เปิดขายกันไปซักพักแล้วสำหรับมือถือซีรีส์เรือธงดีไซน์สวยสเปคสุดเทพของ Samsung อย่าง Galaxy S21 Series ซึ่งส่วนตัวผมก็ได้ถือลองใช้เจ้า Galaxy S21+ ตัวกลางมาเป็นเวลาเกือบๆ เดือนแล้ว เลยขอโอกาสมาเขียนรีวิวเล่าประสบการณ์การใช้งานให้ผู้อ่านได้ใช้ประกอบการตัดสินใจหรืออ่านเพลินๆ กัน ว่าสรุปแล้วตัวนี้เป็นไงบ้าง หรือว่าจะกัดฟันเพิ่มเงินอีกซักนิดซื้อตัว Ultra ไปเลย

แกะกล่อง | UNBOXING

ทราบกันอยู่แล้วว่า Samsung Galaxy S21+ รอบนี้จะไม่มีหูฟัง AKG และหัวชาร์จแถมมาให้ในกล่อง ทำให้แพคเกจกล่องจะบางกะทัดรัดมากๆ โดยภายในกล่อง จะมีเพียงแค่คู่มือกับเข็มจิ้มซิมมาให้เท่านั้น ไม่มีเคสใส ไม่มีหูฟัง ไม่มีหัวชาร์จ (สายชาร์จมีแถมมาเหมือนเดิมนะ)

สัมผัสแรก | FIRST IMPRESSIONS

แม้ว่าจะมีน้ำหนักถึง 200 กรัม แต่พอ Galaxy S21+ มาอยู่บนมือแล้วกลับรู้สึกว่ามันเบากว่าที่คิด ในส่วนนี้ต้องชม Samsung ว่าทำการบ้านมาดี กระจายน้ำหนักได้ลงตัวสุดๆ

โดย Galaxy S21+ ที่ผมได้มารีวิวครั้งนี้ จะเป็นสีม่วงตัดกับสีทอง Phantom Violet อันนี้ก็สวยงามสุดๆ โมดูลกล้องหลังเรียงกันเป็นแนวตั้ง 3 ตัว น่าสังเกตก็คือ ตัวกล้องหลังนั้นค่อนข้างนูนออกมาอย่างชัดเจน ความสูงเกือบๆ เท่าเหรียญบาทเลยทีเดียว

น่าเสียดายที่รอบนี้ Galaxy S21+ ให้ถาดซิมมาเป็นแบบ Double Slot ใส่ได้สองซิม ตัดถาดใส่ microSD Card ออกไปแล้ว ดังนั้นใครที่กำล้งเล็งๆ จะซื้อรุ่นนี้อยู่ ก็เลือกซื้อรุ่นที่หน่วยความจำเพียงพอกับการใช้งานของตัวเองนะครับ เพราะเพิ่มทีหลังไม่ได้เหมือนแต่ก่อนแล้ว

ส่วนหน้าจอ Galaxy S21+ ยังให้มาเป็นแบบ Infitnity-O Display เหมือนกับมือถือเรือธงรุ่นอื่นๆ ของ Samsung และรอบนี้เหมือนว่าขอบจอจะบางลงกว่าเดิมเล็กน้อย

โดยรอบนี้ Galaxy S21+ มีกระจกนิรภัย Gorilla Glass Victus ตัวเทพจาก Corning ครอบมาให้ คือไม่ต้องติดฟิล์มกระจกก็ไม่เป็นอะไรอะในความคิดส่วนตัวของผมนะ แต่ก็ใครไม่สบายใจจริงๆ ก็ติดได้ ไม่ว่ากัน ซึ่งตัวเครื่องจะมีฟิล์มใสติดมาอยู่แล้วด้วย

หน้าจอแสดงผล | DISPLAY

Galaxy S21+ มาพร้อมกับหน้าจอ Dynamic AMOLED 2X ขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียด Full HD+ และค่ารีเฟรชเรท 120Hz มีฟีเจอร์ Adaptive Refresh Rate ที่ตัวระบบจะคอยปรับให้อัตโนมัติตั้งแต่ 48Hz ถึง 120Hz ขึ้นอยู่กับการใช้งาน ณ ตอนนั้นๆ

แต่เมื่อลองเช็คดูแล้ว เหมือนว่าระบบจะปรับไปมาแค่ 60Hz กับ 120Hz เท่านั้นนะ คือเปิดจอทิ้งไว้ (หรือเล่นเกมบางเกม) ก็เป็น 120Hz ดู YouTube หรืออ่านเว็บก็จะเป็น 60Hz ตอนแรกคิดว่าเปิด Always-On Display แล้วจะเป็น 48Hz ซะอีก ที่ไหนได้เปิดแล้วก็ยังเป็น 60Hz อยู่ อันนี้ก็ไม่ทราบเหมือนว่าตัวระบบมีการจัดการยังไง

