หลังจากห่างหายกันไปเกือบ 3 ปี ในที่สุด Samsung ก็เปิดตัวหูฟัง Galaxy Buds3 Series อีกครั้ง ซึ่งการกลับมาในครั้งนี้มีการเปลี่ยนแปลงหลายเรื่อง เช่น การเปลี่ยนดีไซน์ไปเป็นหูฟังแบบมีก้านเป็นครั้งแรก การนำ AI เข้ามาใส่ในหูฟัง และรอบนี้ยังอัปเกรดเรื่องของเสียงมาแบบจัดเต็ม ทั้งคุณภาพไดร์เวอร์ และระบบเสียงแบบ Hi-Fi ช่วยให้เสียงดีขึ้นกว่ารุ่นเดิมอยู่พอสมควร ส่วนเรื่องอื่นจะมีอะไรที่เปลี่ยนไปบ้างวันนี้ทางทีมงานจะมาเล่าให้ฟัง
ดีไซน์
สำหรับงานออกแบบของ Galaxy Buds3 และ Galaxy Buds3 Pro รอบนี้เรียกว่าได้มีการปรับดีไซน์จากรุ่นเดิม Galaxy Buds2 ไปพอสมควร ทั้งตัวกล่องเก็บ และตัวหูฟัง ที่เปลี่ยนจากการจัดวางแนวนอนที่มีการเปิดแบบฝาหอย (Clamshell) มาเป็นแนวตั้ง (Capsule) คล้ายกับดีไซน์ของหูฟังตระกูล AirPods ของ Apple มากขึ้น จากเดิมที่เป็นแบบไม่มีก้านรูปทรงเมล็ดถั่ว หรือแบบกลม ๆ
ซึ่งดีไซน์แบบนี้มีข้อดีในเรื่องของการเพิ่มพื้นที่การใส่แบตเตอรี่ หรือเพิ่มพื้นที่ของไดร์เวอร์ชุดลำโพง และยังช่วยให้ไมโครโฟนขยับเข้ามาอยู่ใกล้ปากมากขึ้นด้วย
ตัวหูฟังมีให้เลือก 2 สี คือ สีขาว (White) และ สีเงิน (Silver) แบบที่ทีมงานได้มารีวิวตัวนี้ ตัวกล่องเก็บหูฟังใช้วัสดุด้านล่างจะใช้เป็นพลาสติกที่มีผิวแบบด้านยิงทรายแบบละเอียดมีความเป็น Metallic แบบสีรถยนต์ มีไฟแสดงสถานะตรงกลาง
ส่วนด้านบนเป็นพลาสติกแบบโปร่งใส รมดำ สามารถมองเห็นตัวหูฟังที่อยู่ในกล่องได้ และรูปทรงบริเวณด้านหัว และด้านท้ายของตัวหูฟังจะเป็นแบบตัด เรียบ ช่วยให้วางตั้งหูฟังได้ ไม่ล้ม
ด้านล่างตัวเครื่องมาพร้อมกับพอร์ตชาร์จไฟ USB-C และปุ่มสำหรับการ Pairing พร้อมข้อความที่บ่งบอกชื่อรุ่น Serial Number เมื่อเปิดฝาออกมาจะพบกับหูฟังที่ถูกใส่อยู่ในช่องที่ออกแบบมาให้รับกันพอดี มีการแต้มสีที่บ่งบอกว่าหูฟังเป็นของด้านซ้าย (สีฟ้า) หรือด้านขวา (สีส้ม) แบบเดียวกับตัวหูฟัง น้ำหนักของทั้ง 2 รุ่นอยู่ที่ 46.5 กรัม
เริ่มกันที่ Galaxy Buds3 มีดีไซน์ตัวลำโพงเป็นทรงหูฟังแบบ Earbuds หูฟังแบบสอดไม่มีจุกยาง คล้าย AirPods 3 บริเวณรอบ ๆ มาพร้อมกับไมโครโฟนจำนวนมากใช้สำหรับการสนทนา และการตัดเสียงรบกวน ANC
ตัวก้านมีรูปทรงที่เป็นเหลี่ยมสันชัดเจน ช่วยให้การหยิบจับ บีบเพื่อสั่งงาน หรือจะถูกปรับระดับเสียงได้ง่าย และตรงปลายของก้านจะเป็นที่อยู่ของไมโครโฟนสำหรับการสนทนาหลัก
ส่วนดีไซน์ของ Galaxy Buds3 Pro ภาพรวมคือเหมือนกับ Galaxy Buds3 รุ่นธรรมดาเลย ต่างกันที่ Galaxy Buds3 Pro เป็นหูฟังแบบ In-Ear หูฟังแบบสอดที่มีจุกยาง และตัวกล่องเก็บจะมีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อยเท่านั้น
คุณภาพงานประกอบวัสดุ Build Quality ทำออกมาโอเค งานประกอบแน่น ความรู้ตอนเปิดกล่องแน่น เพียงแต่แม่เหล็กดูดแรงไปหน่อย จุดที่น่ากังวลคงหนีไม่พ้นฝาปิดที่ใช้วัสดุแบบโปร่งใส ในระยะยาวอาจเป็นที่สะสมของรอยขนแมว และด้วยความที่ตัวก้านหูฟังมีเหลี่ยมสันที่ชัดเจน ทำให้เวลาใส่กลับคืนที่กล่องในช่วงแรกอาจจะมีใส่ผิดใส่ถูกบ้าง เพราะต้องหาเหลี่ยมหามุมให้พอดีกับตัวกล่อง
การสวมใส่ และการใช้งาน
Galaxy Buds3 และ Galaxy Buds3 Pro ได้มีการเปลี่ยนดีไซน์เป็นหูฟังแบบมีก้าน ทำให้การกระจายน้ำหนักลงด้านล่างมีสมดุลมากกว่าเดิม มีความใกล้เคียงหูฟังปกติแบบสายที่เราคุ้นเคย น้ำหนักตอนสวมใส่ไม่รู้สึกว่าหนักเลย ใส่สบายมาก ไม่เกิดแรงดึงรั้งที่หูก็ถือว่าสอบผ่านแล้ว โดย Galaxy Buds3 จะมีน้ำหนักต่อข้างอยู่ที่ 4.7 กรัม และ Galaxy Buds3 Pro จะมีน้ำหนักต่อข้างอยู่ที่ 5.4 กรัม
