Redmi Note 13 4G และ Redmi Note 13 5G เปิดตัวมาอย่างน่าสนใจกับราคาที่น่าคบหา เมื่อเทียบกับสเปคที่ได้ทั้งจอ AMOLED สีสันสดใสครบทุกรุ่น กับลำโพงระบบเสียง Dolby Atmos กับตัวเครื่องบางเบา จอสมมาตร ดีไซน์สวย ในราคาเริ่มต้น 6,999 บาท ส่วนจะคุ้มกับราคาที่ต้องจ่ายมั้ย วันนี้เราได้ตัวเครื่องมาลองเล่นกันแล้ว

ดีไซน์ต่าง แต่คล้ายกัน

Redmi Note 13 4G และ Redmi Note 13 5G เปิดตัวมาในดีไซน์ที่ดูแล้วคล้ายกัน มีช่องเชื่อมต่อหูฟัง 3.5 มม. อยู่ด้านบน และรองรับมาตรฐานทนละอองน้ำ IP54 เหมือนกัน แต่ก็มีจุดที่ไม่เหมือนกันเลยอยู่หลายอย่าง

ในรุ่น 4G จะมากับฝาหลังดีไซน์แบนราบ ไม่มีฐานกล้องยื่นออกมา จะมีแค่ส่วนของตัวเลนส์กล้องขนาดใหญ่และไฟแฟลช LED เท่านั้นที่นูนออกมาจากฝาหลัง

อุปกรณ์ที่มีในกล่อง Redmi Note 13 4G

ซึ่งตัวเครื่องรุ่น 4G ที่เราได้มาจะมากับสี Ocean Sunset ที่ตัวเครื่องจะมาในสีทองกึ่ง ๆ โรสโกลด์ ฝาหลังจะมีการดีไซน์ลวดลายเงาสะท้อนน้ำเอาไว้ และเมื่อตัวเครื่องโดนแสงก็จะสะท้อนออกมาเป็นสีสายรุ้งพาสเทลสวย ๆ (แต่ก็แอบติดลายนิ้วมือเหมือนกัน)

ส่วนในรุ่น 5G นั้นจะมากับฝาหลังที่ใช้ดีไซน์วัสดุแบบด้านสัมผัสดี ช่วยพรางลายนิ้วมือ โดยสีที่เราได้มานั้นเป็นสีฟ้า Ocean Teal ที่จะมีความเป็นกลิตเตอร์เล่นกับแสง ส่วนตัวกล้องจะมาในรูปแบบฐานโมดูลกระจก และมีเลนส์กล้องยื่นออกมาจากฐานอีกนิดหน่อย

อุปกรณ์ที่มีในกล่อง Redmi Note 13 5G

จุดที่แตกต่างระหว่างสองรุ่นจะอยู่ที่ขอเฟรมตัวเครื่องที่ในรุ่น 4G จะมีความลงโค้งกว่าในรุ่น 5G นิดหน่อย รวมถึงตำแหน่งถาดซิมที่รุ่น 4G จะอยู่ด้านล่าง ส่วนรุ่น 5G จะย้ายมาอยู่ด้านซ้ายมือของตัวเครื่อง และมีขนาดตัวเครื่องที่สั้นกว่า และน้ำหนักเบากว่าเล็กน้อย

นอกจากนี้ในรุ่น 5G จะมีปุ่ม Power ที่ขนาดยาวกว่าเล็กน้อย เพราะต้องใส่เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือ และด้านบนจะไม่เจาะช่องลำโพงคู่มาให้ แต่ในรุ่น 4G จะสแกนลายนิ้วมือได้ผ่านจอแสดงผลโดยตรง อีกทั้งยังมีช่องลำโพงตัวที่ 2 อยู่ด้านบนด้วย

จอแสดงผลขนาดเท่ากัน แต่สเปคไม่เหมือนกัน

Redmi Note 13 4G และ Redmi Note 13 5G มากับจอแสดงผลขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียด Full HD+ (2400 × 1080 พิกเซล) รองรับรีเฟรชเรตเท่ากันที่ 120Hz แถมทั้งสองรุ่นยังดีไซน์ตัวจอมาในรูปแบบ Unibody ตัวหน้าจอแสดงผล กับเฟรมตัวเครื่องจะอยู่ในระนาบเดียวกัน ไม่มีขอบพลาสติกยื่นออกมาจากเครื่องให้ขัดอารมณ์ เหมือนมือถือราคาประหยัดรุ่นอื่น ๆ

