เพิ่งจะวางขายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ล่าสุดทางทีมงาน DroidSans ก็ไปจัดเจ้าหูฟังไร้สายดีไซน์แหวกแนวอย่าง Nothing ear (1) มารีวิวให้เพื่อนๆ ได้อ่าน ได้รับชมกันแล้ว ว่าแต่นอกเหนือจากเรื่องการออกแบบที่ชนะเลิศ ไม่เหมือนใครแล้ว คุณภาพเสียงของหูฟังรุ่นนี้จะเป็นยังไงบ้าง มาหาคำตอบได้ในบทความนี้เลยครับ
สเปค NOTHING EAR (1)
- ไดร์เวอร์ขนาด 11.6 มม.
- จูนเสียงโดย Teenage Engineering
- ไมโครโฟน 3 ตัว
- In-Ear Detection
- มาตรฐานทนน้ำ IPX4
- แบตเตอรี่ใช้งานได้สูงสุด 34 ชั่วโมง (ปิด ANC) และ 24 ชั่วโมง (เปิด ANC)
- รองรับ Bluetooth 5.2
- น้ำหนักหูฟังข้างละ 4.7 กรัม
ตัวเคสแอบใหญ่ไปนิดนึง ใส่กระเป๋ากางเกงลำบาก
สัมผัสจับถือ
กล่องของ Nothing ear (1) ถือว่าไม่ได้โดดเด่นอะไรนักเท่าไหร่ เหมือนๆ กับกล่องหูฟังทั่วไป ขนาดใหญ่กว่าที่คิดเอาไว้เล็กน้อย
มีข้อสังเกตนิดนึง คือกล่องของ Nothing ear (1) จะแกะได้เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น
นอกจากตัวคู่มือและหูฟังแล้ว ภายในกล่องก็มีสายชาร์จ และจุกยางหูฟังไซส์ S และ L แถมมาให้ โดยจุกที่ติดอยู่กับหูฟัง Nothing ear (1) จะเป็นไซส์ M มาตรฐาน
โดยอย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าตัวหูฟังและเคสของ Nothing ear (1) จะมาในรูปแบบกึ่งโปร่งใส ซึ่งต้องบอกว่าเท่ดีจริงๆ เห็นด้านในหมด ไม่ว่าจะเป็นการวางก้อนแบตเตอรี่ แผงวงจรอะไรต่างๆ
Nothing ear (1) ตั้งราคาเอาไว้อยู่ที่ 3,690 บาท ซึ่งน้อยกว่าคู่แข่งอย่าง Galaxy Buds Pro, Sony WF-1000XM4 หรือ AirPods Pro อยู่พอสมควร แต่สัมผัสการจับถือของมันก็ไม่ได้ให้ฟีลถูกหรือ Budget เลยนะ หน้าตามันรู้สึกพรีเมียมมากๆ ในราคาประมาณ 3000 กว่าบาท ถือว่าค่อนข้างหล่อสวยพอตัวเลยล่ะ
ระบบตัดเสียง
Nothing ear (1) มาพร้อมกับระบบตัดเสียงแบบ Hybrid Active Noise Cancellation ที่สามารถปรับความเข้มข้นได้ 2 ระดับ ได้แก่ Light และ Maximum ซึ่งจากที่ลองใช้งานมา พบว่าทั้งสองระดับมีประสิทธิภาพที่ไม่ค่อยต่างกันมากซักเท่าไหร่
แถมพอเปิด Noise Cancellation แบบ Maximum แล้ว ก็ยังพบว่ามีเสียงรถยนต์ และเสียงรอบๆ ข้าง (โดยเฉพาะเสียงย่านสูง) เล็ดรอดเข้ามาพอสมควร ไปนั่งร้านกาแฟอาจจะไม่เหมาะเท่าไหร่ เพราะเสียงคนคุยน่าจะเข้ามาเยอะ แต่ถ้าเป็นเสียงแอร์หรือเสียงลมอะไรแบบนี้ ระบบตัดเสียงของเจ้า Nothing ear (1) ถือว่าตัดออกให้เกือบหมด
คุณภาพเสียง
เสียงที่ได้จาก Nothing ear (1) ความคิดเห็นส่วนตัวถือว่าเบสนิ่มมากๆ ใส่มาให้ไม่เยอะจนเกินไป ย่านกลางเสียงร้องใส แต่มีข้อสังเกตเล็กน้อยตรงที่ย่านสูงไม่ค่อยมีซักเท่าไหร่ เวทีเสียงไม่แคบ ฟังแล้วไม่รู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออก
ในย่านราคา 3,000 – 4,000 บาท ส่วนตัวมองว่า Nothing ear (1) ที่วางขายอยู่ที่ 3,690 บาท นี่น่าจะอยู่ในเกณฑ์ท็อปๆ ของตลาดแล้ว โดยจากที่ลองฟังเทียบกับ OnePlus Buds Pro ที่ใช้อยู่ รุ่นนี้ถือว่าสามารถสู้ได้แบบพอฟัดพอเหวี่ยงเลยล่ะ แถมได้เปรียบเรื่องราคาอีกด้วย แต่ถ้าเอาไปเทียบกับ Sony WF-1000XM3 หรือตัว XM4 ล่าสุด อันนี้ก็ต้องบอกเลยว่าอาจจะเหนื่อยหน่อย อันนั้นเขาเป็นเจ้าตลาดเลย