ตัวก้านที่ยื่นออกมาช่วยให้คลำหาหูฟังได้ง่าย และตอนกดสั่งงานก็กดได้สะดวกกว่าแบบที่ไม่มีก้าน ส่วนหนึ่งเพราะเวลาตอนกดจะไม่ทำให้ตำแหน่งหูฟังที่เราใส่อยู่ขยับมากนักเมื่อเทียบกับการแตะ และเป็นการเพิ่มพื้นที่สำหรับการใส่ Gesture การถูที่ตัวก้าน สำหรับการปรับระดับเสียงด้วย
โดยเราสามารถปรับตั้งได้ว่าให้ Gesture แบบไหนเป็นคำสั่งอะไร เช่น เปลี่ยนโหมดตัดเสียงรบกวน เรียก Bixby หรือเปิดใช้การแปลภาษา แต่จะตั้งได้เฉพาะ Gesture การกดค้างเท่านั้นนะ Gesture อื่น ๆ ที่ใช้เป็นหลักจะตั้งไม่ได้
แต่การใช้งานจริงในช่วงแรกอาจต้องคลำหาเหลี่ยม หามุมในการกดเล็กน้อย ยิ่งคนที่เปลี่ยนจาก Galaxy Buds2 ที่เป็น Gesture แบบแตะมาด้วย ก็อาจจะทำให้หูฟังหลุดออกจากหูได้ แต่ถ้าใช้จนชินแล้วคิดว่าไม่มีปัญหา
ส่วนในแง่ของความแน่นหนึบนั้น Galaxy Buds3 ด้วยความเป็นหูฟังแบบ Earbuds ทำให้การสวมใส่ไม่ได้แน่นหนึบอะไรมากอยู่แล้ว เวลากระโดด หรือสะบัดหัวแรง ๆ ก็อาจจะหลุดออกจากหูเราได้ แต่ก็แลกมากับการสวมใส่ที่สบาย โปร่ง ไม่อึดอัด
ต่างกับ Galaxy Buds3 Pro ที่เป็นแบบ In-Ear ที่มีเรื่องของจุกยางที่สอดเข้ามาลึกกว่า ช่วยในเรื่องของการตัดเสียงรบกวนแบบ Passive ที่ทำได้ดีกว่าตามไสตล์หูฟังทรงนี้ ส่วนในเรื่องของความแน่นหนึบบอกเลยว่าหายห่วง ทดสอบ วิ่ง กระโดด สะบัดหัวแรง ๆ หรือแม้แต่ซ้อนมอเตอร์ไซค์ฝ่าถนนอันเรียบเนียนของประเทศไทย ก็ยังไม่เจอว่ามันจะหลุดแต่อย่างใด
ส่วนถ้าใครใส่แล้วรู้สึกว่าแน่นเกินไป หรือ หลวมหลุดง่าย ซีลเสียงไม่ดีให้ลองเปลี่ยนจุกยางที่มีมาให้ในกล่องดู
ฟีเจอร์ AI ช่วยทำอะไรบ้าง
เรียกได้ว่าปีนี้เป็นปีของ AI ของ Samsung ที่แท้ทรู เพราะใส่คำว่า AI มาในแทบจะทุกอุปกรณ์ ทำให้หลายคนน่าจะสงสัยว่าหูฟังต้องมี AI ด้วยเหรอ หรือถ้ามีแล้วมันอยู่ตรงไหน ช่วยอะไรเราบ้าง หลังจากที่ทีมงานทดลองใช้แล้วพบว่า AI แฝงตัวอยู่ในกลาย ๆ ส่วน เพียงแต่ไม่ใช่รูปแบบที่เราคุ้นเคยอย่างแชทบอทก็เท่านั้น
ตัวหูฟังมีชิปประมวลผล หรือ DSP (Digital Signal Processor) ที่ค่อนข้างฉลาด เหนือชั้นกว่าหูฟังธรรมดาทั่วไป ทำให้สามารถทำงานได้หลากหลาย เช่น การมี Onboard Memory หรือการตั้งค่าบนอุปกรณ์ใดหนึ่งอุปกรณ์หนึ่ง แล้วการตั้งค่าจะติดตัวหูฟังไปด้วย พอไปใช้เครื่องใหม่ก็ไม่ต้องตั้งค่าใหม่อีกรอบ
รองรับการเล่นไฟล์ความละเอียดสูง 24bit/96kHz หรือถ้าไฟล์ต้นฉบับมีความละเอียดไม่ถึงตัวหูฟังก็จะ Upsampling ขึ้นไปเป็นความละเอียด 24bit/96kHz ให้ผ่าน Codec พิเศษของทาง Samsung
ช่วยให้มีคุณภาพเสียงที่ดีขึ้นแม้จะฟังผ่านแอปสตรีมมิ่งเพลง หรือ YouTube ก็ตาม แต่ต้องใช้กับ Galaxy S24, S23, Galaxy Z Fold6, Fold5, Galaxy Z Flip6, Flip5 และซีรีส์ Galaxy Tab S9 ที่ใช้ One UI 6.1.1 หรือรุ่นใหม่กว่าขึ้นไปเท่านั้น ทั้งนี้ อาจรองรับอุปกรณ์รุ่นอื่น ๆ ได้อีกในอนาคต
คือเอาจริง ๆ ชิปที่เขาให้มายังมีความสามารถยังเหลือพอที่จะทำอะไรหลายอย่างได้อีกเยอะ เช่น ฟีเจอร์ด้าน AI อย่างการปรับเสียงให้เหมาะสมกับการใช้งาน หรือการตัดเสียงรบกวน
ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถตั้งค่าได้ผ่านแอป Galaxy Wearable สำหรับผู้ใช้มือถือ Samsung จะมีติดเครื่องมาให้แล้ว ส่วนผู้ใช้แบรนด์อื่น และผู้ใช้ Windows สามารถโหลดมาติดตั้งเพิ่มได้ (ยกเว้น iOS ไม่มีแอปตัวนี้)
