Infinix Zero Flip มือถือจอพับรุ่นแรกจากค่าย Infinix ในรุ่นนี้มีความน่าสนใจหลายอย่าง ทั้งในเรื่องของดีไซน์ และการถ่ายวิดีโอ โดยทางแบรนด์ตั้งใจทำเรื่องของงานวิดีโอเป็นอย่างมาก ยัดสเปคกล้องมาให้ 50MP ทุกตัว ทำให้สามารถถ่ายวิดีโอ 4K ได้ทุกเลนส์ นอกจากเรื่องงานวิดีโอแล้ว ยังมีอะไรน่าสนใจอีก ไปดูกันเลย
ดีไซน์สวย สีน่ารัก
Infinix Zero Flip รุ่นที่เราได้มารีวิวคือสีชมพู Blossom Glow มีลวดลายสีขาวตัดกับสีชมพูเป็นรูปคลื่น ดูสวย และดูน่ารักในเวลาเดียวกัน ด้านหลังเป็นแบบด้าน ความรู้สึกสัมผัสเหมือนทราย ขอบตัวเครื่องเป็นแบบเงา เล่นกับแสงสวยงาม แต่ก็เป็นรอยง่ายเหมือนกัน
ด้านบนตัวเครื่องมีเสาสัญญาณ และรูไมโครโฟน ด้านล่างมีช่องใส่ซิม เสาสัญญาณ พอร์ต USB-C และลำโพง ด้านซ้ายตัวเครื่องมีแค่เสาสัญญาณโล่ง ๆ ส่วนปุ่มเปิดปิด และปุ่มปรับระดับเสียงอยู่ด้านขวาตัวเครื่อง เพิ่มเติมคือในปุ่มเปิดปิดมีเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือฝังมาด้วย และมีการทำสีให้แตกต่างจากขอบตัวเครื่องเพื่อให้สังเกตง่ายขึ้น
ด้านหน้าตัวเครื่องมีกล้องหน้าแบบเจาะรูอยู่ตรงกลาง และมีช่องลำโพงขีดเป็น 3 ช่อง และมีไฟแฟลชกล้องหน้าที่มุมขวา ส่วนตัวเครื่องด้านหลังมีกล้องทรงกลม วางเรียงตรงในแนวดิ่ง มีแฟลช LED ทรงเม็ดยาใต้กล้องตัวที่สอง และมีการสลักคำว่า ZERO ไว้ส่วนใต้ตัวเครื่อง
ตัวบานพับด้านในไม่ได้แข็งเกินไป กางออกได้ง่าย แต่ก็ไม่ได้ก๊องแก๊ง แต่แรก ๆ อาจจะต้องปรับตัวว่า จับตรงไหนถึงจะกางออกได้ง่าย แน่นอนว่าต้องใช้สองมือในการกางออก สามารถตั้งค่าเอฟเฟต์เสียงเวลากางจอออกจนสุดได้ จะมีเป็นเสียงแก๊ก เพื่อให้รู้ว่ากางสุดแล้ว ซึ่งจะปิดหรือเปิดไว้ก็ได้ ส่วนเวลาพับก็สามารถพับได้อย่างแนบสนิท
รุ่นนี้สามารถพับหน้าจอได้หลายระดับ ตั้งแต่ 30 – 150 องศา ตั้งโค้งปรับเป็นองศาถ่ายภาพได้ หรือจับเครื่องเป็นทรง Camcorder เวลาถ่ายวิดีโอ ก็สามารถทำได้เช่นกัน นำไปปรับใช้ตามสถานการณ์กันได้เลย ส่วนคนที่ห่วงเรื่องความทนทาน ทางแบรนด์เคลมไว้ว่าสามารถพับได้ถึง 400,000 ครั้ง ใช้ไปเลยยาว ๆ
ตัวเครื่องขณะที่กางออกจะมีความบางอยู่ที่ 7.6 มม. (ไม่ต่างจากมือถือทั่วไป) และเมื่อพับจะมีความบางอยู่ที่ 16 มม. ส่วนน้ำหนักตัวเครื่องอยู่ที่ 195 กรัม ซึ่งถือว่าไม่ได้หนักขนาดนั้น