หากจะเทียบกันในแง่ของสีสัน ต้องบอกว่าทั้งสองรุ่นแทบไม่ต่างกันเลย สีสดคมชัด สีดำมืดสนิท แต่ในแง่ของความเต็มตาต้องให้รุ่น 5G เพราะทำขอบจอล่างได้บางกว่ามาก ๆ ส่วนในรุ่น 4G ส่วนคางของจอจะยาวกว่าเล็กน้อย นอกจากนี้ความสว่างยังต่างกัน โดยในรุ่น 4G จะรองรับความสว่างสูงสุดที่ 1,800 nits ส่วนในรุ่น 5G จะรองรับที่ 1,000 nits เท่านั้น

เรื่องความคมชัดนั้น ทั้งสองรุ่นรองรับ Widevine L1 ดู Netflix ได้ที่ความละเอียด Full HD แต่ถ้าดู YouTube แล้วในรุ่น 5G จะรองรับการรับชมที่ความละเอียดสูงสุดที่ 1440p@60FPS แต่ในรุ่น 4G จะรองรับความละเอียดสูงสุดที่ 1080P@60FPS เท่านั้น เนื่องจากชิปประมวลผลที่ใช้ในรุ่น 4G ไม่รองรับการถอดรหัส Codec ภาพที่ความละเอียดสูง ๆ

จุดสุดท้ายที่แตกต่างระหว่างจอแสดงผลผลของทั้งสองรุ่นคือ กระจกหน้าจอที่ในรุ่น 4G จะได้ใช้เป็นกระจก Gorilla Glass 3 ซึ่งมีความทนทานเป็นรองรุ่น 5G ที่ได้ใช้เป็น Gorilla Glass 5 นั่นเอง

ได้ลำโพง Dolby Atmos รองรับ LDAC ทั้งคู่

Redmi Note 13 4G และ Redmi Note 13 5G เรียกได้ว่าเหมาะกับสายเอนเตอร์เทนเมนต์มาก ๆ เพราะนอกจากจะได้จอ AMOLED สีสวยแล้ว ยังได้ลำโพงระบบเสียง Dolby Atmos จะดูหนังฟังเพลงเล่นเกมก็ครบรส และยังรองรับ Codec หูฟังไร้สายระดับ Hi-Res Wireless หรือ LDAC ด้วย

ส่วนเรื่องของเสียง ทั้งสองรุ่นจะมาในโทนใส ๆ เด่นย่านแหลม ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ทั่วไปสำหรับมือถือราคานี้ ไม่หวือหวา แต่สำหรับในรุ่น 4G จะได้เปรียบกว่าอีกรุ่นนิดหน่อย เพราะตัวเครื่องมากับลำโพงคู่ ช่วยแยกมิติให้คมชัด เวลาเล่นเกม หรือดูหนังกว่าลำโพงเดี่ยวในรุ่น 5G

กล้องชัด 108MP สวยต่างสไตล์

ทั้ง Redmi Note 13 4G และ Note 13 5G มากับเซนเซอร์กล้องหลังสเปคเทียบเท่ากันที่ประกอบไปด้วย กล้องหลัก 108MP + กล้อง Ultrawide 8MP + กล้อง Macro 2MP โดยชูจุดเด่นที่ระบบ In-Sensor Zoom ใช้การครอปภาพจากเซนเซอร์หลัก เพื่อให้ได้คุณภาพที่ใกล้เคียงระยะซูมแบบ Optical 3x นั่นเอง ส่วนกล้องเซลฟี่ก็ให้มาที่ 16MP เท่ากัน

ตัวอย่างภาพจากกล้องของ Redmi Note 13 4G

ภาพถ่ายที่ได้จากกล้องหลังของ Redmi Note 13 4G จะมาในโทนติดแดงพอสมควร เมื่อถ่ายคนแล้วจะให้สกินโทนที่ขาวอมชมพูเกินต้าน Dynamic Range ค่อนข้างแคบ ทำให้บางช็อตมีปัญหา Overexposure พื้นหลังโดนแสงกลืนเป็นสีขาวบ้าง มี Noise ให้เห็นประปราย

ส่วนกล้อง Ultrawide 8MP ก็ยังเก็บดีเทลได้ไม่ค่อยเก่ง รายละเอียดหายไปพอสมควรแต่ก็ยังดีที่ Redmi ยังคงให้กล้องมุมกว้างมาในระดับราคานี้ เพราะแบรนด์ส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยใส่มากันแล้ว