Adaptive EQ
ตัวหูฟังจะปรับเสียงให้เหมาะกับสภาพรูปทรงใบหูและพฤติกรรมการสวมใส่ของแต่ละคน เพื่อให้ได้เสียงออกมาดีที่สุด
Adaptive ANC
เมื่อเราเปิดโหมดตัดเสียงรบกวนแบบปรับได้ตัวหูฟังจะรับเสียงสภาพแวดล้อมโดยรอบว่ามีเสียงอะไรบ้าง แล้วทำการสลับโหมดการตัดเสียงรบกวนให้อัตโนมัติ เมื่อตัวหูฟังตรวจจับได้ว่ามีเสียงคนพูด เมื่อเราขยับปากพูด หรือเมื่อมีเสียงไซเรนจะทำการเปลี่ยนเป็นโหมดเปิดรับเสียงรอบข้าง
เมื่ออยู่ในที่เงียบ ๆ ไม่มีเสียงคนคุยกันตัวหูฟังก็จะสลับกลับไปโหมดตัดเสียงรบกวน แต่ฟีเจอร์นี้ใช้ได้เฉพาะ Galaxy Buds3 Pro เท่านั้น สำหรับ Galaxy Buds3 จะมีแค่การเปิดกับปิดระบบตัดเสียงรบกวนเท่านั้น
Voice Command
ตัวหูฟังรองรับการสั่งงานด้วยคำสั่งเสียงด้วย แต่คำพูดที่เราสั่งจะต้องตรงกับที่ระบบกำหนดมาเท่านั้นเป็นภาษาอังกฤษ
- เล่นเพลง (Play Music)
- หยุดเพลง (Stop Music)
- เพลงก่อนหน้า (Previous Song)
- เพลงถัดไป (Next Song)
- เพิ่มเสียง (Volume up)
- ลดเสียง (Volume down)
- รับสาย (Answer call)
- วางสาย (Reject call)
มีข้อดีคือตอนที่เราถือของเต็มมือ หรือตอนที่มือไม่ว่างไปกดที่ตัวหูฟัง เราก็สามารถสั่งงานงานตัวหูฟังได้ ซึ่งฟีเจอร์ตรงนี้ไม่ได้ใช้งานร่วมกับ AI หรือ Bixby ของตัวโทรศัพท์
ไม่ได้ช่วยแปลภาษาแบบในมือถือ
แม้ว่าตัวหูฟังจะโฆษณาว่ารองรับฟีเจอร์การฟังคำแปลสำหรับบทสนทนาได้แบบเรียลไทม์ก็ตาม แต่การใช้งานจริงจะทำผ่านตัวโทรศัพท์มือถือของเราเป็นหลัก ตัวหูฟังทำหน้าที่เป็นแค่ Input และ Output ของผลลัพธ์นั้น ไม่ได้ประมวลผลครบจบในตัว ทำให้การที่จะใช้ฟีเจอร์นี้โทรศัพท์ต้องรองรับฟีเจอร์การแปลภาษาด้วย AI ด้วยนะ
ระบบเสียงแบบ 360
Galaxy Buds3 และ Galaxy Buds3 Pro มาพร้อมกับระบบเสียงรอบทิศทาง (Surround Sound) หรือระบบเสียงแบบ 360 องศา ช่วยให้เวทีเสียงกว้างขึ้น มีมิติได้มากกว่าแค่ซ้าย และขวา ช่วยให้การดูหนัง ดูคอนเสิร์ต หรือเล่นเกมมีสนามเสียงที่สมจริงมากกว่าระบบเสียงสเตอริโอ ซ้าย และขวา
รองรับระบบการติดตามศีรษะ Head Tracking เพื่อปรับทิศทางเสียงตามการขยับหัวของเรา เหมือนเวลาที่เราดูหนังในโรงหนัง แล้วได้ยินเสียงรอบทิศทาง เมื่อเราหันไปตามเสียงก็จะได้ยินชัดขึ้น หรือทำให้เสียงตรงหน้าจะเบาลง
จากที่ได้ลองทดสอบนำไปดูคลิปบันทึกการแสดงสดคอนเสิร์ต พบว่าได้อารมณ์เต็มอิ่มกว่าระบบเสียงธรรมดา เหมือนเราดูคอนเสิร์ตอยู่ในไลฟ์เฮาส์จริง ๆ แต่ก็ถ้าเอาไปดูคอนเสิร์ตที่เป็นแบบกลางแจ้งในสนามกีฬาใหญ่ ๆ อาจจะไม่ได้รู้สึกว่าสนามเสียงกว้างมากไปกว่าเดิมเท่าไหร่ ส่วนถ้าเอาไปดูหนังแอคชั่นที่มีเสียงเกิดขึ้นจากหลาย ๆ จุดบอกเลยว่าช่วยเพิ่มอรรถรสได้ดีเลย
ซึ่งระบบเสียง 360 ว่ากันตามตรงก็ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคนว่าชอบเสียงแบบนี้ด้วยหรือไม่ โดยส่วนตัวไม่ชอบเท่าไหร่ เลยไม่ค่อยได้เปิดใช้ เพราะส่วนมากใช้ฟังเพลงเป็นหลักเวลาเปิดแล้วทำให้รู้สึกว่าเสียงผิดเพี้ยนไปจากที่ศิลปินอยากให้เราได้ยิน
ดังนั้นโหมดนี้จึงเหมาะกับคอนเท้นต์ที่เหมาะสมกับตัวหูฟังด้วย เพราะคอนเท้นต์ที่สามารถดึงสักยภาพของหูฟังออกมาได้มากที่สุดนั้นยังมีไม่มากเท่าไหร่
ไฟ Blade Lights
Galaxy Buds3 Pro มาพร้อมกับไฟ LED ด้วยข้างละหนึ่งเส้น ที่นอกจากเอาไว้ใช้แสดงสถานะของหูฟังแล้ว ยังใช้เปิดเพื่อเพิ่มความเท่ของหูฟังด้วย โดยเราสามารถควบคุมการเปิด ปิดผ่านการบีบหูฟังพร้อมกันทั้งสองข้าง และเปลี่ยนเอฟเฟกต์ไฟได้จากภายในแอป Galaxy Wearable