สำหรับการออกแบบในรุ่นนี้ทาง Infinix ได้มีการร่วมมือกับ WGSN (World Global Style Network) หน่วยงานที่ให้ข้อมูลแนวโน้มแฟชั่นและการออกแบบ มาช่วยในการออกแบบตัวเครื่องในครั้งนี้ด้วย ซึ่งก็ถือว่าทำออกมาได้สวยงามเลยแหละ
จอในใหญ่เต็มตา 6.9 นิ้ว
หน้าจอด้านในมาพร้อมกับหน้าจอ LTPO AMOLED ขนาด 6.9 นิ้ว ความละเอียด 1080 x 2640 พิกเซล รองรับอัตราการรีเฟรช 120Hz สามารถเลือกปรับเป็น 60Hz, 90hz, 120Hz หรือปรับแบบอัตโนมัติก็ทำได้เช่นกัน ส่วนความสว่างสูงสุดอยู่ที่ 1,400 นิต สามารถใช้งานกลางแจ้งได้ระดับนึง เจอแดดจ้า ๆ ตอนเที่ยงของประเทศไทยอาจจะเอาไม่อยู่
ด้านสีสันของจอก็มีความสวยงาม และเที่ยงตรง รองรับขอบเขตสีกว้างครอบคลุม 100% DCI-P3 แถมยังได้รับมาตรฐานการปกป้องดวงตาจาก TÜV Rheinland
Infinix Zero Flip สามารถดูวิดีโอใน Youtube ได้ความละเอียดสูงสุด 2160p60 และรองรับ Widevine DRM L1 สามารถดู Netflix ความละเอียด FHD ได้
ส่วนเรื่องของรอยพับ ยังคงมีอยู่ และเวลาไถหน้าจอก็รู้สึกได้ว่ามีรอบพับ ถึงแม้รอยพับของจอไม่ได้ลึกมาก แต่ก็ยังสามารถมองเห็นได้ผ่านแสงสะท้อนในบางครั้ง ในการใช้งานจริงทั้งในการเกม ดูซีรีส์ หรือใช้งานทั่วไปไม่ได้รู้สึกติดขัดอะไร สามารถใช้งานได้เหมือนมือถือทั่วไป
จอนอก 3.64 นิ้ว ก็ใหญ่ไม่เบา
จอด้านนอกรุ่นนี้เป็นจอ AMOLED ขนาดใหญ่ 3.64 นิ้ว ความละเอียด 1056 x 1066 พิกเซล ความสว่างให้มาที่ 1,100 นิต สว่างน้อยกว่าจอด้านในนิดนึง แต่ก็สามารถใช้งานได้ดีไม่ต่างจากจอในเลย แถมการครอบทับ Gorilla Glass Victus 2 เพิ่มความคงทน กันรอยขีดข่วนมาพอให้อุ่นใจกัน
ในด้านการใช้งาน แน่นอนว่าแอปพลิเคชันที่ติดมากับตัวเครื่องอย่างแอปโทรศัพท์, กล้องถ่ายรูป, สภาพอากาศ, นาฬิกา และปฏิทินสามารถใช้งานได้อยู่แล้ว
ส่วนแอปพลิชันทั่วไปอย่าง FaceBook, Instagram หรือแอปนำทางอย่าง Google Maps ก็ใช้งานได้เช่นกัน แต่ใช้จอด้านในน่าจะสะดวกกว่า ส่วนแอปเสพคอนเทนต์วิดีโออย่าง YouTube และ TikTok ก็สามารถใช้งานได้ แต่วิดีโอจะไม่ได้แสดงเต็มสัดส่วนจอ จะมีการเว้นช่วงแถบกล้องเอาไว้แสดงสถานะต่าง ๆ บนมือถือ ทำให้เราสามารถรับรู้ข้อมูลแบตเตอรี่ วัน และเวลาได้โดยที่ไม่ต้องเปิดเข้าไปดูที่จอด้านใน พร้อมมีเกม ให้เล่นคลายเครียด หรือจะเครียดกว่าเดิม?