ด้านกล้อง Macro 2MP สำหรับถ่ายระยะใกล้ ส่วนตัวคิดว่าเป็นกล้องที่ยังคงคอนเซปต์ใช้งานถ่ายเป็นครั้งคราวเหมือนเดิม เพราะนอกจากจะได้ไฟล์ที่ขนาดเล็กแล้ว สีสัน และดีเทลต่าง ๆ ยังหายไปเยอะมาก แต่ก็ต้องขอบคุณโหมด In-Sensor Zoom x3 ที่ช่วยให้การถ่ายวัตถุระยะใกล้ต่าง ๆ ทำได้สวยเหมือนใช้กล้อง Macro จริง ๆ เลย

สำหรับสายเซลฟี่ กล้องหน้า 16MP ในรุ่นนี้ถือว่าถ่ายผิวออกมาได้ดูอมชมพู แต่โหมดบิวตี้จะมีให้ปรับแค่ความเนียนของผิวเพียงอย่างเดียว และภาพที่ได้จะออกมาในโทนวุ้น ๆ ฟุ้ง ๆ เก็บรายละเอียดได้ค่อนข้างน้อย

ตัวอย่างภาพจากกล้องของ Redmi Note 13 5G

ในรุ่น 5G มากับกล้องหลัง 108MP ที่รูรับแสงกว้างกว่าเล็กน้อย และโทนภาพที่ได้ค่อนข้างแตกต่างจากรุ่น 4G โดยในรุ่นนี้จะเน้นในโทนที่ดูสีสันสดใส จัดจ้าน และดูใกล้เคียงของจริงมากกว่า การเก็บรายละเอียด และเบลอหลังทำได้ดูเป็นธรรมชาติกว่าอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งน่าจะเป็นเพราะการประมวลผลภาพจากชิปที่แตกต่างกัน

เช่นเดียวกับกล้อง Ultrawide 8MP ที่เก็บรายละเอียด สีสันได้ดีขึ้นมาอีกนิดหน่อย แต่เมื่อลองซูมดูแล้วยังพบ Noise เป็นจุด ๆ อยู่บ้าง แต่เมื่อเทียบกับรุ่น 4G ทำได้ดีกว่าเห็นได้ชัด นอกจากนี้กล้อง Macro 2MP ก็ทำได้ดีกว่ามาก ๆ ทั้งในเรื่องของสีสัน และรายละเอียด แต่ยังไงก็แนะนำให้ใช้ระบบ In-Sensor Zoom ในการถ่าย Macro ดีกว่า เพราะได้จะคุณภาพรูปที่ดีกว่ามาก ๆ

กล้องหน้า 16MP ก็ถือว่าทำได้ดีกว่าเช่นกัน สังเกตได้จากรายละเอียดเส้นผมที่ประมวลผลออกมาได้ชัดกว่า ไม่ดูเป็นวุ้นเท่ารุ่น 4G และได้สกินโทนที่ดูสมจริงมากกว่าด้วย

ตัวอย่างงานวิดีโอของ Redmi Note 13 4G / Note 13 5G

Redmi Note 13 4G และ Note 13 5G รองรับการถ่ายวิดีโอแค่ในความละเอียดมาตรฐาน 1080P@30FPS ทั้งกล้องหน้า และกล้องหลัง ซึ่งคุณภาพวิดีโอในรุ่น 4G จะมีการใช้ซอฟต์แวร์ช่วยกันสั่นในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังพบความสั่นไหวอยู่พอสมควรเวลาเดินลงเท้า และมีอาการย้วย และมีแสงวูบวาบบ้างเมื่อค่าแสงเปลี่ยน

ชมตัวอย่างงานวิดีโอ Redmi Note 13 4G และ 5G

ส่วนในรุ่น 5G ซอฟต์แวร์จะสามารถกันสั่นได้ดีกว่าในระดับหนึ่ง และสามารถถ่ายสีสันต่าง ๆ ออกมาได้ดูดีกว่ามาก แต่ความวูบวาบเวลาเปลี่ยนสภาพแสงก็ยังมีอยู่บ้าง ซึ่งถ้าใครอยากรู้ว่างานวิดีโอเป็นอย่างไร สามารถเข้าไปดูที่วิดีโอรีวิวของทาง DroidSans ได้เลย

ประสิทธิภาพเป็นอย่างไร เล่นเกมไหวมั้ย?