PC Auto Switch
Galaxy Buds3 และ Galaxy Buds3 Pro รองรับการสลับไปอุปกรณ์อื่นโดยอัตโนมัติ เมื่อเชื่อมต่อ Samsung Account บนอุปกรณ์นั้น ๆ เช่น พีซี แท็บเล็ต และมือถือเครื่องอื่น เมื่อเครื่องใดเครื่องหนึ่งทำการเล่นเพลง หรือส่งเสียงออกมา
ผ่อนคลายด้วยเสียงธรรมชาติ
ฟีเจอร์นี้เป็นการทำงานร่วมกับแอป Samsung Health ในการเล่นเสียงอันสงบของธรรมชาติแบบ ASMR ช่วยให้ลดความเครียด เสริมสมาธิ หรือช่วยให้ผ่อนคลาย คล้ายกับการทำสมาธิ
กันน้ำกันฝุ่น IP57
ตัวหูฟังรองรับการกันน้ำกันฝุ่นที่ IP57 สามารถใส่ตากฝน หรือออกกำลังกายแบบเหงื่อฉ่ำ ๆ ได้แบบหายห่วง แม้แต่ตอนเกิดอุบัติเหตุ เช่น ทำน้ำหกใส่ หรือตอนที่เราพลัดตกน้ำ ตัวหูฟังก็ทนได้ไม่เป็นไร แต่ถ้าลืมใส่เข้าเครื่องซักผ้าไปด้วยก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะรอดไหมนะ
เชื่อมต่อสะดวก
เพียงแค่เปิดฝากดปุ่มที่เคสค้างไว้ จากนั้นก็จะมีหน้าต่าง Pop-Up ขึ้นมาให้กดเชื่อมต่อแบบง่าย ๆ เพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น ใช้งานสะดวกสุด ๆ
การตัดเสียงรบกวน Active Noise Cancelling (ANC)
Galaxy Buds3 และ Galaxy Buds3 Pro มาพร้อมกับฟีเจอร์การตัดเสียงรบกวนทั้งสองรุ่นเลย เพียงแต่ Galaxy Buds3 จะเป็นระบบตัดเสียงแบบธรรมดาซึ่งมีแค่เปิดกับปิดเท่านั้น ต่างกับ Galaxy Buds3 Pro ที่มีโหมดให้เลือกถึง 4 แบบ คือ ปิด ANC เปิด ANC Adaptive ANC และเปิดรับเสียงสภาพแวดล้อมภายนอก โดยสามารถปรับได้ผ่านแอป Galaxy Wearable
เริ่มกันที่ตัว Galaxy Buds3 บอกเลยว่าเป็น ANC ที่เปิดแล้วเหมือนไม่ได้เปิด เพราะตัดเสียงรบกวนจากภายนอกลงประมาณ 20-30% คือเสียงภายนอกเบาลงจริง แต่แค่เล็กน้อย เพราะด้วยรูปทรงหูฟังที่เป็นแบบ Ear Buds ทำให้ไม่มีการตัดเสียงรบกวนจากภายนอกเลย ทุกอย่างที่เกิดขึ้นรอบ ๆ ตัวเราคือรับรู้ได้หมด ANC แค่เข้ามาช่วยทำให้เสียงภายนอกเบาลง ทำให้เราไม่ต้องเร่งเสียงหูฟังสู้มากนัก
ข้อดีคือเหมาะสำหรับการใช้ในสภาพแวดล้อมเปิด เช่นคนเดินทางด้วยรถสาธารณะ หรือคนที่ออกกำลังกายกลางแจ้ง ใช้หูฟังแบบนี้จะปลอดภัยกว่า หลบรถทันแน่นอน
ส่วนการตัดเสียงรบกวนของ Galaxy Buds3 Pro ทำออกมาดีใช้ได้เลย เปิดแล้วรู้สึกได้เลยว่าเสียงเงียบลง เอาจริง ๆ ไม่เปิดก็ตัดเสียงรบกวนได้ดีเหมือนหูฟัง In-ear แบบปกติทั่วอยู่แล้ว พอเปิดนี่ถ้าอยู่ในห้องทำงาน ห้องแอร์คือแทบไม่ได้ยินเสียงรอบตัวเลย แต่ถ้าเปิดเพลงด้วยก็เหมือนกับหลุดเข้าไปอยู่อีกโลก ทั้งนี้เราสามารถปรับระดับการตัดเสียงภายนอกได้ในแอป
ทำให้ไม่เหมาะที่จะไปใส่เดินริมถนนเท่าไหร่ เพราะจะไม่ได้ยินเสียงสภาพแวดล้อม แม้จะมีโหมดเปิดรับเสียงรอบข้าง แต่เสียงส่วนมากที่ได้ยินคือระยะ ไม่เกิน 5 เมตรรอบตัว ไกลกว่านั้นไม่ได้ยินแล้ว หรือไม่ก็เสียงรอบ ๆ ตัวจะดังเท่ากันทั้งหมด เสียงที่ได้ยินไม่ค่อยมีการปรุงแต่งทำให้เนื้อเสียงที่ได้ใกล้เคียงกับตอนที่เราไม่ได้ใส่หูฟัง ไม่ได้โดนปรุงจนเป็นดิจิทัลไปหมด
ทำให้เรารับรู้หรือกะระยะไม่ได้ สมมุติว่าถ้ามีรถจะพุ่งมาทางเรา ในระยะ 5 เมตรคือใกล้มาก ไม่พอที่จะให้เราหลบได้ทัน โหมดนี้เหมาะสำหรับการใช้ตอนคุยกับคนอื่นระหว่างใส่หูฟังมากกว่า