นอกจากแอปพลิเคชันแล้ว ยังรองรับการปรับแต่งหน้าจอได้หลายแบบ รวมถึงมี 3D Animated Pets Interaction มาให้ใช้กัน อันนี้ก็น่ารักดี
กล้อง และวิดีโอจัดเต็ม เอาใจสาย Vlog
กล้องหลัง
Infinix ZERO Flip มาพร้อมกับกล้องหลัง 2 ตัว ประกอบด้วยกล้องหลักเซนเซอร์ขนาด 1/1.57 นิ้ว ความละเอียด 50MP (f/1.9) รองรับ PDAF และ OIS กันสั่น ควบคู่กับกล้อง Ultrawide เซนเซอร์ขนาด 1/2.8 นิ้ว ความละเอียด 50MP (f/2.2) รองรับกันสั่น PDAF มุมกว้าง 115 องศา
ภาพที่ถ่ายออกมาสีสันจะออกมาในโทนสี Warm มีความสดใส สวยงาม แต่ก็ไม่ได้สีเพี้ยน รายละเอียดของภาพก็มีความคมชัดดีในพื้นที่แสงเพียงพอ ส่วนการถ่ายภาพในที่มืดก็สามารถถ่ายออกได้อยู่ในระดับที่ดี มีความคมชัดระดับนึง แต่ก็มี Noise และแสงแฟลร์อยู่บ้าง แต่โดยรวมค่อนข้างน่าพอใจ
มี Dual Screen จัดท่าโพสต์ผ่านหน้าจอด้านนอกได้
สามารถพับและวางเป็นขาตั้งกล้อง แล้วถ่ายเซลฟีได้แบบง่าย ๆ
กล้องหน้า
กล้องหน้ารุ่นนี้ขนาดเซนเซอร์อยู่ที่ 1/2.76 นิ้ว ความละเอียด 50MP (f/2.5) มีแฟลชกล้องหน้ามาให้ด้วย กล้องหน้าสกินโทนจะออกไปโทน Warm มีความใกล้เคียงกับกล้องหลัง แต่ก็แอบซีดกว่า ส่วนเรื่องความคมชัดถึงแม้จะมีความละเอียดกล้องหน้าเท่ากับกล้องหลัง แต่ในการถ่ายภาพก็จะเห็นว่ากล้องหลังยังสามารถถ่ายได้คมชัดกว่า แต่ก็มีโหมดบิวตี้ที่ปรับได้ละเอียดมาก ๆ ถ้าไม่อยากให้เละ ก็ต้องปรับให้พอดี โดยรวมก็ถือว่าทำออกมาใช้ได้
งานวิดีโอก็ปัง
Infinix ZERO Flip กล้องทุกตัวสามารถถ่ายวิดีโอความละเอียด 4K ทั้งกล้องหน้า และกล้องหลัง
โดยกล้องหลังสามารถถ่ายความละเอียดสูงสุดที่ 4K@30fps (ทุกระยะ) มีกันสั่น ProStable มาให้ และกันสั่นแบบมืออาชีพ Ultra Steady Pro มาให้ (ถ่ายได้แค่ 1080p30fps) ในการทดสอบการถ่ายวิดีโอ ถ่ายออกมาได้สีสันสดใส และมีความคมชัดอยู่ในระดับที่ดี ส่วนกันสั่นทั้ง Prostable และ Ultra Steady Pro สามารถทำออกมาได้อย่างดีเยี่ยม วิดีโอมีความสมูธแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
