รีวิวมือถือมากันก็เยอะแล้ว ตอนนี้ถึงคิวของพวกอุปกรณ์ IoT อย่าง Fitness Band ของ Samsung ที่มีชื่อว่า Galaxy Fit 2 กันบ้าง โดยครั้งนี้ถือเป็นรุ่นที่สองแล้ว มีการอัปเกรดฟีเจอร์ขึ้นให้มีความเทพกว่าเดิม ว่าแต่เอาไปใช้งานจริงๆ จะเป็นยังไงบ้าง ใส่ออกกำลังกายได้ไหม แจ้งเตือนขึ้นหรือเปล่า คุ้มค่ากับเงิน 1,590 บาทที่เสียไปมั้ย เดี๋ยวผมมาลองให้ดูครับ
สเปค Galaxy Fit 2
- วัสดุ: ตัวเรือนพลาสติก สายซิลิโคน
- ขนาดและน้ำหนัก: 46.59 x 18.6 x 11.13 มม. น้ำหนัก 24 กรัม
- หน้าจอ: ขนาด AMOLED 3D Curved Glass ขนาด 1.1 นิ้ว ดันความสว่างได้สูงสุด 450 nits
- แบตเตอรี่: 159 mAh
- RAM 2GB
- ROM 32MB
- Bluetooth 5.0
- เซ็นเซอร์: Photo Plethysmography, Accelerometer, Gyro sensor
- ความทนทาน: IP68, 5 ATM และ MIL-STD 810G
- อุปกรณ์ที่รองรับ: Android 5.0 ขึ้นไป และ RAM อย่างน้อย 1.5GB / iOS 9.0 ขึ้นไป
ดีไซน์การออกแบบ
ครั้งแรกที่ได้ลองถือเจ้า Galaxy Fit 2 ต้องบอกว่ามันมีขนาดที่เล็กและน้ำหนักเบามากๆ เวลาใส่บนข้อมือแล้วแทบจะไม่รู้สึกเลยว่าตัวเองกำลังใส่อะไรอยู่ พูดง่ายๆ คือมันใส่สบายมาก สามารถใส่ทำกิจกรรมต่างๆ ได้ตลอดวัน รวมไปถึงใส่นอนยังได้เลย เพราะมันไม่รู้สึกรำคาญจริงๆ
โดย Galaxy Fit 2 นั้น ตัวเรือนทำมาจากพลาสติก ขณะที่สายจะเป็นแบบซิลิโคน บริเวณสายรัดจะออกแบบมาให้มีความเว้า เพื่อให้ระบายเหงื่อ และสวมใส่สบาย น้ำหนักของตัวเรือนจะอยู่เพียงแค่ 24 กรัมเท่านั้น ซึ่งมันเบาแบบเบาจริงๆ
หน้าจอแสดงผล
หน้าจอเป็นแบบ OLED ขนาด 1.1 นิ้ว ตัวจอจะเป็นแบบโค้งๆ 3 มิติ มีขนาดของจอแสดงผลที่ไม่เล็กและไม่ใหญ่เกินไป สามารถใช้ดูเวลา หรือข้อมูลต่างๆ ได้แบบไม่ต้องเพ่ง หรือยกขึ้นมาดูใกล้ๆ
ตามหน้าสเปคแล้ว เจ้า Galaxy Fit 2 สามารถดันความสว่างได้สูงสุดถึง 450 nits ซึ่งพอเอาไปใช้งานจริงๆ พบว่าการใช้งานกลางแจ้งก็ชัดเจนมองเห็นได้สบายๆ อันนี้ตั้งค่าแบบปรับแสงจออัตโนมัตินะ
รวมไปถึงสามารถปรับความสว่างหน้าจอได้มากถึง 10 ระดับ สำหรับใครที่ใส่นอน ตรงนี้สามารถปรับให้หน้าจอมีความสว่างได้ต่ำสุดที่ระดับ 1 หรือจะเลือกใช้เป็นโหมด Do Not Disturb เพื่อปิดการแจ้งเตือนทุกอย่าง และยังมีโหมด Good Night สำหรับไม่ให้ตัวสายรัดแจ้งเตือน หรือเด้งจอให้รำคาญตาก็ได้
แน่นอนว่าการรับแจ้งเตือนต่างๆ จากมือถือ เจ้า Galaxy Fit 2 ก็ทำได้เช่นเดียวกัน โดยมันสามารถแสดงผลเป็นภาษาอังกฤษและไทยได้ รวมไปถึงสามารถกด Quick Reply ตอบข้อความกลับเป็นสติกเกอร์ หรือข้อความสำเร็จรูปสั้นๆ ได้อีกด้วย
การเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน
ในกรณีที่ไม่ได้ใช้สมาร์ทโฟน Samsung ผู้ใช้งาน Galaxy Fit 2 จำเป็นที่จะต้องไปหาแอป Galaxy Wearable มาติดตั้งซะก่อนนะครับ ซึ่งหลังจากดาวน์โหลดมาแล้ว ก็ทำการเชื่อมต่อมันเข้ากับมือถือของตัวเองซะ ส่วนตัวผมใช้ Galaxy Fit 2 กับ OnePlus 8 Pro ก็พบว่าใช้งานได้ราบลื่นดี ไม่ได้เจอกับปัญหาใดๆ
ฟีเจอร์ออกกำลังกาย
Galaxy Fit 2 มาพร้อมกับโหมดการออกกำลังกายที่มากถึง 90 รูปแบบ และระบบตรวจจับอัตโตมัติ 5 แบบ กล่าวง่ายๆ ก็คือ เราไม่ต้องไม่เซ็ตโปรแกรมอะไรกับ Galaxy Fit 2 เลย ถ้าหากกิจกรรมที่เรากำลังจะทำนั้น มันรองรับการตรวจจับอัตโนมัติของเจ้าสายรัดข้อมืออัจฉริยะรุ่นนี้ มันก็จะ Track ข้อมูลต่างๆ ให้แบบทันทีเลย เบิร์นไปกี่แคล เดิน/วิ่งไปกี่ก้าว ใช้เวลาทั้งหมดกี่นาที ฯลฯ
ซึ่งสถิติต่างๆ จะไปอยู่ที่หัวข้อ Samsung Health (ในแอป Galaxy Wearable บนมือถือ) ว่าวันนี้เราเดินไปทั้งหมดกี่ก้าว กี่กิโลเมตร และเผาแคลไปเท่าไหร่ อันนี้ดีมาก เพราะเราสามารถดูย้อนหลังได้เป็นเดือนๆ เลยล่ะ ใครที่ชอบอะไรเกี่ยวกับตัวเลข อันนี้แฮปปี้แน่นอน
อีกทั้งยังมีฟีเจอร์ Hand Wash ด้วย เซ็ตได้ว่าจะให้แจ้งเตือนทุกๆ กี่นาที สำหรับสถานการณ์บ้านเมืองตอนนี้ ที่ต้องรักษาความสะอาดนิดนึง
มาตรฐานกันน้ำลึก 50 เมตร
Galaxy Fit 2 มากับมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่นแบบ IP68 และยังกันน้ำแบบ 5ATM หรือลึก 50 เมตร ทำให้ใส่ว่ายน้ำได้ และยังผ่านมาตรฐานความทนทาน MIL-STD 810G อีกด้วย บอกได้เลยว่า Galaxy Fit 2 แทบจะเอาไปใช้งานได้ทุกสถานการณ์จริงๆ ส่วนตัวเป็นคนที่ทำกิจกรรมค่อนข้างเยอะ บางทีใส่ว่ายน้ำ อาบน้ำ รวมไปถึงเตะบอล (แน่นอนว่าต้องมีการปะทะ มีล้มบ้างอะไรบ้าง) ก็พบว่า Galaxy Fit 2 ยังไม่งอแง ใช้งานได้ปกติ ตอนนี้ใช้มาเป็นเดือนแล้ว ทุกอย่างยังทำงานเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงตั้งแต่วันแรก
ดังนั้นใครที่กังวลว่าเจ้า Galaxy Fit 2 จะทนมือทนเท้ามั้ย หายห่วงครับ สามผ่านเลยล่ะ
เซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ
แม้ว่าค่าตัวของ Galaxy Fit 2 จะอยู่ที่ 1,590 บาท แต่ Heart Rate Sensor ที่ใส่มา อันนี้บอกเลยว่าประทับใจมากๆ เพราะมันสามารถวัดอัตราการเต้นของหัวใจได้แบบตลอดเวลาทั้งวัน 24 ชั่วโมงเลย
นอกจากนี้ เรายังสามารถตั้งค่าให้มันแจ้งเตือนเราได้อีกว่าหากหัวใจเราเต้นเร็วผิดปกติเกินไปเป็นระยะเวลากี่นาทีๆ ติดต่อกัน