ตารางเทียบสเปคRedmi Note 13 4GRedmi Note 13 5G
จอภาพประเภทAMOLED
ความสว่างสูงสุด 1800 นิต
AMOLED
ความสว่างสูงสุด 1000 นิต
ขนาด6.67 นิ้ว
ความละเอียดFHD+ (2400 × 1080 พิกเซล)
อัตรารีเฟรช120Hz
ประสิทธิภาพชิปเซตSnapdragon 685Dimensity 6080
หน่วยความจำLPDDR4x
8GB
LPDDR4x
8GB / 12GB
สตอเรจUFS 2.2
256GB
UFS 2.2
256GB / 512GB
ระบบปฏิบัติการMIUI 14
บนพื้นฐาน Android 13
กล้องกล้องหลัก108MP (f/1.75)108MP (f/1.7)
กล้องอัลตราไวด์8MP (f/2.2)
กล้องมาโคร2MP (f/2.4)
กล้องหน้า16MP (f/2.4)
เสียงลำโพงสเตอรีโอ
Dolby Atmos
ลำโพงเดี่ยว
Dolby Atmos
เครือข่ายเทคโนโลยี4G5G
การเชื่อมต่อWi-FiWi-Fi 5Wi-Fi 5
Bluetooth5.1
รองรับ LDAC
5.3
รองรับ LDAC
การเชื่อมต่ออื่น ๆInfrared remote control
USB Type-C 2.0
NFC
Infrared remote control
USB Type-C 2.0
แบตเตอรี่ความจุ5000mAh
การชาร์จชาร์จไว 33W
ตัวเครื่องวัสดุกระจกGorilla Glass 3Gorilla Glass 5
มาตรฐานทนน้ำIP54
ขนาด162.24 x 75.55 x 7.97 มม.161.1 x 75 x 7.6 มม.
น้ำหนัก188.5 กรัม173.5 กรัม
ตารางเทียบสเปค Redmi Note 13 4G และ Note 13 5G

Redmi Note 13 4G ได้ใช้ชิป 4G รุ่นเก่าอย่าง Snapdragon 685 ที่เด่นในเรื่องการประหยัดพลังงาน ประกบคู่มากับ RAM LPDDR4x และ ROM UFS 2.2 ความจุ 8GB + 256GB ที่เหมาะกับการใช้งานทั่วไปได้อย่างลื่นไหล เก็บไฟล์ต่าง ๆ ได้เยอะ

แต่อย่างไรก็ตามชิปที่ใช้ในรุ่น 5G อย่าง Dimensity 6080 ถือว่าแรงกว่ารุ่น 4G อยู่พอควร มาพร้อมสตอเรจชนิดเดียวกัน RAM LPDDR4x และ ROM UFS 2.2 แต่จะมีให้เลือก 2 ความจุได้แก่ 8GB + 256GB และ 12GB + 512GB

ผลทดสอบประสิทธิภาพ Redmi Note 13 5G

ซึ่งจากผลทดสอบประสิทธิภาพทั้ง GeekBench 6 และ 3D Mark Wildlife Extreme จะสังเกตได้ว่า Redmi Note 13 5G นั้นทำคะแนนประสิทธิภาพได้ดีกว่าพอสมควร ดังนั้นใครที่ต้องการความเร็วเพื่อเล่นเกม รุ่น 5G ถือว่าเป็นรุ่นที่ตอบโจทย์กว่า และจากการที่เราได้ทดสอบเล่นเกม 3 เกม ผลออกมาดังนี้

Genshin Impact

Redmi Note 13 4G

Redmi Note 13 4G พอเล่น Genshin Impact ไหวในโหมดกราฟิกต่ำสุด โดยสามารถทำเฟรมเรตได้ในราว ๆ 40 – 30FPS หากมีศัตรูรุมเยอะ ๆ มีเอฟเฟกต์การปล่อยพลังงานต่าง ๆ เต็มจอ กก็จะมีบางจังหวะที่ร่วงไปประมาณ 29 – 28FPS ซึ่งถ้าในแม็ปหลัง ๆ ของเกมอาจจะหืดขึ้นคอนิดหน่อย

Redmi Note 13 5G

ส่วน Redmi Note 13 5G ถือว่าทำได้ค่อนข้างดี เฟรมเรตวิ่งอยู่ที่ประมาณ 50 – 40FPS ในโหมดกราฟิกต่ำสุด และถ้าช่วงเอฟเฟกต์เยอะ ๆ จะอยู่ในระดับ 39 – 38 FPS ซึ่งถือว่าเล่นได้ดีกว่าอย่างเห็นได้ชัดเลย