เรื่องความสดและความเที่ยงตรงของสี ถือเป็นจุดเด่นของหน้าจอจาก Samsung แต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว โดยใน Galaxy S21+ สามารถเลือกปรับได้ว่าจะใช้โทนสีแบบไหน

  • Vivid ก็จะออกสดๆ
  • Natural จะออกสมจริง แต่สีก็ซีดลงหนึ่งสเต็ป

นอกจากนี้ยังมีตัวเลือกให้ปรับ White Balance ได้ตามใจชอบอีกต่างหาก ส่วนใครที่โปรจัดๆ ก็มีแบบ Advanced Settings ให้ปรับอีกด้วย

จอ Dynamic AMOLED 2X บน Galaxy S21+ สามารถดันค่าความสว่างได้สูงสุดถึง 1300 nits (เมื่อเปิด Auto Brightness) ดังนั้นไม่ต้องกลัวเลยว่าเอาไปใช้งานกลางแจ้งแล้วจอจะแสดงผลไม่ชัด

การใช้งาน One UI 3.1

สิ่งที่หลายคนมองข้ามไปก็คือความลื่นไหลของ One UI 3.1 ของ Samsung ที่ช่วงหลังๆ ผมมองว่าน่าจะเป็น ROM ที่ลื่นไหลที่สุดของ Android แล้วล่ะ แถมฟีเจอร์ต่างๆ อย่าง Samsung DeX, Nearby Share หรือ Link to Windows (Your Phone) อะไรแบบนี้ก็ยังใส่มาให้แบบครบๆ

การแบ่งจอครึ่งบนครึ่งล่างก็ยังทำได้เหมือนเดิม ไม่มีปัญหา ใช้งานจริงไม่มีการกระตุก

หรือจะเปิดเป็นป๊อบอัพวิว อันนี้ก็ทำได้

NETFLIX

ด้วยความที่มีดีกรีเป็นถึงมือถือระดับเรือธง ทำให้ Galaxy S21+ รองรับการเข้ารหัส Widevine แบบ L1 หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ดู Netflix ได้ที่ความละเอียดสูงสุด Full HD อีกทั้งยังรองรับการแสดงผลแบบ HDR10 ด้วย

ซึ่ง HDR10 จะมีประโยชน์มากๆ เวลาดูคอนเทนต์ที่พื้นหลังมักจะเป็นตอนกลางคืนหรือสีดำเยอะๆ เพราะถ้าหน้าจออุปกรณ์ที่ใช้ไม่รองรับล่ะก็ เราแทบจะแยกไม่ออกเลยว่าอันไหนเป็นพื้นหลังดำหรือสีดำ คือ HDR10 มันจะทำให้เรามองภาพในที่มืดๆ ในหนังได้ชัดกว่าเดิมขึ้นอยู่พอสมควร

การใช้งาน GPS

เมื่อเอา Galaxy S21+ ไปทดสอบประสิทธิภาพการทำงานของ GPS กับแอป GPS Test ก็พบว่า Galaxy S21+ นั้นไม่มีปัญหาเรื่องเอาไปใช้งานพวกแอปนำทาง Google Maps อะไรแบบนี้เลย ความแม่นยำอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถไว้ใจได้ ทั้งความเร็วในการจับสัญญาณ จำนวนเดียวเทียมที่สามารถเกาะใช้งาน รวมถึงความแม่นยำในการระบุพิกัด

การใช้งาน 5G และการเชื่อมต่อ WiFi

Galaxy S21+ สามารถใช้งาน 5G ได้ทุกเครือข่าย ไม่ว่าจะเป็น AIS, truemove H หรือ dtac (รออ้ปเดต Software) แต่ในส่วนนี้ซิมที่ใช้และพื้นที่ที่ใช้งานจะต้องมีสัญญาณ 5G ครอบคลุมด้วยนะครับ

ทั้งนี้ Galaxy S21+ สามารถใช้งาน Wi-Fi6 ได้นะครับ ซึ่งหากบ้านใครมี Router ที่ปล่อยสัญญาณนี้ได้ล่ะก็ บอกเลยว่าโคตรแรง

เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ | FINGERPRINT SCANNER

Galaxy S21+ ยังใช้เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบ Ultrasonic เหมือนเดิม แต่รอบนี้มีความพิเศษที่ตัวเซ็นเซอร์เป็นรุ่นใหม่ที่ Qualcomm เพิ่งเปิดตัวไปได้ซักพัก โดยจุดที่อัปเกรดขึ้นมาก็คือขนาดจะใหญ่กว่าเดิม 77% และสแกนเร็วขึ้น 50% …เอาล่ะ มาดูกันดีกว่าว่าสิ่งที่ Qualcomm เคลมมานั้นจะจริงหรือโม้ ฮ่าๆ

