พักหลังๆ จะเห็นว่านอกจากจะขายสมาร์ทโฟนแล้ว ทางแบรนด์ realme ยังได้ตบเท้าเข้าสู่ตลาดอุปกรณ์ IoT อื่นๆ อย่างสมาร์ทวอทช์ หูฟังไร้สาย ฯลฯ อะไรแบบนี้ด้วย ล่าสุดทางทีมงาน DroidSans ก็ได้มีโอกาสรีวิวอุปกรณ์ IoT ของ realme ถึง 4 ชิ้น ว่าแต่จะเป็นยังไงบ้าง มาดูกันในบทความนี้เลยครับ

โดยในบทความนี้ ผมได้ realme Buds Air Pro, realme Watch S, realme Smart Cam 360° และ realme Smart Scale มาใช้งานราวๆ เกือบๆ สองสัปดาห์

realme Buds Air Pro

เริ่มกันที่หูฟังไร้สาย TWS อย่าง realme Buds Air Pro กันก่อนเลยดีกว่า โดยดีไซน์ของหูฟังรุ่นนี้จะออกมาแบบคล้ายๆ realme Buds Air ที่เคยเปิดตัวไปก่อนหน้านี้ แต่ตัวจุกหูฟังจะเป็นแบบ In-Ear แน่นหู ไม่หลุดง่าย ใส่นั่งวิน หรือวิ่งได้แบบสบายๆ

การเชื่อมต่อ

โดยการเชื่อมต่อ realme Buds Air Pro กับสมาร์ทโฟน อันนี้บอกเลยว่าง่ายมากๆ เพียงแค่เปิดฝาเคสขึ้นมา เท่านี้ในหน้ามือถือของเรา ก็จะเด้งแจ้งเตือนให้เชื่อมต่อกับหูฟังไร้สายตัวนี้แล้ว อันนี้เป็นความสามารถของฟีเจอร์ Google Fast Pair นั่นเอง

ระบบตัดเสียง ANC

จุดขายหลักๆ ของ realme Buds Air Pro ก็คือ มากับระบบตัดเสียง Active Noise Cancellation ที่ทางค่ายเคลมว่าสามารถเข้ามาช่วยตัดเสียงรบกวนภายนอกได้มากถึง 35 เดซิเบล ซึ่งจากที่ลองๆ ใช้มา ก็พบว่าเอา realme Buds Air Pro ไปใส่นั่งทำงานร้านกาแฟ หรือเดินข้างถนน ก็แทบจะไม่ได้ยินเสียงรอบข้างเลย คือยังมีได้ยินอยู่บ้าง แต่มันหายไปเยอะจริง

อันนี้ช่วยมากเลยนะ สำหรับคนที่เป็นโรควิตกกังวล หรือเซนซิทีฟกับเสียงดังๆ ใส่ realme Buds Air Pro แล้ว โลกมันเงียบลงกว่าเดิมจริง อันนี้ผมชอบ แต่เอาตามจริง มันจะรู้สึกอื้อๆ นิดหน่อยเวลาใส่เข้าไป

ซึ่งพอมีระบบตัดเสียง ANC เข้ามา อันนี้มันก็ได้อย่างเสียอย่างอะแหละ แต่ realme Buds Air Pro ก็ยังมีโหมด Transparency หรือเรียกง่ายๆ ว่า Ambient Mode นั่นแหละ ที่ตัวหูฟังจะเอาไมค์ตัวนอกดูดเสียงภายนอกเข้ามา อันนี้แนะนำให้ใช้ตอนใส่หูฟังเดินข้างถนนนะ มันจำเป็นจริงๆ ได้ยินเสียงรถ เสียงแตรอะไรครบ ดีกว่าเปิด ANC แล้วไม่ได้ยินอะไรเลย

อ้อ เอาจริงๆ Transparency Mode มันมีประโยชน์อีกอย่างนึงด้วยนะ ก็คือ เวลาผมออกกำลังกายอยู่ ยกเวท วิ่งอยู่ แล้วบังเอิญเจอเพื่อน ถ้าเปิดใช้งานโหมดนี้อยู่ อันนี้ก็มีประโยชน์มากๆ ไม่ต้องถอดหูฟังออกมาเลย ดีกว่าหูฟังรุ่นอื่นที่ไม่มีโหมดนี้อย่างชัดเจน อันนี้ realme Buds Air Pro ไม่ต้องถอดออก ใส่ต่อ ก็ยังคุยได้

