เชื่อว่าในยุคที่ทุกคนติดการ “แชะ & แชร์” แบบนี้สิ่งที่หลายๆคนต้องการจากมือถือก็คือ ‘กล้องชัดๆ’ ต้องชัดต้องสวยทั้งกล้องหน้า-กล้องหลังใช่ไหมหละคะ ถ้าอย่างนั้นขอแนะนำให้รู้จักกับ OPPO N1 สมาร์ทโฟนกล้อง 13 ล้านพิกเซล ตัวเดียวก็สามารถใช้เป็นได้ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลังให้ได้แชะได้แชร์กันแบบฟินๆ แต่ก่อนอื่นเราลองมาดูโฉมหน้าของ OPPO N1 แบบชัดๆกันก่อนดีกว่าค่ะ

ตัวเครื่องของ OPPO N1 ถือว่าดีไซน์และประกอบมาได้ดีตามแนวคิด line body design ตัวเครื่องพลาสติกสีขาวสัมผัสลื่นมือตัดกับลายเส้นจากอลูมิเนียม โดยรวมแล้วเรียบหรูดีทีเดียว หลายคนที่แอบกลัวว่าสีขาวๆ ของเครื่องนั้นจะดำง่ายหรือไม่ อันนี้ขอบอกว่าส่วนตัวลองมาแล้ว เผลอวางถูไปกับหนังสือพิมพ์ติดรอยหมึกมาเลย แต่แค่เช็ดๆ ถูๆ มันก็ออกสะอาดขาววิ้งเหมือนเดิม

OPPO N1 เป็น phablet หน้าจอค่อนข้างใหญ่ค่ะ มาพร้อมหน้าจอ Full HD แบบ IPS LCD ขนาด 5.9 นิ้ว เพื่อตอบสนองไลฟ์ไสตล์ของคนที่ชอบเล่นเกมส์ ชอบท่องเว็ป ชอบดูวีดีโอแบบเต็มตา แต่จอใหญ่เองก็มีปัญหาตรงที่การใช้งานมือเดียวอาจจะลำบากไปสักหน่อย แถมตัวเครื่องยังแอบหนักนิดๆ แต่ก็ต้องบอกว่าทาง OPPO เขาก็มีทางแก้มาให้ในระดับนึงนะเพราะว่าเขามี O-Touch Control อยู่ที่ด้านหลังของเครื่องมาให้เราสามารถควบคุมการทำงานได้ 5 ทิศทางทั้งขึ้น, ลง, ซ้าย, ขวา และเคาะเบาๆ เพื่อเลือกหรือเรียกใช้งานค่ะ

เราสามารถสั่งงานจากตัว O-Touch Control เพื่อเลื่อนดูภาพใน gallery , เลื่อนขึ้น-ลงเพื่อดูข้อมูลต่างๆ และแตะเพื่อถ่ายภาพได้โดยไม่ต้องเอื้อมมือมาแตะหน้าจอ หรือจะเลือกเพิ่มฟังชั่นในการใช้งาน O-Touch Control ได้เองด้วยการเข้าไปตั้งค่าเพิ่มเติมที่ Setting > O-Touch > Customize The app to be launched ค่ะ ส่วนในเรื่องการพิมพ์นั้น แน่นอนว่า 2 มือสบายกว่า พิมพ์ง่ายด้วยเพราะจอใหญ่ แป้นพิมพ์ก็ใหญ่ แต่หากจะใช้มือเดียวอาจจะต้องไปหาโหลดคีย์บอร์ดพวก One Hand Keyboard มาช่วยค่ะ เพราะมือเดียวหับหน้าจอเกือบ 6 นิ้วมันเอือมไม่ไหวจริงๆ ค่ะ

