KengKawiz รายงานตัวครับผม! ช่วงนี้กระแสรักสุขภาพกำลังมาแรงมว๊าก และแน่นอนค่ะว่าเมื่อคนหันมาใส่ใจสุขภาพกันขนาดนี้ก็ทำให้เทรน gadget wearable devices อย่างพวก Activity tracker ต่างๆ ที่สามารถติดตามผลด้านสุขภาพ เช่น การนับก้าวเดิน หรือการแสดงจำนวนแคลอรี่ที่เผาผลาญไปในแต่ละวันนั้นเติบโตตามมาอย่างรวดเร็วด้วยเช่นกัน วันนี้กวิสก็เลยจะขอหยิบอีกหนึ่ง activity tracker ที่เพิ่งเปิดตัวไปได้ไม่นานอย่าง Garmin vivofit มารีวิวเพื่อเพิ่มตัวเลือกให้คน healthy กันค่ะ!

แต่ก่อนที่จะเข้าการรีวิวเราลองมาแกะกล่องเจ้า vivofit กันก่อนเลยดีกว่า!

 

ของที่มาในกล่องก็มีตัวเครื่อง vivofit , มีสายมาให้เลือกใช้ 2 ขนาด , มี Ant+ dongle ใช้เชื่อมต่อข้อมูลกับคอมพิวเตอร์ผ่านทาง USB ในกรณีที่สมาร์ทโฟนของเราไม่รองรับ vivofit และที่ขาดไม่ได้เลยคือคู่มือการใช้งานนั่นเอง

โดยตัว Garmin vivofit นั้นสามารถถอดแยกออกมาได้เป็น 2 ส่วน คือส่วน ที่เป็นตัวเครื่องและส่วนที่เป็นสายรัดข้อมือ  ทั้งนี้เพื่อให้เราสามารถเลือกถอดเปลี่ยนสีของสายได้เองตาม mood and tone ของแต่ละวันและยังสามารถเลือกปรับความยาวของสายให้เหมาะสมกับข้อมือของแต่ละคนอีกด้วย

ส่วนที่ตัวเครื่องนั้นจะเป็นตัวสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดเล็ก ที่สามารถเก็บข้อมูลได้ทั้งจำนวนก้าวเดินในแต่ละวัน , ระยะทางที่เดินไป , เป้าหมายจำนวนก้าวเดินของแต่ละวัน , แคลลอรี่ที่เราเผาผลาญไป และยังทำหน้าที่เป็นนาฬิกาบอกวัน-เวลาได้ในตัวด้วย ส่วนข้อมูลนั้นสามารถเก็บได้ยาวนานถึง 30 วันหากเรายังไม่ได้ทำการ sync ไปที่มือถือหรือคอมพิวเตอร์ค่ะ

 

จุดเด่นของตัว vivofit นั้นนอกจากจะสามารถกันน้ำได้ลึกถึง 50 เมตร ชนิดที่ให้เราสามารถใส่ว่ายน้ำ ใส่อาบน้ำ หรือใส่ไปดำน้ำกันได้แล้ว ยังมาพร้อมแบตเตอรี่ที่อึดกว่าทุกค่ายในตลาด เพราะ vivofit สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องยาวนาน 1 ปี จากที่ปกติพวก wearable devices ต่างๆ จะต้องชาร์จทุก 2-3 วัน ซึ่งแบตเตอรี่ที่ใช้ก็เป็นถ่านนาฬิกากลมๆ 2 ก้อนที่หาเปลี่ยนได้ตามร้านนาฟิกาทั่วไปเลย แต่งานนี้ได้อย่างก็ต้องเสียอย่างนะคะ! เมื่อต้อง save แบตขนาดนี้อะไรที่ไม่จำเป็นก็จะต้องถูกตัดออกไปหมด งานนี้เลยจะไม่มีทั้งการสั่น เสียง หรือแม้แต่ไฟบนหน้าจอ

ด้านการใช้งานก็ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนค่ะเพราะที่ตัว vivofit จะมีปุ่มอยู่เพียงแค่ปุ่มเดียวเท่านั้น เพื่อใช้กดเปลี่ยนโหมดที่เราอยากดูข้อมูลเช่น กดเพื่อดูเวลา ดูจำนวนก้าวเดิน เป็นต้น ส่วนแถบแดงๆ ที่เห็นนั้นคือเป็นแถบเตือนว่าเราไม่ได้ขยับตัวนานแค่ไหนแล้ว โดยขีดแดงยาวๆ อันแรกนั้นจะขึ้นเมื่อเราอยู่นิ่งเกิน 1 ชั่วโมง ส่วนขีดสั้นๆ ต่อไปนั้นจะขึ้นมาทุกๆ 15 นาทีค่ะ เมื่อเราเริ่มเดินตัวขีดแดงๆ ก็จะค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ จนหายไปหมด

