนนี้ก็ชินมือไปซะงั้น ส่วนจอ Super Amoled FHD+ สีและความคมชัด ของฝั่งซัมซุงทำมาได้ดีเสอต้นเสมอปลายอยู่แล้ว

 

ประสิทธิภาพการใช้งาน + เกม

หลังจากจับถือมาเรื่องที่ไม่ต้องกังวลเลยอย่างแรกคือการเล่นโซเชียล เพราะสเปคที่ให้มาสบายมากๆกับการไถฟีด กดไลค์ กดแชร์ ไม่ว่าจะเฟสบุ๊ค หรือ ทวิตเตอร์ อินสตาแกรม เบราเซอร์ก็เปิดเว็บได้ชิลๆ

เล่นเกมที่เล่นประจำๆอย่าง ROV กับชิป Snapdragon 660 อันนี้ก็ไปได้สบายๆ 30 Fps เนียนๆไม่ค่อยตกมาก สามารถเปิดโหมดเฟรมเรทสูงได้ 60 Fps เท่าที่เล่นมาเฟรมตกบ้างอยู่ที่ประมาณ 50-60 แต่เกมไม่ได้กระตุกค่ะ บวกเยอะอาจจะร่วงมาที่ 40 ปลายๆบ้าง บางไฟท์นะ ส่วน Pubg เกมตั้งค่ามาให้ที่ความละเอียดระดับกลาง แต่ก็ปรัปไปเล่นที่ระดับสูงได้อยู่ ต้องบอกว่าเรื่องเกมหายห่วงไปเช่นกัน

มาถึงผลคะแนน Antutu ของ Galaxy A9 รุ่นนี้ทดสอบมาได้ 140,171 คะแนน แถวๆเดียวกับพวก Snap 660 ทั่วไป

GPS test ตัวนี้จับดาวเทียมสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 37 ดวง ความเที่ยงตรง(Accuracy) ต่ำสุดที่วัดได้ในที่แจ้งจะอยู่ที่ +- 3 ค่ะ

เพิ่มเติมสำหรับสองซิมที่ให้มานั้น รุ่นนี้รองรับเป็น 4G ทั้ง 2 ซิม มี VoLTE และ VoWiFi ให้ใช้กันครบ สะดวกและตอบโจทย์เรื่องเครือข่าย และ การโทรศัพท์ ส่วน WiFi รองรับ 2.4GHz และ 5GHz ค่าา

 

กล้อง

กล้องหลัง 4 ตัว แบ่งเป็นเลนส์ไวด์ เลนส์เทเล เลนส์หลัก และ เลนส์วัดระดับตื้นลึกทำเบลอแบบ Live Focus แบ่งความละเอียดมาให้ตามนี้ค่ะ

กล้องตัวที่ 1 :  8 MP (f2/4) Ultra Wide ถ่ายกว้าง ถ่ายไกลกว่าเดิมระยะ 120° ช่วยให้เก็บภาพได้กว้างขึ้น
กล้องตัวที่ 2 : 10 MP (f2/4) เลนส์ Tele 2X ที่จะเข้ามาช่วยเราซูมถ่ายวัตถุที่อยู๋ไกล
กล้องตัวที่ 3 : 24 MP (f1/7) เลนส์หลัก ใส่เทคโนโลยีรวมพิเซลเข้ามาด้วย ซึ่งจะทำงานเมื่อแสงน้อย รวม 4 Pixel ให้เป็น 1 Pixel เพื่อให้ภาพมีคุณภาพมากขึ้น
กล้องตัวที่ 4 : 5 MP (f2/2) เลนส์สำหรับ Live Focus โดยเฉพาะ

สำหรับโหมดกล้องที่ใช้บ่อยๆก็จะเป็นโหมดอัตโนมัติ และ ตัวปรับสีภาพ( AI ที่คอยจับซีนแล้วเพิ่มสีให้เหมาะสมนั่นแหละ) ซึ่งสองโหมดนี้จะใช้เลนส์ได้ครบ 4 ตัวเลย แต่สำหรับโหมดโปรจะใช้แค่เลนส์หลักอย่างเดียวค่ะ

โหมดอัตโนมัติตัวเลนส์หลัก และ เลนส์ซูมจะสามารถแตะเพื่อโฟกัสได้ แต่เลนส์ไวด์จะแตะโฟกัสไม่ได้ ซึ่งทั้งสามตัวนี้จะยังคง แตะจอเพื่อปรับดึงแสง ขึ้น หรือ ลง ได้ในโหมดนี้ค่ะ แต่จะดึงแสงไม่ได้ในโหมดปรับสีภาพนะ

อย่างที่บอกว่าเลนส์ไวด์จะไม่มีการแตะเลือกโฟกัสในโหมดไหนเลย มันจะชัดโดยรวมๆแบบทั้งภาพในระยะที่เลนส์ทำได้ เน้นถ่ายวิว ถ่ายสถานที่ ดูรวมๆก็เหมือนจะชัดดีนะ แต่ซูมเข้าไปแล้วจะเห็นว่ามันไม่ได้คมชัดแบบที่เราหวังว่าจะเห็นรายละเอียดที่คมกว่านี้ ตรงนี้ก็แอบเสียดาย