สรุปคือมันเร็วกว่าเดิมจริง เร็วมากกกก เร็วกว่ามือถือที่ใช้เซ็นเซอร์แบบ Optical ซะอีก แบบกดไปนิดเดียว มันปลดล็อคให้แล้ว

Play video

ส่วนใครที่ไปติดฟิล์มกระจกหนาๆ ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะสแกนนิ้วลำบาก (เพราะกระจกหนาขึ้น) เพราะในส่วนนี้วิธีแก้ง่ายๆ ก็คือไปเปิดใช้งานฟีเจอร์ Touch Sensitivity เท่านี้ก็เรียบร้อยแล้ว โดยนอกจากจะช่วยให้ใช้งานกับฟิล์มหนาๆ ได้แล้ว ฟีเจอร์นี้ยังมีประโยชน์มากๆ สำหรับคนชอบใส่ถุงมือด้วย

อ้อ จุดเด่นอีกอย่างของเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วแบบ Ultrasonic ก็คือ ต่อให้นิ้วเปียกแค่ไหน เราก็ยังจะสแกนนิ้วปลดล็อคได้อยู่ดี ไม่เหมือนแบบ Optical ที่ถ้านิ้วเปียกก็ใช้งานไม่ได้เลย ต้องไปเช็ดให้แห้งก่อน

ประสิทธิภาพตัวเครื่อง | PERFORMANCE

ในเรื่องของชิปเซ็ต รอบนี้ถือว่า Galaxy S21+ ได้รับการอัปเกรดขึ้นมาจากชิปรุ่นเก่าๆ อยู่พอสมควร โดยรุ่นนี้จะขับเคลื่อนด้วยชิปเซ็ต Exynos 2100 ที่ผลิตบนสถาปัตยกรรมขนาด 5 นาโนเมตร และใช้ CPU แกนหลักเป็น Cortex-X1 ตัวแรงของ ARM และเมื่อนำไปทดสอบกับแอป Geekbench 5 ก็จะได้คะแนนตามรูปด้านล่างเลย

ส่วนการทดสอบหน่วยความจำกับแอป AndroBench ทาง Galaxy S21+ ก็จะทำคะแนนได้ตามนี้

ด้วยความที่ Galaxy S21+ ยังใช้หน่วยความจำแบบ UFS 3.1 อยู่ ทำให้ประสิทธิภาพในส่วนนี้ยังไม่ได้หนีเรือธงรุ่นก่อนหน้าอย่าง Galaxy Note 20 Ultra หรือ Galaxy S20 Ultra ซักเท่าไหร่นั่นเอง

ลองเล่นเกม | GAMING PERFORMANCE

ในเรื่องของการเล่นเกม Galaxy S21+ แทบจะไม่มีปัญหาเลย เพราะชิปเซ็ต Exynos 2100 ที่ใช้ก็มีฐานะเป็นถึงตัวเรือธงระดับไฮเอนด์ของ Samsung พูดง่ายๆ ก็คือ ปรับกราฟิกอะไรได้หมด เอาไปเล่น RoV หรือเกมโหดๆ อย่าง Genshin Impact ก็สบาย

ในส่วนของ Genshin Impact พอเล่นไปซักพักหากมีความร้อนสะสม จะเริ่มมีอาการกระตุกเล็กน้อยให้เห็นบ้าง แต่ก็ไม่ได้บ่อยจนถึงขนาดเป็นปัญหาใหญ่โตอะไรนะ

กล้องถ่ายรูป | CAMERA

เอาล่ะ มาถึงเรื่องกล้องกันบ้าง ตรงนี้ต้องบอกว่าสเปคฮาร์ดแวร์กล้องหลังของ Galaxy S21+ นั้นเหมือนกับ Galaxy S21 รุ่นน้องหรือว่ารุ่นก่อนหน้าอย่าง Galaxy S20 และ S20+ แบบ 100% แต่ว่าเรื่องซอฟต์แวร์ ส่วนนี้เข้าใจว่า Samsung น่าจะมีการอัปเกรดอะไรเข้ามาเล็กน้อยในซีรีส์นี้

ตัวอย่างภาพกล้อง Wide จาก Galaxy S21+

 

ตัวอย่างภาพ Ultra-Wide จาก Galaxy S21+ 

 

ตัวอย่างภาพ Night Mode จาก Galaxy S21+

 