ส่วนการใช้งานโหมด Adaptive ANC พบว่าตัวหูฟังฉลาดทำงานไวรู้ว่าเวลาไหนควรสลับไปโหมดเปิดรับเสียงรอบข้าง ซึ่งส่วนหนึ่งก็เพราะมี AI ช่วย แต่ไม่เหมาะสำหรับการใช้ในที่มีเสียงคนคุยกันเยอะ ๆ เช่นในสำนักงานที่มีการคุยกันตลอด เพราะหูฟังจะเข้าใจว่ามีคนต้องการคุยกับเรา ทำให้แทนที่จะเสียงเบาลงเพื่อให้เรามีสมาธิ กลับกลายเป็นดังเท่าเดิมเหมือนไม่ได้ใส่หูฟัง
คุณภาพเสียง
ภาพรวมของหูฟังทั้งสองรุ่นนี้ทำออกมาได้น่าประทับใจ เสียงจะออกไปในโทนอุ่น หนานุ่ม เบสกระหึ่ม เสียงสูงมีรายละเอียดเยอะติด Color เป็นสไตล์เสียงที่คนทั่วไปฟังแล้วรู้สึกเพราะ โดยรายละเอียดจะขอเริ่มเล่าที่ตัว Galaxy Buds3 Pro แล้วกัน เพราะเสียงดีกว่า ให้เสียงที่ครบกว่า Galaxy Buds3 อยู่พอสมควร
ส่วนหนึ่งเพราะ Galaxy Buds3 Pro มีไดร์เวอร์แบบ Dual Driver ช่วยให้สามารถขับเสียงออกมาได้กว้างและลงรายละเอียดในแต่ละย่านได้ดีกว่า Galaxy Buds3 อยู่พอสมควร
Galaxy Buds3 Pro
- เสียงเบส กระหึ่ม ลูกใหญ่ ฟังสนุก ถูกใจคอเบสแต่ภาพรวมยังไม่ล้นจนไปกลบย่านอื่น เบสลงได้ลึกประมาณนึง
- เสียงกลาง จะออกหม่นนิดหน่อย โทนอุ่น มีความหนา ติดหวานเล็กน้อย เสียงร้องหนานุ่ม ทุ้ม ๆ มีลูกคอ
- เสียงสูง มีความ Color สดใส จัดจ้าน เป็นประกาย เสียงกีต้าร์ เสียงเอฟเฟคให้รายละเอียดดีมาก
- เวทีเสียง กว้างประมาณนึง ไม่ได้กว้างมาก แต่ก็ไม่ได้แคบจนฟังแล้วรู้สึกอุดอู้ ถ้าฟังเพลงที่เครื่องดนตรีเยอะ ๆ ตำแหน่งนักร้องจะถอยหลังลงมานิดนึง
คุณภาพเสียงถ้าเทียบกับ AirPods Pro 2
เสียงของ Airpods Pro 2 จะมีความใสกว่า โปร่งกว่าเล็กน้อย มิติเสียงกว้างกว่าเยอะ เสียงเบสไม่กระหึ่มเท่า เบสมาแค่หัวโน้ต รายละเอียดเบสด้อยกว่า เสียงแหลมรายละเอียดดีเหมือนกัน แต่โทนจะออกไปกลาง ๆ มากกว่า ไม่ Color จัดจ้านเท่า และตัว Galaxy Buds3 Pro จะได้ยินเสียงเล็กเสียงน้อยได้ง่ายกว่า
Galaxy Buds3
- เสียงเบส มีให้รู้สึก ไม่เบลอ มวลใหญ่มาแบบนุ่ม ๆ ปริมาณที่ให้มาเยอะกว่าหูฟังรูปทรงเดียวกัน แต่จะไม่ได้กระแทกแบบ Buds3 Pro เพราะด้วยความที่เป็นหูฟังรูปทรง Ear buds ที่มีจุดอ่อนเรื่องเสียงเบสอยู่แล้ว และใช้ไดรเวอร์แบบ Full Range ตัวเดียว เลยตอบสนองย่านเสียงที่เปลี่ยนเร็ว ๆ ไม่ทัน
- เสียงกลาง เป็นย่านเสียงที่เด่นที่สุดของหูฟังตัวนี้ เสียงจะออกหม่นนิดหน่อย มีความหนา ติดหวานเล็กน้อย เสียงร้องหนานุ่ม ทุ้ม ๆ มีลูกคอ คาแรคเตอร์เดียวกับ Buds3 Pro แต่ไม่มีเสียงย่านอื่นมาแย่งซีน เสียงย่านนี้เลยจะเฉิดฉายกว่ารุ่น Pro
- เสียงสูง มีความ Color สดใส จัดจ้าน เสียงกีต้าร์ เสียงเอฟเฟคให้รายละเอียดดีมาก ไม่ทิ้งลาย Buds3 Pro แต่อาจจะไม่ได้เป็นประกายเท่า เพราะรูปทรงของหูฟัง
- เวทีเสียง กว้างประมาณนึง ไม่ได้กว้างมาก แต่ก็ไม่ได้แคบจนฟังแล้วรู้สึกอุดอู้ ถ้าฟังเพลงที่เครื่องดนตรีเยอะ ๆ ตำแหน่งนักร้องจะถอยหลังลงมานิดนึง
คุณภาพเสียงถ้าเทียบกับ AirPods 3
เสียงของ Airpods 3 จะใสกว่า โปร่งอย่างรู้สึกได้ แต่เบสก็น้อยกว่า เสียงสูงก็ไม่จัดจ้านเท่า และรายละเอียดบางอย่างยังสู้ Galaxy Buds3 ไม่ได้ เป็นหูฟังคนละโทนคนละสไตล์เสียง ขึ้นอยู่กับความชอบของเพื่อน ๆ เลยควรไปลองฟังด้วยตัวเองก่อนตัดสินใจว่าจะเลือกรุ่นไหน
ถ้าไม่ชอบเสียงเดิม ๆ มี EQ ให้ปรับ
ในแอป Galaxy Wearable ที่ใช้งานร่วมกันกับ Galaxy Buds3 และ Galaxy Buds3 Pro รองรับการปรับแต่งเสียงหรือการปรับ EQ ได้ด้วย โดยจะมีรูปแบบแนะนำมาให้ หรือถ้าใครไม่ชอบก็สามารถปรับเองได้
ทดสอบความหน่วง