นอกจากในส่วนของ O-Touch Control แล้ว ที่ด้านหลังของ N1 ยังมีกล้องความละเอียด 13 ล้านพิกเซล ที่มาพร้อมกับแฟลช Dual-Mode LED 2 สี ทั้งสีขาวและสีส้ม โดยจะเลือกเปิดให้ตามรูปแบบของการถ่ายภาพค่ะ เช่นเวลาถ่ายภาพวิวทิวทัศน์หรือภาพทั่วๆ ไปก็จะยิงไฟ LED สีขาวออกมา ถ้าเมื่อไหร่ที่ OPPO N1 เห็นว่าจะมีการถ่ายภาพคนด้วยระบบตรวจจับใบหน้า ก็จะเลือกยิงไฟ LED สีส้มให้หน้าออกมานวลๆ สวยๆ แต่จุดเด่นจริงๆของเจ้ากล้องตัวนี้อยู่ที่มันสามารถบิดหมุนได้ถึง 206 องศา เพื่อให้เราได้เก็บภาพจากทั้งด้านหน้าและด้านหลังของตัวเครื่อง ครบทั้งมุมกด มุมเสย แถมเมื่อทำการหมุนตัวกล้องก็จะเข้าสู่โหมดการถ่ายภาพให้แบบอัตโนมัติ ถ่ายรูปได้ทันที ไม่ต้องเสียเวลารอ แบบนี้เชื่อว่าคงถูกใจคอ selfie แน่นอน! … และนี่คือตัวอย่างภาพที่ถ่ายจากกล้องของ N1 ค่ะ

จากที่ลองเล่นมากวิสชอบกล้องของ N1 เวลาถ่ายตอนกลางวันนะ สำหรับการถ่ายคนนี่ไม่ต้องพูดถึงเพราะว่า OPPO เขาขึ้นชื่อเรื่องโหมด Beautify ที่ทำให้วิ้งแบบไม่ต้องพึ่งมือหมออยู่แล้ว เรียกได้ว่าเป็น Live Effect ที่เราจะเห็นหน้าของเราผอมเรียวเนียนขาววิ้ง สวยกันก่อนถ่ายเลยทีเดียว แค่ยกขึ้นส่องก็เป๊ะเว่อร์ การถ่ายโดยรวมนั้นทำออกมาได้ดีชัตเตอร์ไม่หน่วง ยิ่งมาพร้อม f/2.0 ยิ่งทำให้ถ่ายหน้าชัดหลังเบลอออกมาได้ดีทีเดียว

นอกจากนี้ยังมีโหมดถ่ายภาพให้เลือกอีกหลายหลายทั้งการถ่ายภาพพาโนรามา, HDR, ถ่ายภาพกลางคืน, Smart scene, ถ่ายภาพเคลื่อนไหว, ถ่ายแบบอัตโนมัติ แถมยังมี Slow Shutter ให้ไปถ่ายไฟเล่นกันตอนกลางคืนได้ด้วยโดยเราสามารถเลือกเปิดแบบ Auto หรือจะตั้งเวลาได้สูงสุดถึง 8 วินาทีซึ่งถือว่าสูงที่สุดในตลาดตอนนี้ค่ะ

แต่ในส่วนของการถ่ายในสภาวะแสงน้อยและในที่มืดนั้นยังมีปัญหาเรื่อง Noise เยอะทีเดียว แนะนำให้ใช้โหมด Slow Shutter ในการถ่ายแล้วเลือกตั้งค่าเป็น Auto จะดีขึ้นเยอะมาก สีตรง แสงสวยเลย แต่ต้องมือนิ่งๆกันหน่อยนะคะ