คุณภาพเสียง 

ในเรื่องของคุณภาพเสียง อันนี้จากที่ลองใช้ realme Buds Air Pro ฟังเพลง ดูหนัง ก็พบว่า หูฟังตัวนี้จะเด่นที่ย่านต่ำ หรือ Bass แน่นนั่นเอง ส่วนย่านกลางอันนี้พอไปวัดไปวาได้ แต่ถ้าใครที่ชอบย่านสูง อันนี้ต้องเตือนว่าหูฟังรุ่นนี้ไม่น่าจะถูกใจแน่นอน

แต่ถ้าใครที่ยังคิดว่าเบสที่ใหญ่มายังไม่พอ realme Buds Air Pro ยังมีตัวเลือก Bass Boost ให้เลือกอีกด้วย กระหึ่ม ตู้มๆ กว่าเดิมแน่นอน จากที่ลอง ก็จริงอย่างที่เคลม แต่ฟังไปนานๆ ละปวดหู เพราะส่วนตัวไม่ค่อยชอบเบสเยอะๆ ซักเท่าไหร่ ฮ่าๆ

ดูหนัง-เล่นเกม ดีเลย์ไหม?

นอกจากนี้ realme Buds Air Pro ยังมากับ Game Mode ที่จะเข้ามาช่วยลดความหน่วง (Latency) ให้เหลือเพียงแค่ 94 ms เท่านั้น ซึ่งจากที่ลองเปิดใช้งานดูก็พบว่าสามารถดูคอนเทนต์บน Netflix หรือ YouTube ก็แทบจะไม่เกิดการดีเลย์เลย คือถ้าสังเกตแบบตั้งใจมองจริงๆ จะเห็นว่ามันก็มีดีเลย์บ้างนิดหน่อยอะแหละ แต่ถ้าดูแบบเพลินๆ ไม่ได้จ้องอะไรมาก อันนี้แยกไม่ออกเลยนะ

มาตรฐานกันน้ำ IPX4

ใครที่ชอบใส่หูฟังไปด้วย ออกกำลังกายไปด้วย realme Buds Air Pro ก็ถือว่าตอบโจทย์ไม่น้อย เพราะมากับมาตรฐานกันน้ำ IPX4 ใส่ลุยฝน หรือกันเหงื่อได้แบบสบายๆ ไม่ต้องกลัวว่าโดนน้ำแล้วจะพัง แต่ใส่ว่ายน้ำ หรือดำน้ำอะไรแบบนี้ ไม่ได้นะครับ

แบตเตอรี่

realme Buds Air Pro มาพร้อมกับชิปเซ็ต S1 ที่จะเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานแบตเตอรี่ให้ใช้ได้ยาวนานกว่าเดิม บวกกับแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 486 มิลลิแอมป์ ใช้งานได้ยาวๆ 25 ชั่วโมง (รวมชาร์จกับเคส) แต่ถ้าฟังแบบเพียวๆ อันนี้จากที่ทดลองมา จะได้ประมาณ 3 – 4 ชั่วโมงนะ

อย่างไรก็ดี realme Buds Air Pro ยังมากับระบบชาร์จไว ที่ชาร์จเพียงแค่ 10 นาที ตัวหูฟังก็สามารถนำกลับไปใช้งานต่อได้ 3 ชั่วโมงแล้ว