ส่วนกล้องหน้าสามารถถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูงถึง 4K@60fps มีกันสั่น ProStable มาให้ (แต่ความละเอียดจะถูกลดลงเหลือ 4K30fps) ในการทดสอบถ่ายวิดีโอ สีสันที่ได้มีความสดใส แต่แอบซีดกว่ากล้องหลังเช่นกัน และมีความคมชัดใช้ได้ แต่ก็ไม่เท่ากับกล้องหลัง ส่วนกันสั่น ProStable ทำงานได้ไม่ดีเท่ากล้องหลัง อาจจะต้องไปทำการบ้านมาเพิ่มในรุ่นต่อไป
จุดสังเกตในการถ่ายวิดีโอ ซึ่งเป็นปกติของจอพับ ที่ระหว่างการถ่ายวิดีโอความละเอียดสูง 4K ตัวเครื่องมีความร้อนค่อนข้างสูง จนทำให้ไม่สามารถถ่ายต่อได้ (ถ้าฝืนถ่ายต่อเฟรมเรตก็จะร่วงจนไม่สามารถนำไปใช้งานได้) โดยเฉพาะกรณีที่เปิดใช้งานจอด้านนอกขณะที่ใช้แอปกล้อง เครื่องจะร้อนค่อนข้างเร็ว
Co-with GoPro
สามารถเชื่อมต่อกับกล้อง GoPro เพื่อดูภาพจาก GoPro ควบคุมการถ่ายภาพ การถ่ายวิดีโอได้ หรือแม้แต่สั่งเปิดปิดตัวกล้องก็สามารถทำได้เช่นกัน หากกล้องอยู่ในระยะใกล้ภาพแสดงที่จะแสดงผลเร็ว หากกล้องอยู่ระยะห่างออกไป ภาพที่โชว์ในมือถือ ก็จะช้าๆ หน่อย
ชิปเซต
รุ่นนี้มาพร้อมกับชิปประมวลผล MediaTek Dimensity 8020 ขนาด 6nm แบบ Octa-Core ประกอบด้วย Cortek-A78 จำนวน 4 Core ความเร็ว 2.6Ghz และ Cortex-A55 จำนวน 4 Core ความเร็ว 2Ghz ควบคู่กับ GPU Mali-G77
พื้นที่ความจุภายในเป็นแบบ UFS 3.1 และให้มาเยอะถึง 512GB และไม่สามารถใส่ SD-Card ได้ แต่ในการใช้งานจริงก็เพียงพอแบบเหลือ ๆ ส่วนแรมรุ่นนี้ให้มา 8GB สามารถขยายเพิ่มเป็น 16GB ได้ตามยุคตามสมัย
รุ่นนี้ทำผลคะแนนการทดสอบ GeekBench ได้ดังนี้
- Single-Core ทำคะแนนไปที่ 746 คะแนน
- Multi-Core ทำคะแนนไปที่ 2,493 คะแนน
ทดสอบการเล่นเกม ROV
เราทำการปรับการตั้งค่ากราฟิกเกมไว้ที่สูงสุด สามารถเล่นได้แบบลื่น ๆ เฟรมเรตวิ่งอยู่ที่ 59-60fps แบบนิ่ง ๆ ไม่มีกระตุก แม้แต่ช่วงที่มีตัวละครตะลุมตุมบอนกันเยอะ ๆ แต่เมื่อเล่นไปช่วงเกมที่ 2-3 พบว่าตัวเครื่องเร่ิมมีความร้อน โดยเฉพาะบริเวณหน้าจอด้านนอกและตัวกล้อง และเกมเริ่มมีอาการกระตุกในบางช่วง แต่ก็ยังสามารถเล่นได้ แต่อาจจะต้องปรับกราฟิกให้ต่ำลงกว่านี้
ทดสอบการเล่นเกม PUBG MOBLIE