เอาใจคนชอบถ่ายภาพกันต่อทั้งบรรดา Selfie และคนเพื่อนเยอะกับ gadget กลมๆอันเล็กๆที่มาพร้อมกับ N1 อย่าง O-Click Control ที่จะมาทำหน้าที่เป็นปุ่มชัตเตอร์ไร้สาย สามารถเชื่อมต่อกับ N1 ผ่านทาง Bluetooth โดยจะมีรัศมีทำการอยู่ที่ 15 เมตรเลยค่ะ งานนี้ตั้งมือถือไว้แล้วก็สามารถเลือกมุม กดปุ่มเพื่อเก็บภาพได้เลย หรือถ้าหากว่าเราหามือถือไม่เจอ ไม่รู้ไปลืมวางไว้ตรงไหนก็ยังสามรถใช้เจ้าตัวนี้ในการกดเพื่อเรียกหาตัวเครื่องได้ด้วย แถมยังแจ้งเตือนเราเมื่อตัว N1 ออกไปนอกเขตสัญญาณการเชื่อมต่อได้อีก งานนี้นับรองว่าไม่มีใคร have เครื่องเราได้แน่นอน!

หลังจากดูด้านหลังกันไปแล้วย้ายมาสำรวจที่ด้านหน้ากันบ้างนะ ที่ด้านบนของตัวเครื่องจะเป็น ลำโพงสำหรับการสนทนาและเซนเซอร์ต่างๆทั้ง Proximity Sensor และ Ambient Light Sensor

ที่ด้านล่างของหน้าจอจะมีปุ่มสัมผัสพร้อมไฟ LED ที่หลายๆคนค้นเคยกันดี ทั้งปุ่ม Menu , ปุ่ม Home และปุ่ม Back ค่ะ

ส่วนด้านล่างของตัวเครื่องนั้นจะมีไมโครโฟนไว้รองรับการสนทนาหรือบันทึกเสียง , ลำโพง , ช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร และช่องเชื่อมต่อ Micro USB

ด้านซ้ายของตัวเครื่องมีช่องสำหรับใส่ Micro SIM ส่วนด้านขวาจะมีปุ่ม Power และปุ่มเพิ่มลดเสียง เอ๊ะ! ไม่มีช่องใส่ Micro SD !!! … ตามนั้นค่ะ … N1 มาหน่วยความจำ 16 GB และไม่สามารถใส่เพิ่มได้นะจ๊ะ ดังนั้นถ้าหากอยากเก็บข้อมูลเยอะขึ้นต้องไปซื้อตัว USB on-the-go มาเพิ่มแทน

นอกเหนือจากจุดเด่นในเรื่องกล้องและตัว O-Touch Control แล้ว N1 ยังมาพร้อม UI ตัวใหม่อย่าง ColorOS ที่ดีไซน์มาสวยขึ้นและดูเป็นสามมิติมากขึ้นรวมถึงยังมีฟีเจอร์การใช้งานเพิ่มมากขึ้นด้วย อย่างแรกเลยคือ Multi Finger Gesture ที่ให้เราสามารถสั่งงาน N1 ได้โดยใช้นิ้วมือ (แต่ไม่ใช่ไปชี้นิ้วสั่งมันนะ) เช่น เราสามารถ capture ภาพหน้าจอได้ด้วยการใช้ 3 นิ้วสไลด์ลงจากด้านบนหน้าจอ , เพิ่มหรือลดเสียงได้ด้วยการสไลด์ 2 นิ้ว ขึ้น-ลง หรือถ้าต้องการเปิดกล้องก็สามารถรวบนิ้วเข้าหากันได้ เป็นต้น


นอกจาก Multi Finger Gesture แล้วยังมีฟีเจอร์ที่ให้เราเข้าสู่ตัวเครื่องและเข้าถึงการใช้งานแอพพลิเคชั่นต่างๆได้ง่ายๆและไวขึ้นอีกอย่าง นั่นก็คือ Black Screen Gesture ความสามารถของมันก็อย่างเช่นการเคาะหน้าจอ 2 ครั้งในขณะที่หน้าจอปิดอยู่เพื่อเป็นการเรียดเปิดหน้าจอ หรือเคาะเพื่อเป็นการปิดหน้าจอ , การลากนิ้วเป็นรูปตัวขณะที่หน้าจอปิดอยู่ O เพื่อเข้าสู่โหมดการถ่ายภาพทันที และการลากนิ้วเป็นรูปตัว V เพื่อเปิดแอพไฟฉายได้ทันทีแบบไม่ต้องมานั่งควานหาแอพ หรือจะตั้งค่าเพิ่มเติมได้ด้วยตัวเองที่ Setting > Gesture & Motion > Customize Gesture งานนี้จะวาดเป็นรูปหัวใจแล้วตั้งค่าให้โทรออกหาหวานใจก็ได้นะจ๊ะ