รวมๆ แล้วถือว่า realme Buds Air Pro เป็นอีกหนึ่งหูฟังไร้สาย TWS ที่น่าสนใจตัวหนึ่งตอนนี้ ด้วยคุณภาพเสียงที่โอเค (คนชอบเบสน่าจะถูกใจกดไลค์) ไหนจะดีไซน์ทันสมัย แบตเตอรี่ใช้งานได้นาน และกันน้ำได้อีกต่างหาก ทั้งหมดนี้ในราคา 2,999 บาทเท่านั้น เอาเป็นว่าถ้าอ่านรีวิวแล้วยังไม่จุใจ ลองไปฟังเล่นๆ ได้ที่ช็อปได้นะ

realme Watch S

อีกหนึ่งอุปกรณ์ IoT ที่น่าสนใจ นั่นก็คือสมาร์ทวอทช์ realme Watch S ซึ่งรอบนี้มาในรูปทรงกลมๆ น้ำหนักเบาอย่างสังเกตได้ โดยเริ่มกันที่หน้าจอกันก่อนเลยดีกว่า realme Watch S มากับหน้าจอสีขนาด 1.3 นิ้ว ปรับค่าความสว่างหน้าจอได้สูงสุด 600 nits ใช้งานกลางแจ้งได้แบบสบายๆ ไม่ต้องเพ่งสายตาให้เมื่อย

ตัวนาฬิกาสามารถปรับเปลี่ยนหน้าตา Watch Faces ได้กว่า 100 แบบ เปลี่ยนได้ทั้งบนตัวนาฬิกา และผ่านแอป realme Link

บอกเลยว่าในแอป realme Link มี Watch Faces ให้เลือกแบบเยอะจริงอะไรจริง

เซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ

น่าเสียดายที่ realme Watch S ไม่สามารถวัดอัตราการเต้นของหัวใจได้แบบ 24 ชั่วโมง คือมันจะวัดได้แค่ทุกๆ 5 นาทีเท่านั้น ซึ่งตรงนี้บอกเลยว่าส่วนตัวผมแอบหงุดหงิดนิดนึง อยากให้มันวัดได้แบบ Real Time อะ แต่แบบนี้ก็ถือว่าเข้าขั้น Near Real Time แล้วล่ะ

แต่ถึงอย่างไร เจ้า realme Watch S ก็สามารถจับได้ว่าผู้สวมใส่มีอัตราการเต้นของหัวใจที่มากหรือว่าน้อยเกินไปหรือเปล่า ซึ่งหากเกินกว่าที่ตั้งเอาไว้ล่ะก็ มันก็จะแจ้งเตือนเรามาทันที

วัดค่าออกซิเจนในเลือด 

realme Watch S สามารถใช้วัด SpO2 หรือว่าค่าออกซิเจนในเลือดได้ ซึ่งตัวไอคอนจะเป็นรูปหยดเลือดน่ารักๆ ตรงนี้ทาง realme เคลมว่ามีความแม่นยำสูงเทียบได้กับเครื่องมือทางการแพทย์เลยทีเดียว ซึ่งจากที่ลองใช้งานก็ต้องบอกว่ามันใช้ค่อนข้างง่ายนะ กดใช้ แล้วก็รอนิ่งๆ ซัก 15 วินาทีเท่านั้น

การแจ้งเตือน 

แน่นอนว่าเป็นสมาร์ทวอทช์ การแจ้งเตือนต่างๆ ก็เด้งแจ้งเตือนที่หน้าปัดอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นสายโทรเข้า หรือแจ้งเตือนแอปโซเชียลต่างๆ

ตรวจจับคุณภาพการนอน 

ในส่วนการตรวจจับคุณภาพการนอน realme Watch S ถือทำงานได้ค่อนข้างใช้ได้เลยนะ เราหลับตอนไหน มันก็รู้ หรือจะตื่นมากลางดึก มันก็ยังเก็บข้อมูลเอาไว้ให้ ซึ่งเมื่อตื่นนอน เราสามารถไปเช็คผ่านแอป realme Link ได้ ว่าคุณภาพการหลับนอนของเราเมื่อคืนเป็นยังไงบ้าง Deep Sleep เท่าไหร่ Light Sleep ฯลฯ

โดย realme Watch S ถือเป็นหนึ่งในสมาร์ทวอทช์ไม่กี่รุ่น ที่สามารถใช้งานต่อเนื่องได้แบบเพลินๆ ถึง 15 วัน ซึ่งส่วนตัวผมได้เจ้าตัวนี้มารีวิวตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว จนถึงตอนนี้แบตยังเหลือเกิน 50% อยู่เลย ใส่แทบจะตลอดทั้งวัน

realme Smart Cam 360°

เมื่อนำ realme Smart Cam 360° ไปเชื่อมต่อกับแอป realme Link จะมีตัวเลือกให้เลือกตามด้านล่างเลย