เราทำการปรับตั้งค่ากราฟิกไว้ที่ ลื่นไหล และแน่นอนว่าสามารถเล่นเกมได้แบบลื่น ๆ เฟรมเรตวิ่งอยู่ประมาณ 59-60 fps แบบเกมแรก และพบปัญหาความร้อนแบบเดียวกันกับเกมแรก ทำให้บางช่วงมีเฟรมเรตร่วงลงมาบ้าง แต่ก็ยังสามารถเล่นได้เหมือนเดิม (ถ้าไม่รู้สึกว่าร้อนมือ) หรือจะใส่เคสที่เขาแถมมากับเครื่องเพื่อลดความร้อนจากการสัมผัสได้
ทดสอบการเล่นเกม Fruit Ninja
ในการทดสอบเกมนี้ ทำเพื่อทดสอบเรื่องของรอยพับบนหน้าจอ สำหรับเกมที่ต้องใช้นิ้วลากทั้งหน้าจอแบบนี้ จะสัมผัสได้กับรอยพับตรงกลางจอแบบเต็ม ๆ สำหรับคนที่ชอบเล่นเกมนี้อาจจะขัดใจรอยพับบนหน้าจอได้
ลำโพง
ให้มาเป็นลำโพงแบบคู่ จูนเสียงโดย JBL เสียงโดยรวมค่อนข้างเบา ถ้าอยากเปิดเพลงฟังในห้องอาจจะต้องปรับความดังไปที่ 70-80% เลยทีเดียว และถ้าปรับจนถึง 100% เสียงก็จะมีความแตก ส่วนเรื่องรายละเอียดของเสียงถือว่าทำออกมาได้พอใช้ มีเบสบ้างประปราย แต่โดยรวมจะออกไปในโทนแห้งซะส่วนใหญ่
มี AI ให้ใช้งาน ด้านภาพถ่าย
- AI Eraser ลบวัตถุออกจากภาพ ใช้งานง่ายๆ แค่เลือกภาพจากในแกลเลอรีที่ต้องการจะลบ แต่ว่าอาจจะต้องมีความปราณีตในการลบนิดนึงหากพื้นหลังที่ไม่ใช่สีพื้น อาจจะต้องค่อยๆ ลบไปทีละนิด ผลลัพธ์จะยังไม่ค่อยเนียนเท่าไหร่ แต่หากพื้นหลังเป็นสีเดียวกันจะลบได้ค่อนข้างเนียน
- AI Wallpaper ใช้วอลเปเปอร์ใช้ไม่ซ้ำใคร ด้วยการสร้างวอลเปเปอร์ด้วย AI จะมีให้เลือกทำ 2 แบบ
- ป้อนคำสั่งให้ AI สร้าง แล้วเลือกสไตล์
- ปรับจากภาพที่เรามีบนเครื่อง
แบบป้อนคำสั่งสร้างวอลเปเปอร์ด้วย AI ให้เราเลือกสไตล์ภาพที่อยากให้ AI เจนออกมา จากนั้นป้อนพรอมต์ไป โดนเราสั่งไปว่า แมวบินบนท้องฟ้าตอนกลางคืน อีกอัน ป้อนพรอมต์ ดอกไม้สีม่วง ก็ได้ออกมาตามด้านล่างเลย
ส่วนใครอยากได้รูปตัวเอง มาทำภาพพื้นหลัง แต่อยากปรับมูดใหม่ ก็สามารถนำไปให้ AI แปลงได้ เพียงอัปโหลดรูปต้องการทำวอลเปเปอร์ จากนั้นเลือกสไตล์ที่ต้องการ AI ก็จะเจนให้เพียงไม่นาน จะนำไปตั้งเป็นพื้นหลัง หรือไปทำภาพโปร์ไฟล์ก็ได้
- Smart Cutout แยกวัตถุออกจากพื้นหลัง แค่กดค้างที่วัตถุ ที่ต้องการแยกออกจากพื้นหลัง แล้วคัดลอกไปใช้ที่ไหนก็ได้ จะนำไปทำสติกเกอร์ส่งหาเพื่อนๆ ก็ได้นะ ตัดได้เนียนเลย
แบตเตอรี่
