มาถึงคิวของสมาร์ทโฟนเรือธงที่ใครหลายๆ คนเฝ้ารอรีวิวอยู่นานแสนนานอย่าง Galaxy Note 10 ที่รอบนี้เปิดตัวมาถึงสองรุ่นด้วยกันไม่ว่าจะเป็นรุ่นใหญ่ Note 10+ และรุ่นธรรมดา Note 10 โดยครั้งนี้อัดสเปคมาแบบจัดเต็ม และความสามารถของ S-Pen ที่สามารถเปลี่ยนจากปากกาเขียนจอปกติ ให้กลายเป็นไม้กายสิทธิ์แบบในหนัง Harry Potter เลย ซึ่งตัวผมเองก็ใช้มาสักพักใหญ่ๆ ร่วมเดือนแล้ว จะมารีวิวการใช้งานให้ทราบกันครับ
สเปค GALAXY NOTE 10+ และ GALAXY NOTE 10
Galaxy Note 10+ | Galaxy Note 10 | |
หน้าจอ | Dynamic AMOLED ขนาด 6.8 นิ้ว ความละเอียด WQHD+ รองรับการแสดงผล HDR10+ | Dynamic AMOLED ขนาด 6.3 นิ้ว ความละเอียด FHD+ รองรับการแสดงผล HDR10+ |
CPU | Exynos 9825 | Exynos 9825 |
GPU | Mali-G76 | Mali-G76 |
RAM | 12GB | 8GB |
ความจุ | 256GB UFS 3.0 รองรับ MicroSD | 256GB UFS 3.0 |
กล้องหลัง | เลนส์ tele 2X 12 MP (f/2.4), OISเลนส์ Wide 12MP (f/1.5, f/2.4), OIS เลนส์ Ultra Wide 16MP (f/2.2) Depth Vision | เลนส์ tele 2X 12 MP (f/2.4), OISเลนส์ Wide 12MP (f/1.5, f/2.4), OIS เลนส์ Ultra Wide 16MP (f/2.2 |
กล้องหน้า | 10MP (f/2.2) + Night Vision | 10MP (f/2.2) + Night Vision |
ระบบเสียง | ลำโพงสเตอรีโอ, Dolby Atmos, ไม่มีรูหูฟัง | ลำโพงสเตอรีโอ, Dolby Atmos, ไม่มีรูหูฟัง |
เซนเซอร์ | fingerprint (บนหน้าจอ), accelerometer, barometer, compass, brightness sensor, proximity detection, gyroscope | fingerprint (บนหน้าจอ), accelerometer, barometer, compass, brightness sensor, proximity detection, gyroscope |
การเชื่อมต่อ | Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac/ax, dual-band, Wi-Fi Direct, hotspot, Bluetooth 5.0 | Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac/ax, dual-band, Wi-Fi Direct, hotspot, Bluetooth 5.0 |
แบตเตอรี่ | 4,300 mAh รองรับชาร์จไว 45W | 3,500 mAh รองรับชาร์จไว 25W |
ระบบปฏิบัติการ | Android 9 Pie ครอบทับด้วย OneUI | Android 9 Pie ครอบทับด้วย OneUI |
มาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น | IP68 | IP68 |
ดีไซน์ตัวเครื่อง
สัมผัสแรกที่ได้จับถือเจ้า Galaxy Note 10 คือ ขนาดเครื่องพอดีมือมากๆ ถือว่าแปลกใหม่พอสมควร เพราะปกติแล้วสมาร์ทโฟนซีรีส์ Galaxy Note มักจะมีขนาดที่ใหญ่พอๆ กับแท็บเล็ต แต่ตัวนี้เทียบๆ ดูแล้ว ขนาดพอๆ กับ Galaxy S10 เลย มาพร้อมกับหน้าจอ Dynamic AMOLED ขนาด 6.3 นิ้ว ความละเอียด Full HD+ จอโค้ง หน้าจอ Infinity-O ไว้สำหรับใส่กล้องเซลฟี่ ส่วน Galaxy Note 10+ ใช้หน้าจอแบบเดียวกัน จะต่างกันก็ตรงความละเอียดหน้าจอและขนาดที่ให้มาเป็น QHD+ และ 6.8 นิ้วตามลำดับ
ขนาดของ Note 10 จะค่อนข้างพอดีจับถือง่ายกว่า Note 10+ สำหรับคนที่มือไม่ได้ใหญ่มาก
ด้านบนเป็นที่อยู่ของไมค์ตัดเสียงสนทนา, ช่องเสียบซิมที่ครั้งนี้ไม่สามารถใส่เมมเพิ่มได้ (แต่ในตัว Note 10+ เพิ่มได้) ส่วนรูเล็กๆ ข้างช่องเสียบซิมคือรูสำหรับช่วยกระจายเสียงจากลำโพงสนทนานะ เพราะลำโพงสนทนาที่ขนาดเล็กมากๆจนต้องเพิ่มรูนี้เข้าไปให้เสียงออกได้มากขึ้
รูเล็กๆ ด้านบนเครื่อง Galaxy Note 10 และ Note 10+ ไม่ใช่ลำโพง.. แล้วมันคืออะไร?