ฟีเจอร์ตรวจจับคุณภาพการนอน
อีกหนึ่งไฮไลท์หลักๆ ของ Galaxy Fit 2 ก็คือฟีเจอร์ Sleep Tracking นั่นเอง อันนี้ไม่ต้องทำอะไรเลย เพียงแค่ใส่นอนเอาไว้เฉยๆ ตัวนาฬิกาจะจับเองอัตโนมัติทันทีที่เราเข้าสู่ช่วงเวลาการนอน ซึ่งเราสามารถดูข้อมูลเหล่านี้ได้ที่ Samsung Health นั่นเอง บอกหมดเลยว่านอนไปกี่ชั่วโมง คุณภาพในการนอนเป็นยังไงบ้าง
ฟีเจอร์วัดความเครียด
Galaxy Fit 2 ยังมากับฟีเจอร์วัดความเครียด ซึ่งถ้าความเครียดของเราเกินระดับปกติเมื่อไหร่ ตัวนาฬิกาก็จะแนะนำให้เราหายใจเข้าหายใจออกเป็นจังหวะ เพื่อทำการสงบสติอารมณ์ ส่วนตัวลองใช้ดู พบว่ามันค่อนข้างจะตรงอยู่พอตัวเลยนะ เวลาทำงานเครียดๆ คิดอะไรไม่ออก ค่าความเครียดนี่ขึ้นสูงเลยล่ะ ฮ่าๆ
การเปลี่ยนหน้าปัด (Watch Faces)
ต้องบอกว่าเจ้า Galaxy Fit 2 นั้น สามารถเปลี่ยนหน้าตาหน้าปัดได้แบบจุใจ เรียกว่าแทบจะเปลี่ยนได้วันละแบบเลยจริงๆ ตามลักษณะการใช้งานว่าใครถนัดแบบไหน ฟังก์ชั่นการใช้งานของตัวเองเป็นยังไง
แบตเตอรี่
Galaxy Fit 2 มากับแบตเตอรี่ขนาด 159 มิลลิแอมป์ ซึ่งตรงนี้ Samsung เคลมว่าสามารถใช้งานได้ทั้งหมด 21 วันต่อการชาร์จเต็ม 100% โดยจากที่ลองใช้มา อันนี้ต้องบอกว่าแบตอึดจริง บางทีมีชาร์จแล้วลืมอะ ใช้มาเป็นเดือนแล้ว เพิ่งจะชาร์จไปแค่ 1 – 2 ครั้งเอง
หาตำแหน่งด้วย Find My Band
อ้อ ช่วงรีวิวอันนี้เจอกับปัญหาจังๆ ก็คือ ส่วนตัวเป็นคนขี้ลืม มักจะจำไม่ได้ว่าเอาเจ้า Galaxy Fit 2 ไปวางที่ไหนไม่รู้ แต่โชคดีที่จำได้ว่าแอป Galaxy Wearable นั้นมีฟีเจอร์ Find My Band ด้วย บวกกับความอึดแบตเตอรี่ของ Galaxy Fit 2 ทำให้พอกดหาปุ๊บ ก็หาเจอเลย สรุปแล้วอยู่ใต้เตียง ฮ่าๆ
บอกได้เลยว่าส่วนนี้เป็นจุดเด่นมากๆ เพราะต่อให้มี Find My Band แต่ถ้าแบตไม่อึด แบตหมดก่อน ฟีเจอร์นี้ก็จะแทบไม่มีประโยชน์ไปเลยทันที
สรุป
อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ผมขอสรุปสั้นๆ เลยแล้วกันว่า Galaxy Fit 2 นั้น แทบจะครอบคลุมการใช้งานในชีวิตประจำวันของ Average User ทั่วไป ส่วนตัวใช้ Galaxy Watch Active 2 เป็นเครื่องหลัก พอย้ายมาใช้ Galaxy Fit 2 ก็ไม่เจอปัญหาความลำบาก จออาจจะเล็กไปนิด แต่ในราคา 1,590 บาท บวกกับความเป็นอินเตอร์แบรนด์และบริการหลังการขายของ Samsung ผมว่าคุ้ม
ถ้าเรานอนหลายๆ ช่วงต่อวัน มันวัดทั้งหมดให้ไหมครับ
เคยใช้รุ่นแรกไม่ประทับใจเรื่อง touch ของมันเลย ไม่ตอบสนองเลย
วัดครับ
เห็น feature แล้วถือเป็นตัวที่น่าสนตัวนึงเลยนะนั้น