จากที่ทำการทดสอบเล่นเกม หรือดู YouTube พบว่าแทบจะไม่มีอาการดีเลย์เลย ถ้าไม่ตั้งใจจับผิดจริง ๆ แทบจะแยกไม่ออก นี่ขนาดเปิดโหมดเสียงคุณภาพสูงพิเศษ 24bit/96kHz ที่ใช้แบนด์วิธสูงด้วยนะ หรือถ้าใครคิดว่ายังดีเลย์อยู่ก็สามารถเปิดโหมดเกมในการตั้งค่าช่วยได้ เพียงแต่การใช้โหมดนี้คุณภาพเสียงจะดรอปลงเล็กน้อย เพราะเป็นโหมดที่ไม่เน้นคุณภาพ เน้นเร็วที่สุดก่อน
ไมโครโฟน
จากที่ลองทดสอบพบว่าไมโครโฟนของ Galaxy Buds3 และ Galaxy Buds3 Pro ให้โทนเสียงที่ใกล้เคียงกันมาก มีความใกล้เคียงกับไมโครโฟนที่ตัวโทรศัพท์มือถือมาก มีความชัดเจนดีไม่อู้อี้ เนื้อเสียงมีความหนา ติดขึ้นจมูกเล็กน้อย มีไดนามิกที่ดีเลย มีความใกล้เคียงกับการคุยผ่านไมโครโฟนคอนเด็นเซอร์ที่ใช้กับคอมพิวเตอร์
ส่วนการใช้งานริมถนนที่มีเสียงรบกวนเยอะ ๆ พบว่าตัวหูฟังสามารถตัดเสียงรบกวนได้ดีเลย เพียงแต่หางเสียงจะถูกตัดให้ดูสั้นลงอย่างรู้สึกได้ และเสียงก็จะถูกบีบให้แบนลงเล็กน้อย ไม่ได้หนานุ่มแบบตอนที่เสียงรบกวนน้อย แต่ก็ยังจัดว่าคุยรู้เรื่อง ไม่ต้องใช้สมาธิในการฟังมากอยู่
แบตเตอรี่และการใช้งาน
Galaxy Buds3
ตามข้อมูลจาก Samsung ระบุว่า Galaxy Buds3 ใช้งานต่อเนื่องได้นานสุด 6 ชั่วโมง 30 นาที กรณีปิดฟีเจอร์ ANC และใช้งานต่อเนื่องได้นานสุด 5 ชั่วโมง 24 นาที หากเปิดฟีเจอร์ ANC แต่หากมีการสนทนาร่วมด้วย (เช่น คุยโทรศัพท์หรือวิดีโอคอล) จะกินแบตเตอรี่เพิ่มขึ้นอีก
จากที่นำไปทดสอบมาเป็นเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที ใส่ระหว่างเดินทางกลับบ้าน เปิดโหมดเสียงคุณภาพสูงพิเศษ เมื่อถึงบ้านพบว่าแบตหูฟังเหลือ 80% เปิด ANC บ้าง เปิดบ้าง ตามลักษณะการเดินทาง เช่นขึ้นรถก็เปิด ANC เดินริมถนนปิด ANC เพื่อความปลอดภัย
เมื่อเทียบบัญญัติไตรยางศ์แล้วจะพบว่า Galaxy Buds3 สามารถใช้งานได้ใกล้เคียงกับที่เคลมไว้เลย ซึ่งก็จัดว่าอึดใช้ได้เพียงพอสำหรับการใส่ระหว่างเดินทางในชีวิตประจำวันแน่นอน แต่สำหรับใครที่เป็นสายท่องเที่ยวเดินตะลุยไปทั่วเมืองทั้งวัน แล้วใส่หูฟังตลอดอาจจะต้องมีพักชาร์จบ้างสักรอบ ซึ่งถ้าดูจากสเปคแล้วจะสามารถใชาร์จกับเคสซ้ำได้ราว ๆ 5 รอบ ในกรณีที่ใช้แบตตัวหูฟังหมดเลยนะ
Galaxy Buds3 Pro
ตามข้อมูลจาก Samsung ระบุว่า Galaxy Buds3 Pro ใช้งานต่อเนื่องได้นานสุด 7 ชั่วโมง 30 นาที กรณีปิดฟีเจอร์ ANC และใช้งานต่อเนื่องได้นานสุด 6 ชั่วโมง 26 นาที หากเปิดฟีเจอร์ ANC แต่หากมีการสนทนาร่วมด้วย (เช่น คุยโทรศัพท์หรือวิดีโอคอล) จะกินแบตเตอรี่เพิ่มขึ้นอีก
จากที่นำไปทดสอบมาเป็นเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที ใส่ระหว่างเดินทางกลับบ้าน เปิดโหมดเสียงคุณภาพสูงพิเศษ เมื่อถึงบ้านพบว่าแบตหูฟังเหลือ 70% เปิด ANC บ้าง เปิดบ้าง ตามลักษณะการเดินทาง เช่นขึ้นรถก็เปิด ANC เดินริมถนนปิด ANC เพื่อความปลอดภัย
เมื่อเทียบแล้วจะพบว่า Galaxy Buds3 Pro จะพบแบตหมดเร็วกว่าที่เคลมไว้เล็กน้อย โดยเมื่อเทียบกับ Galaxy Buds3 กลับกลายเป็นว่าแบตหมดเร็วกว่าทั้ง ๆ ที่ตัวเลขเคลมไว้เยอะกว่า ซึ่งก็อาจเป็นเพราะตอนผมนำไปทดสอบอาจจะเปิดโหมด ANC ของ Galaxy Buds3 Pro นานกว่าก็เป็นไปได้ ของดีเปิดแล้วเงียบจริง
หรืออาจเป็นเพราะ Galaxy Buds3 Pro ใช้ไดร์เวอร์ 2 ตัว ทำให้กินกำลังไฟมากกว่าก็เป็นไปได้ แต่ถามว่าแบตอึดไหมก็เพียงพอสำหรับการใส่ระหว่างเดินทางในชีวิตประจำวันแน่นอน ซึ่งถ้าเทียบกับหูฟังรุ่นท็อปที่มี ANC ระดับเดียวกัน จะพบว่าแบตไม่ได้อึดกว่ากันเท่าไหร่ จะอยู่กลาง ๆ ตาราง