มาดูกันที่ด้านล่างของเครื่องกันบ้าง จะมีไมค์สำหรับสนทนา, ช่องเสียบ USB Type-C, ลำโพง และช่องใส่ปากกา S-Pen ว่าแต่สังเกตหรือเปล่าว่ามีอะไรหายไป.. คำตอบก็คือรูเสียบหูฟังมาตรฐาน 3.5 มม. นั่นเอง Samsung ตัดสินใจถอดรูหูฟังออกโดยให้เหตุผลว่าต้องการทำให้ Galaxy Note 10 ทั้งสองรุ่นมีขนาดบางลงนั่นเอง ถือเป็นเรือธงรุ่นแรกของพวกเขาเลยล่ะที่ไม่ได้มาพร้อมกับฟีเจอร์นี้ แต่ก็ไม่เป็นไรนะ เพราะในกล่องก็มีหูฟัง Type-C แถมมาเหมือนกัน
ไร้รูเสียบหูฟัง 3.5 มม. แต่มีแถมหูฟังหัว Type C มาให้ในกล่องเลยนะ
รอบนี้ Samsung ย้ายเอาปุ่มต่างๆ มาไว้ที่บริเวณด้านซ้ายทั้งหมด ประกอบไปด้วยปุ่มเพิ่มลดเสียงและปุ่ม Bixby ที่ตอนแรกหลายคนเข้าใจว่าเป็นปุ่ม Power แต่พอมาใช้งานจริงๆ แล้ว พยายามกดค้างจะปิดเครื่อง แต่เจ้า Bixby กลับเด้งขึ้นมาซะงั้น ทว่าอันนี้อย่าเพิ่งหงุดหงิดกันไปนะ สามารถไปปรับได้ตรง Advanced Features > Side Key > แล้วไปเปลี่ยนจาก Wake Bixby เป็น Power off menu แทน
ส่วนด้านขวา โล่งยังกับถนนกรุงเทพ ฯ ในช่วงเทศกาลหยุดยาวเลย.. ~
ส่วนด้านหลังเป็นที่อยู่ของกล้องหลัง 3 ตัวและไฟแฟลช LED ซึ่งคราวนี้ไม่มีตัวสแกนลายนิ้วมือมาให้แบบใน Note 9 หรือ S9 แล้วนะ ย้ายไว้ซ่อนไว้ใต้หน้าจอแทน ส่วนใน Note 10+ จะมีเซนเซอร์ Depth Vision สำหรับไว้วัดความตื้นลึกของรูปเพิ่มเข้ามา
กล้องหลัง Galaxy Note 10+ (สีเงิน) จะมี Depth Vision เพิ่มเข้ามา ส่วน Note 10 (สีชมพู) จะไม่มี
ด้วยความที่หน้าจอเป็นแบบ Dynamic AMOLED ที่ได้รับการรันตีคุณภาพเกรด A+ จากเว็บไซต์ DisplayMate บวกกับความสว่างที่ให้มามากถึง 1,200 Nits ทำให้ Note 10 นั้นสามารถใช้งานกลางแจ้งในที่แสงแดดจ้าๆ ได้แบบสบายๆ เลย นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ Blue Light Filter เอาไว้สำหรับตัดแสงสีฟ้าที่เป็นอันตรายต่อม่านตาของเราอีกด้วย สำหรับไว้เล่นตอนก่อนนอนหรือที่มืดๆ มีประโยชน์มากเลยนะ เพราะรู้สึกว่าพอเปิดใช้งานแล้ว หลับง่ายขึ้นและสนิทกว่าเดิมจริงๆ