อีกอย่างที่มาพร้อมกับ ColorOS คือการเพิ่มลูกเล่นของภาพพื้นหลังให้มากกว่าเดิม เช่น ภาพพื้นหลังแบบไอน้ำบนกระจก ที่เราสามารถเขียนตัวหนังสือลงไปบนภาพพื้นหลังได้เลย และ Live Wallpaper ที่สามารถเปลี่ยนได้ตามสภาพอากาศที่เกิดขึ้นจริงเป็นต้น

ดูเรื่องหน้าตาและฟีเจอร์กันไปแล้วงานนี้เราลองมาดูส่วนของประสิทธิภาพของ N1 กันบ้างนะคะ เวปคของเจ้าตัวนี้มาพร้อม CPU Quad Core Qualcomm Snapdragon 600 1.7 GHz , GPU Adreno 320 ส่วนแรมนั้นให้มาที่ 2 GB ค่ะ เมื่อพูดถึง CPU แล้วเดี๋ยวเรามาลองดูผล Benchmark จาก Quadrant และAntutu กันเลยดีกว่า

ผลสำหรับ Quadrant ได้ไป 10,180 คะแนน ส่วนคะแนนของ Antutu รับไป 25,717 คะแนนค่ะ

ส่วนในเรื่องของการเล่นเกมส์นั้นถือว่าประทับใจทีเดียวเพราะว่านอกจากจะเล่นเกมส์ได้ลื่นๆ ภาพสวยๆแล้วหน้าจอที่ใหญ่ของ N1 ยังทำได้ได้ฟีลการเล่นที่ดีมากอีกด้วยแถมยังไม่ต้องกังวลเรื่องของแบตเตอรี่มากนัก เพราะเจ้าตัวนี้มาพร้อมแบตที่ความจุ 3,610 mAh เชียว เท่าที่ลองใช้มาแบบวันๆ นึงเน้นถ่ายรูปแชะๆ และแชทๆ เล่นเน็ทก็ไม่เจอปัญหาแบตแดงก่อนค่ำนะคะ ส่วนถ้าใครอยากดูรายละเอียดเสปคของ N1 แบบเต็มๆก็สามารถเข้าไปดูได้ที่นี่ค่ะ >> สเปค OPPO N1

Play video

โดยรวมแล้วเจ้าตัวนี้ถือว่าดีทีเดียว สิ่งที่หลายๆคนชอบเกี่ยวกับเจ้าตัวนี้ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของกล้อง 13 ล้านพิกเซลที่ใช้เป็นได้ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลังถูกใจคนรักการถ่ายภาพโดยเฉพาะสาวๆและชาว selfie นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์จัดมาให้แน่นทีเดียว แถมหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นก็ยังทำให้ดูหนัง เล่นเกมส์ได้ฟินมากขึ้นด้วย แต่ทั้งนี้ก็ยังมีข้อเสียอยู่ตรงที่ขนาดของตัวเครื่องอาจจะเป็นปัญหาในการพกพาใส่กระเป๋ากางเกงสำหรับหนุ่มๆไปสักหน่อย แถมยังมาพร้อมหน่วยความจำที่จำกัดเพียงแค่ 16GB และไม่สามารถเพิ่ม MicroSD ได้ งานนี้ก็เลยอาจจะต้องช่างใจกันสักนิดค่ะ … สำหรับใครที่สนใจเจ้า OPPO N1 ก็สามารถไปหาซื้อได้แล้วที่สนราคา 19,990 บาทจ้าาา