หูฟังทั้งสองรุ่นรองรับการชาร์จแบบไร้สายผ่านเคสด้วยนะ แต่ในหน้าเว็บไม่ได้ระบุว่าหูฟังทั้งสองรุ่นนี้รองรับการชาร์จเร็วหรือไม่ ทำให้เวลาชาร์จไม่กล้าชาร์จด้วยหัวชาร์จ USB-C ที่จ่ายไฟแรง ๆ เท่าไหร่
สรุป
Galaxy Buds3 และ Galaxy Buds3 Pro ถือเป็นอีกหูฟัง True Wireless อีก 1 รุ่น ที่ให้ฟีเจอร์มาครบเครื่องมาก ๆ ทั้งในเรื่องการตัดเสียงรบกวน และไมโครโฟนสนทนาที่ทำได้ค่อนข้างดี
ส่วนหนึ่งเพราะตัวหูฟังได้ชิป DSP ที่ค่อนข้างฉลาด ทำงานได้หลากหลาย ผนวกคู่กับ AI ที่ใส่มาให้ในหูฟังเลย ทำให้หูฟังสามารถปรับการทำงานให้เข้ากับสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ได้โดยอัตโนมัติ แถมปรับได้เร็ว เข้าใจบริบทรอบข้างได้ดี
และช่วยทำให้เสียงดีขึ้นด้วย เพราะรองรับการเล่นไฟล์เพลงความละเอียดสูงถึง 24bit/96kHz ซึ่งถือว่าสูงมากเกินระดับ Hi-Res ไปแล้ว แต่มีข้อแม้คือต้องใช้กับโทรศัพท์ของทาง Samsung เท่านั้น เพราะใช้ Codec แบบพิเศษ ไม่ได้ใช้ Codec ที่ค่อนข้างเป็นสากลอย่าง LDAC
เรื่องเสียงบอกเลยว่าหายห่วง ทำออกมาได้ดีเลย เบสฟังสนุก ลงได้ลึก เสียแหลมให้รายละเอียดดีมาก เสียงกลางอาจจะติดอุ่นไปสักหน่อย ขึ้นอยู่กับว่าชอบหรือไม่ชอบ ถ้าใครไม่ได้ชอบสไลต์เสียงที่เน้นความใส และโปร่งแบบ AirPods ก็น่าจะรู้สึกชอบแนวเสียงของหูฟังตัวนี้ได้ไม่ยากเลย
เป็นอีกหูฟัง True Wireless ที่เกิดมาเพื่อใช้กับมือถือ Samsung มาก ๆ เพราะฟีเจอร์ส่วนใหญ่ที่ให้มาถูกออกแบบมาให้ใช้ร่วมกันดีที่สุด ซึ่งก็ทำออกมาได้ดีตามที่คาดหวังไว้ แต่สำหรับผู้ใช้สมาร์ทโฟนแบรนด์อื่นอาจจะใช้ฟีเจอร์ทั้งหมดได้ไม่เต็มที่นัก อย่างการเล่นไฟล์ความละเอียดสูง 24bit/96kHz และการแปลภาษาก็ใช้ได้แค่มือถือรุ่นใหม่ ๆ รุ่นท็อป ๆ ของทาง Samsung เท่านั้นในตอนนี้
ยิ่งถ้าใช้ iOS บอกเลยว่าฟีเจอร์หายไปกว่าครึ่ง กลายเป็นแค่หูฟังตัดเสียงรบกวนธรรมดา ๆ ที่เสียงดีรุ่นหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นก่อนที่จะตัดสินใจเลือกหูฟังรุ่นนี้ควรดูก่อนว่าเราได้มีการใช้สมาร์ทโฟนของ Samsung หรือไม่ในการตัดสินใจด้วยนะ
ข้อดี
- เสียงดี ฟังเพลงเพราะ เบสกระหึ่ม แหลมจัดจ้าน
- ANC ตัดเสียงรบกวนดี (Galaxy Buds3 Pro)
- น้ำหนักเบา ใส่สบาย (Galaxy Buds3)
- ไมโครโฟนเสียงดี และตัดเสียงรบกวนดีมาก
- เชื่อมต่อแอป ควบคุมได้สะดวก
- Codec เทพ รองรับระบบเสียง 24bit/96kHz
- รองรับระบบเสียง 360 องศา
- ตัวก้านหูฟังมีคำสั่งครบ เล่นหยุดเพลง เพิ่มลดเสียง เปิดปิด ANC
- มีไฟ โคตรเท่ (Galaxy Buds3 Pro)
ข้อสังเกต
- วัสดุจับแล้วรู้สึกไม่พรีเมี่ยม
- ฝาใสอาจเกิดรอยง่ายในระยะยาว
- ก้านหูฟังกดยาก ต้องคลำหาเหลี่ยมที่กดถนัดในช่วงแรก
- เสียงของ Galaxy Buds3 Pro ดีกว่า Galaxy Buds3 อย่างรู้สึกได้
- ต้องใช้กับสมาร์ทโฟน Samsung รุ่นท็อปเท่านั้น ถึงจะใช้ฟีเจอร์ได้ครบ
- ถ้าเลือกสีขาว ดีไซน์จะคล้ายกับ AirPods มาก ๆ
แล้วเลือก Galaxy Buds3 หรือ Galaxy Buds3 Pro รุ่นไหนดี
จากที่ใช้งานหูฟังวทั้งสองรุ่นมาระยะหนึ่งพบว่ามีข้อดีข้อเสียต่างกันขึ้นอยู่กับความชอบ แต่ถ้าให้สรุปว่ามีประเด็นไหนที่ใช้ในการตัดสินใจบ้างจะคัดออกมาได้ประมาณนี้
เรื่องเสียง
ถ้าเน้นเสียงดีเป็นหลักยังไงก็ต้อง Galaxy Buds3 Pro เพราะมีไดร์เวอร์ถึงข้างละ 2 ตัว ช่วยการขับเสียงย่านต่าง ๆ ทำได้ดีกว่า Galaxy Buds3 อย่างรู้สึกได้ และด้วยความที่เป็นหูฟังแบบ In-Ear ช่วยตัดเสียงรอบข้างออกเยอะมาก ช่วยให้เราโฟกัสกับเสียงเพลงได้มากกว่า