ตั้งค่าป้องกันการพลาดแตะข้างเครื่องได้
และถึงแม้ว่าหน้าจอจะเป็น Edge Display แต่ตั้งแต่ใช้เวลาเกือบๆ เดือนนี้ต้องขอบอกก่อนเลยว่าแทบจะไม่เคยทัชลั่นเลยนะเวลาจับถือ น่าจะมาจากการเปิดฟีเจอร์ Accidental Touch Protection หรือฟีเจอร์กันทัชลั่นไว้ด้วยนี่แหละ จากประสบการณ์ที่เคยใช้โทรศัพท์จอโค้งมาหลายๆ เครื่อง Note 10 | Note 10+ ถือว่าทำผลงานออกมาได้น่าประจำใจมากๆ
ซอฟต์แวร์และการใช้งาน
ซ่อนปุ่ม Navigation ได้ แล้วควบคุมด้วยท่าทางการปัดหน้าจอแทน
Galaxy Note 10 | Note 10+ มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android 9 Pie ที่ครอบทับด้วย One UI อีกที ซึ่งหน้าตาถือว่าสวยงามมากๆ เลยล่ะ ส่วนตัวผมยกให้เป็น UI ของ Android ที่ดูแล้วสบายตาที่สุดเลย ไม่นับ Pure Android ของ Pixel และ Oxygen OS ของ OnePlus นะ การจัดวางฟอนต์ต่างๆ ถือว่าทำออกมาดี ไม่รกตา
เลือกเลยว่าสะดวกควบคุมแบบไหน
แถบ Navigation Bar ด้านล่าง สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามใจชอบเลย สำหรับคนที่ชอบปุ่ม soft touch แบบแต่ก่อน หรือสำหรับคนที่ไม่อยากให้มีอะไรมาเกะกะหน้าจอ ก็เลือกแบบ Full Screen Gesture ได้เลย
การใช้งาน Multi Task เปิดแอปทิ้งไว้หลายๆ แอป (ส่วนตัวนิสัยเป็นคนไม่ค่อยชอบเคลียร์แอปด้วย เพราะขี้เกียจ) ก็ทำออกมาได้โอเคเลย ไม่เจอกับอาการกระตุกหรือแลคแต่อย่างใด ไถ Facebook, Instagram, Reddit, Google Chrome หรือตอบแชท Messenger ก็ไม่มีปัญหา หายห่วง ทั้งนี้น่าจะมาจากความสามารถของ UFS 3.0 ด้วยส่วนหนึ่ง และ RAM ที่ให้มาถึง 8GB – 12GB เรียกได้ว่าเหลือเฟือมากๆ สำหรับสมาร์ทโฟน