ROV

Redmi Note 13 5G

สำหรับเกม ROV ทั้งสองรุ่นสามารถเล่นได้ที่เฟรมเรตนิ่ง ๆ 60 – 59FPS บนโหมดกราฟิก Ultra + Medium+ ไม่ว่าจะซัดกัน เอฟเฟกต์เยอะแค่ไหนก็เอาอยู่สบาย ๆ แต่สำหรับรุ่น 4G ก็มีบางจังหวะบ้างที่เฟรมเรตร่วงลงไปที่ 55FPS แต่ภาพรวมถือว่าทำได้ดี ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด

Redmi Note 13 4G

PUBG Mobile

Redmi Note 13 5G

Redmi Note 13 5G จะได้เปรียบในเกม PUBG Mobile มากกว่า เพราะสามารถปรับโหมดเฟรมเรต Ultra 40FPS + โหมดกราฟิกแบบสมดุลได้ แถมยังเกาะเฟรมเรตที่ 39 – 40FPS ได้สบาย ๆ ไม่มีร่วง

Redmi Note 13 4G

แต่สำหรับรุ่น 4G อาจจะชวนหงุดหงิดสักเล็กน้อย เพราะตัวเกมสามารถปรับเฟรมเรตได้สูงสุดที่โหมด High หรือเพียง 30FPS เท่านั้นในโหมดกราฟิก Smooth ซึ่งทำให้การเล่นค่อนข้างเสียอรรถรสไปพอสมควร แต่ก็ได้เปรียบตรงที่มีลำโพงคู่ ช่วยให้แยกทิศทางเสียงเท้าได้ดีขึ้น

แบตเตอรี่อึดมั้ย?

Redmi Note 13 4G และ Note 13 5G มาพร้อมแบตเตอรี่ไซส์เดียวกัน 5,000 mAh พร้อมรองรับชาร์จไว 33W แต่ด้วยชิปประมวลผลที่ใช้คนละตัวจึงมีผลต่อการจัดการพลังงาน ซึ่งจากที่ได้ทดสอบใช้งานในระยะสแตนด์บาย 37 ชั่วโมง 18 นาทีเท่ากัน ผลออกมาเป็นดังนี้

แบตเตอรี่ Redmi Note 13 4G

จากที่ทดลองใช้งานหนัก ๆ ทั้งเล่นเกม Genshin Impact, PUBG Mobile และ ROV ดู YouTube 1080P@60FPS ระหว่างวันก็หยิบมาทดสอบ 3D Mark และใช้งานกล้องวิดีโอคอลผ่าน Facebook Messenger ในระยะ Screen-On 7 ชั่วโมง 8 นาที แบตเตอรี่เหลือที่ 10% ซึ่งต้องขอบคุณชิป Snapdragon 685 ที่ขึ้นชื่อเรื่องประหยัดแบตเตอรี่มาก ๆ

แบตเตอรี่ Redmi Note 13 5G

สำหรับรุ่น 5G เราก็ได้ใส่ซิม 5G และผ่านการทดสอบคล้าย ๆ กันทั้งเล่นเกม Genshin Impact, PUBG Mobile และ ROV ดู YouTube ที่ความละเอียดสูงขึ้นมาอีกนิดหน่อยเป็น 1440P@60FPS และทำการทดสอบทั้ง 3D Mark และ Geekbench 6 ในระยะ Screen-On 5 ชั่วโมง 36 นาที แบตเตอรี่เหลือที่ 8% ซึ่งหลัก ๆ แล้วน่าจะเป็นที่การจับสัญญาณ 5G ที่กินแบตกว่านั่นเอง

สรุปการใช้งาน Redmi Note 13 4G และ 5G รุ่นไหนเหมาะกับใคร?

ในราคาที่ห่างกันเพียง 1,000 บาท ถือว่าต้องเลือกตัดสินใจให้ดีเพราะแต่ละรุ่นก็มีข้อดี และข้อพิจารณาที่ไม่เหมือนกัน อย่างในรุ่น 4G น่าจะเหมาะกับคนที่ต้องการมือถือจอสวย ๆ ได้ลำโพงคู่ ไว้ดูหนังฟังเพลงในราคาที่ไม่แพงมาก แถมจ่ายถูกกว่ายังได้สเปคที่ล้ำกว่าอย่าง การสแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอ และจอแสดงผลที่สว่างกว่าด้วย