เรื่องการสวมใส่
สำหรับเรื่องนี้ยังไง Galaxy Buds3 ก็ทำดีกว่า เพราะด้วยความที่เป็นหูฟังแบบ Earbuds ที่ไม่มีจุกยางสอดเข้าไปอุดอู้ในรูหู ทำให้เราได้ยินเสียงรอบข้างอยู่ แต่ก็ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคนด้วย บางคนก็อาจจะไม่ชอบหูฟังแบบ Earbuds เพราะใส่ไปแล้วเจ็บ ตัวหูฟังไม่มีส่วนที่อ่อนนุ่มเลย
เรื่องฟีเจอร์
เรื่องนี้เอาจริง ๆ แค่ชื่อรุ่น Galaxy Buds3 Pro ก็กินขาดแล้ว เพราะยังไงรุ่นโปรก็ให้ฟีเจอร์มาเยอะกว่า Galaxy Buds3 ในเรื่องของการตัดเสียงรบกวน แต่ฟีเจอร์ส่วนอื่น ๆ นั้นให้มาไม่ต่างกันมาก ขึ้นอยู่กับว่าเพื่อน ๆ ได้ใช้หรือไม่มากกว่า
สุดท้ายนี้เวลาที่เราจะเลือกหูฟังสักตัวเรื่องของราคาก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าเป็นไปได้ก็ควรหาโอกาสไปทดลองที่หน้าร้านจะดีที่สุด เพื่อให้รู้ว่าใส่หูฟังรุ่นไหนแล้วชอบมากกว่ากัน หรือถูกใจแนวเสียงของหูฟังรุ่นไหนมากกว่ากัน เพราะสุดท้ายถ้าเสียงดีแต่ใส่ไม่สบายสุดท้ายเราก็จะไม่หยิบมันมาใช้บ่อย ๆ อยู่ดี หรือถ้าใส่สบายแต่เสียงไม่ดีก็จะกลายเป็นว่าไม่ใช่ตัวจบของเราอยู่ดี
สเปค
Samsung Galaxy Buds3
- ไดร์เวอร์ 1 ตัว ขนาด 11 มิลลิเมตร
- ไมโครโฟน : 6 ตัว
- รองรับ Codec : AAC, SBC, SSC (Samsung Seamless Codec) HiFi , SSC UHQ (Samsung Proprietary) 24bit Hi-Fi 360 Audio with Direct Multi-Channel
- Bluetooth Profiles : A2DP, AVRCP, HFP, PBP, TMAP
- ระบบตัดเสียงรบกวน : Active Noise Cancellation (ANC) + Ambient Sound
- รองรับระบบเสียง 360 องศา
- เซ็นเซอร์ : Accelerometer, Gyro Sensor, Hall Sensor, Pressure Sensor, Proximity Sensor, Touch Sensor, VPU(Voice Pickup Unit)
- มาตรฐานทนน้ำ : IP57
- แบตเตอรี่ความจุ : 48 mAh (ตัวหูฟัง) และ 515 mAh (ตัวกล่องชาร์จ)
- แบตเตอรี่ใช้งานได้สูงสุด : 6 ชั่วโมง 30 นาที (ปิด ANC) และ 5 ชั่วโมง 24 นาที (เปิด ANC)
- Bluetooth 5.4 เชื่อมต่อได้พร้อมกัน 2 อุปกรณ์
- น้ำหนักหูฟังข้างละ 4.7 กรัม กล่องชาร์จ 46.5 กรัม
- ขนาด : 18.1 x 20.4 x 31.9 มิลลิเมตร (ตัวหูฟัง) และ 48.7 x 58.9 x 24.4 มิลลิเมตร (ตัวกล่องชาร์จ)
- ราคา : 5490 บาท
Samsung Galaxy Buds3 Pro
- ไดร์เวอร์ 2 ตัว ขนาด 10.5 มิลลิเมตร + 6.1 มิลลิเมตร
- ไมโครโฟน : 6 ตัว
- รองรับ Codec : AAC, SBC, SSC(Samsung Seamless Codec) HiFi, SSC UHQ (Samsung Proprietary) 24bit Hi-Fi 360 Audio with Direct Multi-Channel
- Bluetooth Profiles : A2DP, AVRCP, HFP, PBP, TMAP
- ระบบตัดเสียงรบกวน : Active Noise Cancellation (ANC)
- รองรับระบบเสียง 360 องศา
- เซ็นเซอร์ : Accelerometer, Gyro Sensor, Hall Sensor, Pressure Sensor, Proximity Sensor, Touch Sensor, VPU(Voice Pickup Unit)
- มาตรฐานทนน้ำ : IP57
- แบตเตอรี่ความจุ : 53 mAh (ตัวหูฟัง) และ 515 mAh (ตัวกล่องชาร์จ)
- แบตเตอรี่ใช้งานได้สูงสุด : 7 ชั่วโมง 30 นาที (ปิด ANC) และ 6 ชั่วโมง 26 นาที (เปิด ANC)
- Bluetooth 5.4 เชื่อมต่อได้พร้อมกัน 2 อุปกรณ์
- น้ำหนักหูฟังข้างละ 5.4 กรัม กล่องชาร์จ 46.5 กรัม
- ขนาด : 18.1 x 19.8 x 33.2 มิลลิเมตร (ตัวหูฟัง) และ 48.7 x 58.9 x 24.4 มิลลิเมตร (ตัวกล่องชาร์จ)
- ราคา : 7490 บาท
Comment