ไฮไลท์สำคัญของ Galaxy Note 10 ที่ผมว้าวมากๆ ตอนเปิดตัวก็คือฟีเจอร์ Screen Recorder ที่ติดตั้งให้มาในเครื่องเลย ไม่ต้องไปหาแอปโหลดเพิ่ม เอามาทำเป็นคลิปสอนทำอะไรต่างๆ หรือจะอัดหน้าจอแคสเกมก็ยังได้เลย แถมสามารถอัดหน้าจอไป เปิดกล้องไปได้ด้วยนะ เลือกได้ด้วยว่าอยากให้หน้าเรามีขนาดเท่าไหน เล็กหรือใหญ่ ซึ่งไฟล์ที่ได้ออกมาก็ชัดเจนดี ไม่ได้มีขนาดใหญ่มากมายอะไร
ความสามารถ S-Pen
อย่างที่เกริ่นไปข้างต้น รอบนี้ S-Pen ไม่ใช่ปากกาเขียนหน้าจอธรรมดาๆ แล้ว ถือโอกาสกลายร่างเป็นไม้กายสิทธิ์แบบในหนังแฮร์รี่ พอตเตอร์เลย ยกตัวอย่างเช่นการใช้งานในแอปกล้องถ่ายรูป
- กด 1 ครั้ง = ชัตเตอร์กล้อง
- กด 2 ครั้ง = สลับกล้องหน้าและกล้องหลัง
- กดปุ่มพร้อมกับตวัดขึ้น = สลับกล้องหน้าและกล้องหลัง
- กดปุ่มพร้อมกับตวัดลง = สลับกล้องหน้าและกล้องหลัง
- กดปุ่มพร้อมกับตวัดซ้ายขวา = เปลี่ยนโหมดกล้อง
- กดปุ่มแล้วหมุนปากกาตามเข็มนาฬิกา = ซูมเข้า
- กดปุ่มแล้วหมุนปากกาทวนเข็มนาฬิกา = ซูมออก
ไม่ได้ใช้ได้แค่เฉพาะแอปกล้องนะ สามารถทำได้กับแอปฟังเพลงแบบ Spotify ได้อีกด้วย
แถมรอบนี้ S-Pen สามารถแปลงลายมือเป็น Text ได้แล้วนะ เบิ้องต้นภาษาที่แปลงได้ จะขึ้นอยู่กับภาษาเริ่มต้นของเครื่อง ถ้าเลือกเป็นภาษาอังกฤษ ก็จะใช้ได้แต่ภาษาอังกฤษ เท่านั้นนะครับ
อันนี้ผมชอบมากๆ เพียงแค่ดึงปากกา S-Pen ออก ตั้งแต่ตอนยังไม่ปลดล็อค ก็สามารถจดๆ อะไรต่างๆ ไปได้แล้ว แถมรอบนี้มีสีปากกาให้เลือกหลายสีเลยด้วย เป็นฟีเจอร์ที่ใช้งานบ่อยที่สุดแล้วล่ะตั้งแต่ใช้ Galaxy Note 10 มา คิดอะไรได้ก็เขียนเลย สะดวกมาก
กล้องถ่ายภาพ
อย่างที่รู้กันว่ากล้องหลังของ Galaxy Note 10 นั้นขึ้นแท่นเป็นอันดับ 1 สมาร์ทโฟนที่ถ่ายรูปได้ดีที่สุดในปัจจุบัน กวาดคะแนนไปทั้งหมด 117 คะแนน แซงหน้าแชมป์เก่าอย่าง Huawei P30 Pro และ Galaxy S10 5G ไปอย่างฉิวเฉียด 1 คะแนน..