แต่โดยรวมๆสำหรับเลนส์ไวด์ เหมาะสำหรับการถ่ายภาพกลางวัน หรือ กลางคืนที่มีแสงเยอะๆ ถ่ายไว้แชร์ ไว้อัพลงโซเชียล เช็คอิน อันนี้ก็ทำได้สบายๆค่ะ การถ่ายมุมกว้างเลนส์ Ultra Wide โค้งๆแบบนี้ทำให้ได้มุมใหม่ๆเก็บรายละเอียดพื้นที่ในภาพได้เยอะกว่าเลนส์ธรรมดา และมีสเน่ห์ในความไวด์ของมัน

โดยถ้าไม่อยากให้ขอบโค้งก็สามารถเลือกปรับได้ด้วยค่ะ ที่การตั้งค่าในรูปที่ถ่ายด้วยกล้องไวด์แล้วเข้าไปแก้ ภาพก็จะถูกจับบิดนิดนิง ขอบภาพหายไปหน่อยๆ

ในส่วนของเลนส์หลัก ภาพกลางวันเค้าทำก็ได้ดีเก็บแสง เก็บสีครบ ส่วนกลางคืนที่ใส่เทคโนโลยีการรวมพิกเซลของหลายๆ ภาพจาก 4 เป็น 1 นั้น ลองถ่ายในที่แสงน้อยมา เค้าก็มีการดึงแสงขึ้นมาให้สว่างกว่าตาเห็นจริงๆ

เลนส์ซูมก็อารมณ์เดียวกับกล้องที่มีเลนส์เดียวแล้วกด X2 เท่าเข้าไปนั่นแหละ แต่ว่า UI ของตัวนี้กดปุ่มชัดเตอร์ลากซ้าย ขาวเพื่อซูมไม่ได้ ต้องเอานิ้วขยายเข้าออกแทนค่ะ

โหมด Live Focus มี Art Bokeh มาให้ด้วย ปรับแต่งเบลอโบเก้ให้เป็นรูหัวใจ ดวงดาวได้ตามสะดวก แต่ก็ต้องให้รูปนั้นมีโบเก้วงๆพอที่จะะให้ซอฟแวร์มันเห็นและต้องขึ้นว่า “พร้อมใช้งาน” เพื่อให้เรามาปรับต่อได้ด้วยนะ ไม่งั้นจะปรับได้แค่ความเบลอเท่านั้น ไม่มีรูปทรงมาให้ปรับค่ะ ซึงแอบถ่ายยากอยู่ เพราะมันไม่ค่อยขึ้นเป็นพร้อมใช้งานมาให้ ต้องขยับๆ ให้ได้ระยะ ลองดูตัวอย่างภาพทั้งหมดกันเลยค่ะ

ตัวอย่างภาพจาก Galaxy A9

 

กล้องหน้า

ในส่วนของกล้องหน้าความละเอียด  24 ล้านพิกเซลนั้น ใส่โหมดมาให้เล่นหลายอันเหมือนกัน ทั้งโหมดบิวตี้ที่ของซัมซุงทำได้ดีอยู่แล้ว เนียนแบบไม่เอเลี่ยน ไม่เบลอ หรือจะโหมดโฟกัสเซลฟี่มาให้ และ ยังสามารถสร้าง AR ตัวการ์ตูนตัวเองได้ด้วยในรุ่นนี้

 

สรุป Galaxy A9 น่าซื้อไหม ?

จากการถือใช้งานจริงมาเรื่องประสิทธิภาพขงการใช้งาน การเล่นเกม ดูหนังฟังเพลง ไม่มีปัญหาเลย ยิ่งเรื่องแบตยิ่งหายห่วง 5,000 mAh ที่ให้มาวัน สองวันก็ยัง ส่วนเรื่องกล้อง เราว่าสเน่ห์ของมันคือกล้อง 4 ตัวนี่แหละ อย่างแรกคือ ภาพ Live Focus ถ่ายง่ายขึ้น ไม่ต้องเดินขยับเข้าขยับออก เพราะระยะไม่เปลี่ยน ส่วนกล้อง Ultra Wide ที่ใส่มาให้ก็ดี เพราะเวลาถ่ายออกมาแล้วมานั่งดูภาพ เราจะรู้สึกเหมือนเรากำลังเที่ยวอยู่ตรงนั้น มันได้ฟิลแบบนักท่องเที่ยว มุมที่ทำให้รู้สึกว่าอยากไปเที่ยวอีกจังอะไรแบนั้นอะ แล้วก็ดีตรงที่เวลาถ่ายในที่แคบๆ ถอยหลังไม่ได้แล้ว เปิดไวด์มา โอ้โห เก็บหมดเลย ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ได้ดีมาก

แต่เรื่องที่ติดใจอยู่นิดหน่อยก็คือเรื่องความละเอียดของกล้องนี่แหละค่ะ อาจจะเป็นเพราะ Galaxy A เป็นซีรี่ย์ที่ซัมซุงทดลองใส่อะไรใหม่ๆเข้ามาอยู่ประจำ ก็เลยอาจจะยังทำได้ไม่เท่าที่เราคาดหวัง โดยเฉพาะเพราะกล้องไวด์ที่ให้มาเหมือนจะคมชัดน้อยไปซักนิด และ ทำได้ไม่ค่อยดีในที่แสงน้อย เลยคิดว่าถ้าเปิดมาที่ราคานี้ 19,990 บาท รวมพลังชิปกับลูกเล่นกล้องก็ถือว่าไม่ได้แพงจนเกินไป แต่ถ้างบไม่ถึง Galaxy A7 ที่ได้กล้อง Ultra Wide เหมือนกัน นั้นก็เป็นอีกตัวเลือกที่ดี ในราคาถูกกว่ากันตั้งเกือบครึ่งเลย

Play video