ข้อดีของ Redmi Note 13 4G

  • ได้จอ AMOLED สีสวย คมชัด FHD+ สว่าง 1,800 nits รีเฟรชเรต 120Hz
  • รองรับการสแกนนิ้วใต้จอ
  • ได้ลำโพงคู่ Dolby Atmos เสียงดัง
  • ได้กล้องหลังครบทุกระยะ
  • แบตเตอรี่อึด อยู่ได้นานเต็มวัน
  • รองรับมาตรฐานทนละอองน้ำ IP54
  • ภายในกล่องอุปกรณ์ครบ มีทั้งเคส และหัวชาร์จไว 33W

ข้อพิจารณาของ Redmi Note 13 4G

  • กล้องถ่ายภาพติดแดง คุณภาพภาพถ่ายอยู่ในเกณฑ์ธรรมดา
  • งานวิดีโอมีความสั่นเมื่อเดินลงเท้า รองรับการถ่ายแค่ 1080P@30FPS เท่านั้น
  • ชิปประมวลผลค่อนข้างเก่า ไม่รองรับวิดีโอความละเอียดสูง เล่นเกมได้ไม่เยอะ
  • ติดตั้งมากับ Android 13 (สมาร์ทโฟนที่เปิดตัวในปีนี้ ควรเป็น Android 14 แล้ว)

ส่วน Redmi Note 13 5G จะเหมาะสำหรับคนที่ต้องใช้กล้องถ่ายภาพที่คุณภาพดีขึ้นมาอีกนิดหน่อย และต้องการมือถือที่มีความเบาบาง พกสะดวก และได้ชิปที่รองรับ 5G เล่นเกมแรงขึ้นมาอีกนิดหน่อย แต่น่าเสียดายที่ 1,000 บาทที่เพิ่มเข้ามากลับได้สเปคบางอย่างที่ลดลงไป เช่น ได้ลำโพงเดี่ยว และต้องสแกนนิ้วที่ปุ่ม Power แทนนั่นเอง

ข้อดีของ Redmi Note 13 5G

  • ได้บอดี้บางเบา พกสะดวก
  • ได้จอ AMOLED สีสวย คมชัด FHD+ รีเฟรชเรต 120Hz
  • ลำโพงรองรับ Dolby Atmos เสียงดัง
  • ดูวิดีโอ 1440p@60FPS ได้
  • ได้กล้องหลัง ถ่ายสวยครบทุกระยะ เก็บรายละเอียดดี
  • งานวิดีโอถ่ายได้นิ่งกว่าเวลาเดิมลงเท้า
  • ได้ชิปแรงกว่า รองรับ 5G
  • จอกระจกทนทาน Gorilla Glass 5
  • รองรับมาตรฐานทนละอองน้ำ IP54
  • ภายในกล่องอุปกรณ์ครบ มีทั้งเคส และหัวชาร์จไว 33W

ข้อพิจารณาของ Redmi Note 13 4G

  • ระบบสแกนลายนิ้วมืออยู่ข้างตัวเครื่อง
  • จอสว่างน้อยว่า สว่างเพียงแค่ 1,000 nits เท่านั้น
  • รองรับการถ่ายวิดีโอแค่ 1080P@30FPS เท่านั้น
  • ได้แค่ลำโพงเดี่ยว
  • ติดตั้งมากับ Android 13 (สมาร์ทโฟนที่เปิดตัวในปีนี้ ควรเป็น Android 14 แล้ว)

ราคา และการวางจำหน่าย

Redmi Note 13 Series ทุกรุ่นวางจำหน่ายในไทยแล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดย Redmi Note 13 4G เปิดตัวในบ้านเราเพียงแค่รุ่นความจุเดียวเท่านั้น คือรุ่น 8GB + 256GB โดยจะมีตัวเครื่องให้เลือกทั้งหมด 3 สี ได้แก่ สีดำ Midnight Black, สีเขียว Mint Green, สีฟ้า Ice Blue และสีเหลือง Ocean Sunset ส่วนราคาเปิดมาดังนี้

  • Redmi Note 13 4G (8GB + 256GB) ราคา 6,999 บาท

Redmi Note 13 5G จะมีให้เลือกทั้งหมด 2 รุ่นความจุ ได้แก่ 8GB + 256GB และ 12GB + 512GB และจะมีให้เลือกทั้งหมด 3 สี ได้แก่สีดำ Graphite Black, สีฟ้า Ocean Teal และสีขาว Arctic White ส่วนราคาแต่ละรุ่นความจุเปิดมาดังนี้

  • 8GB + 256GB ราคา 7,999 บาท
  • 12GB + 512GB ราคา 9,999 บาท