สำหรับสเปคกล้องของ Galaxy Note 10+ ประกอบไปด้วย
- เซนเซอร์หลักความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสงปรับได้ 2 ระดับ f/1.5 และ f/2.4 มีระบบกันสั่น OIS
- เซนเซอร์ Telephoto ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.1 มีระบบกันสั่น OIS
- เซนเซอร์ Ultra-Wide ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2 มุมกว้าง 123 องศา
- เซนเซอร์ Depth Vision หรือ ToF ความละเอียด VGA
โดยรวมๆ แล้วกล้องของ Galaxy Note 10 และ Note 10+ ใช้เป็นชุดเดียวกันทั้งหมดเลยนะ จะต่างกันแค่ Note 10 ไม่มี Depth Vision นั่นเอง ซึ่งการถ่ายภาพปกติ ไม่ได้นำเซนเซอร์ดังกล่าวมาใช้งานอยู่แล้ว เลยขอรวบรวมภาพของทั้งสองไปเลยแล้วกันเนอะ ฟีเจอร์ต่างๆ ก็มี
ภาพตัวอย่าง
ภาพเปรียบเทียบเลนส์ระยะปกติ vs มุมกว้าง
ภาพเปรียบเทียบระหว่างโหมดธรรมดา vs Night Mode
กล้องหน้ารอบนี้ Samsung ปรับเพิ่มค่ารูรับแสงจากเดิมใน Galaxy S10 series อยู่ที่ f/1.9 มาเป็น f/2.2 ใน Galaxy Note 10 series แทน เพราะทางบริษัทต้องการให้รูของกล้องนั้นมีขนาดเล็กที่สุดเท่าที่จะทำได้ ส่วนนี้พวกเขาได้ชดเชยด้วยการใส่ฟีเจอร์ Night Mode สำหรับถ่ายในที่แสงน้อยมาให้แทน ซึ่งตรงนี้ได้ลองถ่ายดูแล้ว รู้สึกแปลกๆ นิดนึง เพราะต้องเก๊กหน้านานหน่อย + กลั้นหายใจเพราะกลัวภาพหลังการประมวลผลออกมาแล้วสั่นๆ เบลอๆ ฮ่าๆ
ภาพตัวอย่างกล้องหน้า
ภาพตัวอย่างกล้องหน้า Night Mode (ซ้ายปิด ขวาเปิด)
มาถึงฟีเจอร์ Audio Zoom ที่ใครหลายๆ คนต่างร้องว้าวไปตามๆ กันในงานเปิดตัว หลังจากที่ลองใช้งานได้จริงนะ พอซูมเข้าแล้วเสียงวัตถุที่โฟกัสก็ดังขึ้น เสียงรอบๆ ถูกตัดหายไปอย่างชัดเจนเลย โดยการทำงานของฟีเจอร์นี้ ระบบจะใช้ไมค์ 2 ตัวในการตัดเสียงรบกวนรอบข้างออก จากนั้นใช้ไมค์ตัวที่ 3 ยิงโฟกัสไปที่ตัววัตถุหรือบุคคลเลย เพื่อให้เสียงเด่นชัดขึ้นมามากที่สุด ส่วนโหมด Super Steady จะกันสั่นได้จริงมั้ย มาลองดูกันในคลิปด้านล่างได้เลยครับ
ประสิทธิภาพและการเล่นเกม
Galaxy Note 10 | Note 10+ ใช้ชิปเซ็ตตัวเดียวกัน ก็คือ Exynos 9825 ตัวใหม่ล่าสุด อีกทั้ง RAM ที่อัดให้มาแบบจัดเต็มตั้งแต่ 8GB ไปจนถึง 12GB ทำให้การเล่นเกมน่าจะไม่มีปัญหาอะไรมาคอยกวนใจเลย โดยผลการทดสอบ AnTuTu ก็ทำออกมาได้ดีเลยทีเดียว กวาดคะแนนไป 340,126 คะแนน