มาถึงขั้นตอนของการ sync ข้อมูลกันบ้างค่ะ ให้เรากดปุ่มที่ vivofit ประมาณ 2 วินาที ที่หน้าจอจะขึ้นคำว่า Sync เพื่อทำการเชื่อมต่อผ่านทาง Bluetooth 4.0 หรือผ่านทาง Ant+ USB Dongle หากเราเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ จากนั้นข้อมูลต่างๆ ที่บันทึกไว้จะถูกส่งไปยังมือถือของเราผ่านทางแอพพลิเคชั่น Garmin Connect 

แต่หากว่าเรากดค้างยาวต่อไปอีกประมาณ 4-5 วินาที คราวนี้ที่หน้าจอจะขึ้นคำว่า Sleep แทนค่ะ อ๊ะๆ ไม่ได้หมายความว่าตัวเครื่องจะ sleep นะ แต่นั่นเป็นการเข้าสู่โหมดตรวจจับการนอนของผู้ใช้งานต่างหาก ซึงเราใช้กดก่อนที่จะเริ่มนอนนั่นเอง แต่ถ้าหากลืมกดก็ไม่เป็นไร เพราะวันต่อมาตัวแอพ Garmin Connect จะให้เราใส่เวลาที่นอนลงไปเองได้ เพราะตัวเครื่องมันจับการเคลื่อนไหวของเราตลอด 24 ชั่วโมงอยู่แล้ว

 

อย่างที่บอกไปนะคะว่า vivofit นั้นจะต้องใช้คู่กับแอพพลิเคชั่น Garmin Connect ที่สามารถหาดาวน์โหลดได้ทั้งบน Google PlayStore และ Apple AppStore และแน่นอนค่ะ เช่นเดียวกับ activity tracker ค่ายอื่นๆ ก่อนที่จะเริ่มต้นใช้งานเราจะต้องสร้าง account และใส่ข้อมูลส่วนตัวของเราไปเสียก่อนเพื่อที่แอพจะสามารถคำนวณโปรแกรมการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับผู้ใช้แต่ละคน เช่น จะต้องเดินขึ้นต่ำวันละ 5,000 ก้าวถึงจะครบตาม goal ในแต่ละวันได้ เป็นต้น ซึ่งนอกจากการ track ก้าวเดินแล้วในแอพก็ยังมีกิจกรรมให้เราสามารถเลือกบันทึกเพิ่มเติมเองได้อีก อย่างเช่นการปั่นจักรยาน การว่ายน้ำ หรือการปีนเขา เป็นต้นค่ะ

 

นอกจากการที่แอพพลิเคชั่นตัวนี้จะให้เราเลือกแสดง widget ที่สำคัญกับเราได้เองในหน้าแรก อย่างเช่นพวก notification , steps , sleep แล้วยังสามารถชวนเพื่อนๆที่ใช้ vivofit เหมือนกันมาร่วม join ใน Community ของเราได้ ซึ่งก็จะมีหน้าที่แสดงตาราง leaderboard ว่าตอนนี้ใคร healthy ที่สุด ไปวิ่ง ไปออกกำลังกายมามากที่สุด และรายละเอียดในการออกกำลังกายอื่นๆของเพื่อๆ ให้เราไปกด like หรือไปคอมเม้นต์ได้ .. งานนี้พอเห็นคะแนนของเพื่อแล้วรับรองเลยค่ะว่าจะมีแรงฮึดออกกำลังกายให้ชนะเพื่อนแน่นอน!  ซึ่งก็จะทำให้การออกกำลังกายของเราสนุกมากขึ้นได้เหมือนกันนะ

Play video

ข้อดี

-วัสดุน้ำหนักเบา สามารถทำความสะอาดได้ง่าย
-มีสายหลายสีให้เลือกเปลี่ยนตามอารมณ์
-กันน้ำได้ดีทำให้สามารถใส่ติดข้อมือได้ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่เว้นแม้แต่ตอนอาบน้ำ
-แบตเตอรี่อายุ 1 ปี อึดกว่าค่ายอื่นๆ 
-มีโหมด community เป็นแรงกระตุ้นในการออกกำลังกาย

ข้อเสีย

-ไม่มีแสงสว่าในตัวเอง ถ้าคิดจะดูเวลาตอนกลางคืนก็ต้องส่องกับไฟ
-ไม่มีการแจ้งเตือน ไม่สั่น ไม่มีเสียง ต้องดูที่หน้าจอเท่านั้น
-ไม่สามารถเชื่อมต่อกับ Android ได้ทุุกรุ่น ต้องเป็น Android 4.3 ขึ้นไป + Bluetooth 4.0 เท่านั้น หรือทางฝั่ง iOS เองก็ต้องเป็น iPhone 4s ขึ้นไป ก่อนจะซื้อก็ต้องลองทดสอบดูก่อน 

สำหรับใครที่สนใจเจ้า vivofit ก็ลองไปหามาเล่นกันได้เลยที่สนนราคา 4,800 บาทค่ะ :]