อีกหนึ่งจุดเด่นของ Nothing ear (1) คือความสบายในการสวมใส่
นอกจากนี้ ผู้เขียนยังได้ลองเอาเจ้า Nothing ear (1) ไปเปรียบเทียบกับ AirPods Pro แล้วก็ได้คำตอบว่า คุณภาพเสียงและความสบายในการสวมใส่ของทั้งสองรุ่น ไม่หนีกันเท่าไหร่ แม้ว่าราคาจะห่างกันครึ่งตัวก็ตาม
โดย Nothing ear (1) มากับความสามารถในการปรับ Equalizer ในแอป ear (1) แต่จะมาเป็นรูปแบบของโปรไฟล์ทั้งหมด 4 แบบ ได้แก่ Balance, More Treble, More Bass และ Voice โดยแบบหลังสุดจะเข้ามาช่วยให้เสียงสนทนาชัดเจนยิ่งขึ้น เหมาะกับการเอาไปคุยโทรศัพท์อะไรต่างๆ
ส่วน More Treble จะมีไว้สำหรับคนที่อยากให้เสียงย่านสูงเด่นๆ และ More Bass สำหรับคนที่อยากเน้นเบสเยอะๆ ซึ่งส่วนตัวผู้เขียนเซ็ตหูฟังเอาไว้เป็นแบบ More Bass
การคุยโทรศัพท์
หลังจากใช้ Nothing ear (1) คุยโทรศัพท์ หรือเข้าวิดีโอคอลต่างๆ พบว่าได้ยินเสียงปลายสายปกติ แนะนำให้ปรับ Equalizer เป็นโหมด Voice จะได้ยินเสียงปลายสายที่ชัดเจนยิ่งขึ้น แต่ข้อสังเกตก็คือ ปลายสายได้ยินเสียงเราเหมือนอยู่ในโอ่ง เสียงจะออกก้องๆ นิดหน่อย เหมือนกับคุยโทรศัพท์อยู่ในห้องน้ำ
การควบคุม
ในส่วนของการควบคุมฟังก์ชั่นการใช้งานต่างๆ ของเจ้า Nothing ear (1) จะสามารถทำได้โดยการแตะไปที่บริเวณตัวหูฟัง โดยแตะสองครั้งจะเป็นการเล่นหรือหยุดเพลง, แตะสามครั้งเป็นการเปลี่ยนเพลงไปเพลงก่อนหน้าหรือถัดไป, แตะค้างเป็นการเปลี่ยนโหมด ANC > Transparency > โหมดธรรมดา และเลื่อนลงที่ตัวหูฟังเพื่อเป็นการปรับวอลุ่มเสียงนั่นเอง
โดยการแตะไปที่หูฟัง Nothing ear (1) เฉยๆ รอบเดียว จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งส่วนตัวมองว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะบางทีแค่อยากจะปรับจัดระเบียบตัวหูฟังเฉยๆ
แบตเตอรี่
Nothing ear (1) สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องต่อการชาร์จเต็ม 100% หนึ่งครั้ง ได้ประมาณ 4 ชั่วโมงนิดๆ ก่อนต้องเก็บเข้าเคสเพื่อทำการชาร์จไฟกับตัวเคสต่อไป โดยในสเปคกระดาษของ Nothing ear (1) เผยว่า ตัวเคสสามารถชาร์จไฟให้กับหูฟังได้สูงสุดถึง 34 ชั่วโมงเลยทีเดียว แถมยังรองรับการชาร์จแบบไร้สายอีกด้วย
สรุป Nothing ear (1) น่าใช้ไหม?
จากที่ลองใช้งาน Nothing ear (1) มาเป็นระยะเวลาซักพัก ก็รู้สึกว่านี่เป็นอีกหนึ่งหูฟังที่ชอบมากๆ โดยเฉพาะเรื่องของดีไซน์การออกแบบที่ไม่ซ้ำใคร รวมถึงคุณภาพเสียงที่ดีกว่าที่คิดเอาไว้พอสมควรเลย ใครที่ชอบฟังเพลงป๊อปๆ ดนตรีสบายๆ อันนี้ถูกใจแน่นอน โดย Nothing ear (1) วางขายในไทยอย่างเป็นทางการแล้ววันนี้ผ่านร้าน LazMall Audio & Gadget ในราคา 3,690 บาท มีให้เลือก 2 สี ได้แก่ สีดำ และสีขาว
Nothing ear (1) หูฟังไร้สายดีไซน์เก๋จาก Carl Pei วางขายแล้ว เคาะราคา 3,690 บาท
Comment