ส่วนการทดสอบ AndroBench ก็เป็นไปตามคาด Galaxy Note 10 ทำผลงานออกมาได้สุดยอดมากๆ ทำความเร็วในการอ่านข้อมูลต่างๆ ได้มากถึง 1,518 MB ต่อวินาที เร็วกว่า OnePlus 7 Pro ที่ใช้หน่วยความจำ UFS 3.0 แบบเดียวกันเสียอีก
*UFS 3.0 เป็นประเภทของเมมที่เห็นๆ กันในตลาดนั่นแหละครับ ส่วนใหญ่แล้วมือถือราคาประหยัดจะใช้เป็นแบบ eMMC ส่วนพวกราคากลางๆ ก็จะเลือกใช้เป็น UFS 2.x ขึ้นไป ซึ่งปกติความเร็วก็จะอยู่ที่ราวๆ 2-300 MB ต่อวินาที และ 5-700MB ต่อวินาที ตามลำดับ แต่อย่างที่เห็นผลคะแนนไปแล้ว UFS 3.0 ทำคะแนนวิ่งขึ้นไปแตะหลักพันเลย
ถึงเวลาเอาไปทดสอบกับเกมบ้างดีกว่า จากที่เล่น RoV มา 2-3 ตา พบว่าปรับทุกอย่างสุด ก็เล่นได้เพลินๆ เลยนะ เฟรมเรทนิ่งมาก อยู่ที่ 59-60fps ตลอดเลย
ส่วนเกม PUBG ก็สามารถปรับกราฟฟิกทุกอย่างได้แบบสุดเลย (ยกเว้น Ultra HD นะที่มันยังไม่เปิดให้ใช้) เล่นเกมได้ลื่นไหล ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด จากที่ลองเล่นดู RoV กับ PUBG เป็นเวลากว่าชั่วโมง พบว่าแบตลดไปกว่า 25% เลย แถมเครื่องก็ร้อนหน่อยๆ อีกต่างหาก
Samsung DeX
Galaxy Note 10+ มีการอัพเดทให้ Samsung DeX สามารถใช้สาย USB Type C ต่อเข้าคอมพิวเตอร์ Windows และ Mac ได้เลย สามารถเรียกดูการแจ้งเตือนบนโทรศัพท์, รับสายเมื่อมีสายเรียกเข้า หรือโอนถ่ายไฟล์ระหว่าง PC กับโทรศัพท์ได้เลยทันที แต่อย่างไรก็ดีการใช้งานจริงจะยังไม่ค่อยเวิร์คเท่าไหร่ มีอาการหน่วงระหว่างการใช้งานให้เห็นอยู่ไม่น้อย แนะนำถ้าอยากต่อจอใช้งาน Dex ใช้แบบเดิมต่อเข้าจอแยกจะเวิร์คกว่านะ
ดูหนังฟังเพลง
ส่วนตัวประทับใจในลำโพงสเตอริโอของ Galaxy Note 10 | Note 10+ มากๆ รายละเอียดเสียงถือว่าโอเค เหมือนกับออกมาจาก Soundbar อันเล็กๆ เลย บวกกับเปิดใช้งาน Dolby Atmos ควบคู่ไปด้วย ได้เนื้อเสียงออกมาใกล้เคียงกับใส่หูฟังเลย ส่วนการรับชม Netflix ตรงนี้ก็สามารถดูได้แบบ HD นะ เพราะมาพร้อมกับ DRM Widevine L1 แถมรองรับ HDR อีกต่างหาก
การสแกนลายนิ้วมือและการเชื่อมต่อต่างๆ
การทำงานของเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบ Ultrasonic ถือว่าไวพอตัวเลยนะ เมื่อเทียบกับเมื่อตอน Galaxy S10 ถือว่าปัญหาต่างๆ ก็ได้รับการแก้ไขไปหมดแล้ว เรื่องฟิล์มกระจกก็มีหลายยี่ห้อทำออกมารองรับให้สแกนแบบ Ultrasonic ผ่านแล้วตั้งแต่ Galaxy S10 แต่เครื่องที่รีวิว ใช้เป็นฟิล์มที่ติดมาให้ตั้งแต่ในกล่องอยู่เลย ใช้งานปกติ ไม่พบปัญหาใดๆ