Infinix ZERO Flip มาพร้อมกับแบตเตอรี่ขนาด 4,720 mAh และรองรับชาร์จเร็วถึง 70W ซึ่งถือเป็นมือถือจอพับแบบตลับแป้งที่ชาร์จเร็วที่สุดในตลาดมือถือจอพับตอนนี้ แถมยังรองรับกระแสชาร์จย้อนกลับ 10W ทางแบรนด์เคลมไว้ว่าสามารถใช้งานแบตเตอรี่ได้นานถึง 3 ปี
ทางเรามีการนำไปทดสอบใช้งานแบบจริงจัง มีการถ่ายวิดีโอ ถ่ายภาพ และวิดีโอ เป็นเวลา 1 ชม. 40 นาที, ดู YouTube เป็นเวลา 1 ชม. 34 นาที เล่นเกม PUBG เป็นเวลา 1 ชั่วโมง, เล่นเกม ROV เป็นเวลา 1 ชม. 21 นาที และเล่นเกม Genshin Impact เป็นเวลา 37 นาที ใช้งานตั้งแต่ช่วง 11.00 น. – 20.16 น. ผลคือ Screen On Time ไปทั้งหมด 6 ชม. 13 นาที
ในเรื่องของแบตเตอรี่ถือว่าทำออกมาได้ดีเลยทีเดียว ในการใช้งานทั่วไป เล่นเกมบ้าง สามารถใช้งานได้จนหมดวัน จนถึงกลับบ้าน ถึงแม้แบตเตอรี่จะเหลือแบบปริ่ม ๆ แต่สำหรับมือถือจอพับทำได้ขนาดนี้ถือว่าดีมาก ๆ แล้ว ส่วนใครที่ทำงานแล้วมีไปข้างนอกต่อ อาจจะต้องพกแบตเตอรี่สำรองเอาไว้เพื่อความอุ่นใจนะ
ข้อดี
- น้ำหนักเบา
- ดีไซน์สวย
- ลำโพงคู่ จูนโดย JBL
- ถ่ายวิดีโอกล้องหน้า 4K@60fps
- จอนอกใกล้เคียงกับจอหลัก
- จอนอกรองรับแอปทั่วไป
- มีแฟลชกล้องหน้ามาให้
- เป็นมือถือจอพับที่ราคาถูกที่สุดในตลาด
- เป็นมือถือจอพับที่รองรับชาร์จเร็วสูงสุด 70W
ข้อสังเกต
- เครื่องร้อนค่อนข้างง่าย
- จอนอกเป็นรอยนิ้วมือง่าย
- จอนอกใช้ได้เฉพาะตอนพับมือถืออยู่เท่านั้น
- ไม่มีมาตรฐานการกันน้ำกันฝุ่น
สรุป
Infinix Zero Flip เป็นมือถือจอพับที่น่าใช้อีกรุ่นนึง ด้วยราคาที่ถูกที่สุดในตลาดมือถือจอพับตอนนี้ แถมฟีเจอร์ต่าง ๆที่ให้มาก็ค่อนข้างครบครัน หน้าจอด้านนอกก็รองรับแอปพลิเคชันเยอะอยู่พอตัว ส่วนเรื่องของรอยพับของจอ ก็ยังคงมีอยู่ แต่อยู่ในระดับที่รับได้ (จริง ๆ มือถือจอพับทุกรุ่นในตลาดตอนนี้ก็มีกันทุกรุ่น) และไม่ได้กระทบกับการใช้งานโดยรวมแต่อย่างใด เว้นซะแต่ว่าจะเป็นแฟนคลับเกม Fruit Ninja
ราคาและการวางจำหน่าย
Infinix Zero Flip มีให้เลือก 2 สี ได้แก่ Rock Black และ Blossom Glow
- 8GB + 512GB ราคาจำหน่าย 22,999 บาท
โปรโมชันพิเศษทางออนไลน์ สามารถดูได้ตามลิงก์ด้านล่างเลย
Comment