ซึ่งเราสามารถควบคุมตัวกล้องว่าอยากให้หมุนไปทางไหนได้ผ่านแอปเลย หรือจะปรับแบบ Manual ก็ได้ โดยภาพที่ได้จะมีความละเอียดสูงสุด Full HD

โดย realme Smart Cam 360° มีการตรวจจับความผิดปกติด้วยระบบ AI ซึ่งจะตรวจจับเสียงและการเคลื่อนไหวต่างๆ รวมถึงหากมีเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้น ตัวกล้องก็จะเด้งแจ้งเตือนมายังโทรศัพท์ทันที

นอกจากนี้ realme Smart Cam 360° ยังรองรับการสนทนาแบบ 2 ทาง สามารถโต้ตอบได้แบบ Face to Face อีกด้วย โดยความดังของลำโพงจะชัดเจนฟังชัดแม้ว่าจะยืนห่างจากตัวกล้องถึง 4 เมตร

ในส่วนของการจัดเก็บข้อมูล ตัว realme Smart Cam 360° จะสามารถใส่ SD Card ได้ ความจุสูงสุด 128GB ซึ่งสามารถใช้งาน (บันทึกภาพ) ได้ต่อเนื่องเป็นเวลา 14 วัน 24 ชั่วโมง

realme Smart Scale

ปิดท้ายด้วยเครื่องชั่งน้ำหนัก realme Smart Scale ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีเซ็นเซอร์ BIA ขั้นสูง โดยเซ็นเซอร์นี้จะช่วยวัดผลการชั่งได้อย่างรวดเร็ว น้ำหนักเบาเพียงแค่ 50 กรัมก็ชั่งได้แล้ว

นอกจากนี้ เจ้าตัวเซ็นเซอร์ BIA ยังสามารถตรวจจับข้อมูลสุขภาพได้มากถึง 16 รายการ ได้แก่ น้ำหนัก สัดส่วนไขมัน รูปร่าง BMI อัตราความชื้น สัดส่วนกล้ามเนื้อ ระดับไขมันในช่องท้อง กล้ามเนื้อลาย ความหนาแน่นมวลกระดูก โปรตีน มวลไขมัน อัตราการเต้นหัวใจ มวลกล้ามเนื้อ อายุร่างกาย อัตราการเผาผลาญและน้ำหนักร่างกายไม่รวมไขมัน

ซึ่งจากที่ลองชั่งน้ำหนักกับ realme Smart Scale ดู คือถ้าไม่ได้เชื่อมต่อกับแอป realme Link ตัวนี้มันก็จะเป็นเครื่องชั่งน้ำหนักปกติทั่วไป

แต่เมื่อไปเชื่อมต่อกับแอป realme Link ก็จะมีข้อมูลต่างๆ ขึ้นมาเต็มเลย ซึ่งในส่วนนี้วิธีให้มันขึ้นข้อมูลต่างๆ ก็คือ ไปยืนชั่งน้ำหนักประมาณ 10 วินาที จากนั้นตัวแอป realme Link และเครื่องชั่งจะทำการประมวลข้อมูลต่างๆ ของเราเอง ขั้นตอนนี้ใช้เวลาไม่นาน ไม่เกิน 15 วินาที

ในเรื่องของแบตเตอรี่ realme Smart Scale สามารถใช้งานต่อการใส่ถ่าน 4 ก้อน ได้ถึง 300 กว่าวัน เรียกว่าใส่ถ่านก้อนเดียว ใช้งานได้เป็นปี

ราคาและวันวางจำหน่าย

สามารถหาซื้ออุปกรณ์ AIoT ของ realme ได้แล้ววันนี้ โดยราคาก็ตามนี้เลยครับ

  • realme Buds Air Pro ราคา 2,999 บาท
  • realme Watch S ราคา 2,999 บาท
  • realme Smart Cam 360° ราคา 1,499 บาท
  • realme Smart Scale ราคา 999 บาท