ปลดล็อคด้วยการสแกนใบหน้าก็ทำได้เหมือนกันนะ แต่ขอบอกก่อนเลยว่าทาง Samsung เตือนตั้งแต่ตอนลงทะเบียนแล้วว่าเน้นเร็ว และมีความเป็นไปได้ที่คนหน้าคล้ายเราอาจจะสแกนใบหน้าผ่าน (กรณีคนที่มีแฝด) อีกทั้งหากเราดันใส่แว่น, โกนหนวด หรือว่าแต่งหน้าจัดๆ อาจจะสแกนไม่ผ่าน อีกทั้งความปลอดภัยไม่ได้รัดกุมเหมือนกับการสแกนลายนิ้วมือ แต่ส่วนตัวผมชอบนะ เพราะมันไวดี
เป็นเพียงไม่กี่จุดที่น่าผิดหวังสำหรับ Galaxy Note 10 | Note 10+ เพราะ Samsung เลือกตัดรูหูฟังมาตรฐาน 3.5 มม. ไปแล้ว แถมในกล่องไม่แถมตัวตัวแปลงจาก Type-C เป็น 3.5 มม. มาให้ด้วยนะ แต่ยังดีที่แถมตัวหูฟังแบบ Type-C มาให้ อีกทั้งตอนนี้หูฟัง Bluetooth ก็เริ่มเป็นที่นิยมแล้ว ในส่วนการเชื่อมต่อแบบไร้สาย ก็มาพร้อมกับ Bluetooth 5.0 สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ไร้สายได้พร้อมกันทีเดียวถึง 2 เครื่อง และระยะการเชื่อมต่อก็เพิ่มขึ้นจากเดิม 30 เมตรใน Bluetooth 4.2 เป็น 120 เมตรแล้ว อีกทั้งยังมี WiFi 2.4GHz และ 5GHz ตามมาตรฐานเรือธงปัจจุบัน
แบตเตอรี่และอายุการใช้งาน
ความอึดของแบตเตอรี่ใน Galaxy Note 10 | Note 10+ ถือว่าอยู่ในระดับปานกลางนะ สามารถอยู่ได้เต็มวัน เปิดอะไรทุกอย่างครบ ไม่ว่าจะเป็น Bluetooth เชื่อมต่อกับสมาร์ทวอทช์ตลอด 24 ชั่วโมง และหูฟัง ส่วน Location, Sync, VoLTE, Dolby Atmos เปิดไว้ทุกอย่าง วันหยุดเอาไปเดินเล่นตั้งแต่กลางเมืองยันปริมณฑล ถอดสายชาร์จตอนเที่ยง ถอดตอนสามทุ่ม ได้ Screen on Time ไป 4 ชั่วโมงเศษๆ พร้อมกับแบตที่เหลือประมาณ 15% ส่วนเรื่องการชาร์จอันนี้หายห่วงเลย มาพร้อมกับ Fast Charge 25W เร็วสุดๆ ชาร์จ 30 นาที ก็ได้แบตมา 50% – 65% แล้ว
จุดที่ชอบของ Galaxy Note 10 | Note 10+
- ฟิลลิ่งการจับถือถือว่าพอดีมือมากๆ ไม่รู้สึกว่าใหญ่จนเกินไป (โดยเฉพาะ Note 10)
- ลำโพงสเตอริโอ ผนึกกับฟีเจอร์ Dolby Atmos ให้มิติเสียงที่คมชัดและรายละเอียดยิบย่อยครบ
- ฟีเจอร์ S-Pen ที่ให้มาใหม่ใช้งานได้จริง โดยเฉพาะเวลาฟังเพลง ไม่ต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปลี่ยนเพลง เพิ่มลดเสียงบ่อยๆ (แต่ต้องหยิบ S-Pen ใส่กระเป๋าเสื้อหรือถือไว้ก่อนอยู่ดีแหละ)
- จอโค้ง Edge Display แต่ไม่ค่อยมีอาการทัชลั่นมาให้เห็น (ในกรณีผมคือไม่เจอเลย)
- หน่วยความจำ UFS 3.0 อ่านเขียนไฟล์แรงจริงอะไรจริง
- ไม่ต้องหาติดฟิล์มและเคสเพราะติดมาให้แล้วตั้งแต่ในโรงงาน
- ฟีเจอร์ต่างๆ ใน One UI ถือว่ามีให้เล่นเยอะ แถมตัว UI ก็ออกแบบมาสวยงาม สบายตา
- ชาร์จไว 25 วัตต์
จุดที่ยังต้องพิจารณา
- เพิ่มเมมได้เฉพาะตัว Note 10+ ตัวธรรมดาเพิ่มไม่ได้
- ถ้าใส่รูหูฟัง 3.5 มม. มาด้วย น่าจะขึ้นแท่นเป็น the most complete phone หรือโทรศัพท์ที่สมบูรณ์แบบได้ง่ายๆ เลย
- Samsung DeX ยังมีความหน่วงอยู่
- เซนเซอร์สแกนลายนิ้วยังมีบางทีที่สแกนไม่ติด ต้องกดย้ำหลายๆ รอบ
โดยรวมแล้วถือว่าพอใจ เลยนะกับประสบการณ์ใช้ Galaxy Note 10 | Note 10+ ทั้งสองรุ่น สำหรับใครที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนเรือธงไว้ใช้งานสักเครื่องนึง Galaxy Note 10 series ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจเลยล่ะ โดยส่วนตัวแล้วชอบขนาดของ Note 10 มากๆ พอดีและเข้ามือกว่าพอสมควรเลย แต่ก็ต้องยอมเสียเรื่องกล้อง Depth Vision และการชาร์จที่เร็วกว่าไป ซึ่งถ้าใครยังเลือกไม่ถูกว่าจะเอาตัวไหนก็ลองกดไปดูเปรียบเทียบทั้งสองรุ่นกันต่อได้ครับ
แหล่มดีครับ 🙂 🙂
นี่เราใช้รุ่นเดียวกันจริงหรือป่าวครับ ผมใช้ Note 10+ อยู่ เล่น ROV แตะ 59 60 แค่ ไม่ถึง 2 นาทีแรกที่เข้าเกม หลังจากนั้น 51 53 55 57 เหวี่ยงมาก จนผ่านไปประมาณ 3 4 นาทีก็ร่วงไป 40 45 เฟรมแล้วครับ ลองมาหมดทั้งเคลียแอป ปิดรักษาอุณหภูมิ เปิดโหมดประสิทธิภาพสูง ซึ่งไม่ช่วยให้ดีขึ้นเลย รีวิวนี้อวยหรือป่าวหว่า
แปลกแฮะ เครื่องผมคือเฟรทเรทไม่ตกไปขนาดนั้นนะ เล่นไปนานๆ มีเครื่องร้อนนิดหน่อย ยังไงเดี๋ยวจะลองเล่นตอนพักกลางวันนี้อีกทีครับ แล้วจะมาอัพเดทให้ฟังนะ
ของผมตั้งแต่ซื้อมายังไม่เคยเล่นแบบเกาะๆ 59 60 ได้เลยซักครั้งเดียวครับ ทำไมเป็นอย่างนี้ 🙁
มาช่วยคอนเฟิร์มนะครับ ว่าวิ่งที่ 59-60fps จริงๆ อันนี้คือเล่นในห้องแอร์นะครับ และเพิ่งลงRoV ใหม่ๆ
https://twitter.com/iGimme/status/1180101222755262464
แนะนำว่าลอง Uninstall แล้วก็ลงเกมใหม่ทุกครั้งที่มีการอัพเดทครับ เพราะปัญหามักจะเกิดเวลาเพิ่งอัพเดทเสร็จประจำอ่ะ เคยเจอเหมือนกันว่าตกลงไปน้อยๆ พอลบแล้วลงใหม่ก็หายครับ
ทดสอบลบเกมแล้วลงใหม่แล้วครับ แต่ก็ยังเหวี่ยงลงไป 47 52 51 มากๆ ผมควรเอาเข้าศูนย์แน่ๆเลยแบบนี้
สงสัยจะคนละรุ่นกันมั้งครับ5555
ถ้าเล่นเกมแลคแนะนำปรับความละเอียดจอลงครับ ซึ่งจะให้จอ2k 4kมเพื่อออ
ผมใช้ s9ครับ บางทีเล่นเกมผมเล่นความละเอียด 720p อนาถใจเรือธงอายุหนึ่งปี555
รอยัายกลับหาผลไม้
ข้อเสียคือ ราคา และ การกั๊ก และซอยรุ่น