ตัวอย่างภาพ Portrait จาก Galaxy S21+ 

ถ้าเล็งไม่ดี ก็เหมือนจะมีจังหวะที่ทำให้หลอดหายไปได้เหมือนกันในโหมด Portrait แต่ต้องบอกว่าอันนี้แล้วแต่จังหวะนะ บางทีก็มา บางทีก็หาย

 

ตัวอย่างภาพ Telephoto ของ Galaxy S21+ 

จะเห็นว่าระยะซูม Digital 30x ของ Galaxy S21+ ภาพที่ได้ยังถือว่ามีรายละเอียดที่ค่อนข้างชัดเจนอยู่ ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็คือภาพด้านบนเรายังสามารถเห็น Text อ่านออกแบบไม่ลำบาก

 

และยิ่งไปกว่านั้น รอบนี้เราสามารถล็อคกล้องให้มีความนิ่งกว่าเดิมด้วยเวลาดันซูมเข้าไปไกลๆ ทำง่ายๆ ด้วยการกดไปตรงบริเวณกล่องสี่เหลี่ยมมุมขวาบนตัวเครื่อง คือจากที่ใช้งานมันก็ไม่ได้นิ่งอะไรขนาดนั้น แต่ก็เข้ามาช่วยให้การถ่ายภาพทำได้ง่ายขึ้นเยอะเลยล่ะ

กล้องหน้า | SELFIE

กล้องเซลฟี่ของ Galaxy S21+ จะเป็นตัวความละเอียด 10 ล้านพิกเซล ค่ารูรับแสง f/2.2 รองรับ PDAF แบบ Dual Pixel ซึ่งรอบนี้พิเศษมากๆ เพราะมีให้เลือกว่าอยากได้รูปแบบ Bright หรือ Natural

ซ้าย Bright – Natural ขวา

 

อันนี้เอารูปแมวมาแถมครับ ฮ่าๆ

วิดีโอกันสั่นนิ่งกริ๊บ | Super Steady

รอบนี้ฟีเจอร์ Super Steady บน Galaxy s21+ ได้ถูกพัฒนาตีบวกในด้านซอฟต์แวร์ให้มีความสมบูรณ์และเทพยิ่งขึ้นกว่าเดิม โดยทาง Samsung เคลมเอาไว้ในงานเปิดตัวว่า Footage ที่ได้จะไม่มีอาการเบลอหรือสั่น คุณภาพที่ได้แทบจะคล้ายๆ กับการใช้กล้อง Action Cam ถ่ายเลย เอาเป็นว่าลองมาดูตัวอย่างวิดีโอที่ผมถ่ายเอาไว้ดีกว่าครับ

Play video

DIRECTOR’S VIEW

นอกจากนี้ Galaxy S21+ ยังเปิดตัวมาพร้อมกับฟีเจอร์ใหม่ Director’s View อีกด้วย โดยฟีเจอร์นี้จะแสดงภาพ Preview จากทุกเลนส์ก่อนถ่ายจริง เพื่อให้เราประกอบการตัดสินใจว่ามุมแบบนี้ จะเลือกใช้เลนส์แบบไหนดี

แบตเตอรี่ | BATTERY

เรื่องแบตเตอรี่เป็นอีกหนึ่งจุดที่ส่วนตัวคิดว่า Galaxy S21+ น่าจะทำผลงานออกมาได้ดีกว่านี้ คือความอึดแบตไม่ได้อยู่ในเกณฑ์ที่ไหลเป็นน้ำเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่ก็ไม่ได้ทนทานอะไร วันไหนใช้งานหนักๆ มีหมดระหว่างวัน ต้องเสียบชาร์จกับพาวเวอร์แบงค์บางวัน

ค่า Screen on Time ของ Galaxy S21+ จะได้อยู่ที่ประมาณ 4 ชั่วโมงนิดๆ พร้อมกับเหลือแบตเตอรี่อีก 27% ซึ่งอย่างที่บอกไปข้างบนคือตัวเลขแบบนี้จัดว่าอยู่ในระดับกลางๆ

สรุป Galaxy S21+ 5G น่าใช้ไหม?

สำหรับใครที่กำลังมองหามือถือเรือธงสเปคเทพๆ ดีไซน์สวยๆ อยู่ Galaxy S21+ ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ไม่เลวเลยล่ะ แม้ว่าจะมีราคาค่าตัวที่อาจจะแพงนิดหน่อยสำหรับบางคน (ถูกสุด 33,900 บาท แพงสุด 35,900 บาท) แต่สิ่งที่ได้มาก็คุ้มค่าเหมือนกัน ทั้งฟีเจอร์ที่จัดเต็มและซอฟต์แวร์ที่เสถียรแบบสุดๆ

Play video

แต่ถ้าใครที่ใช้มือถือเรือธงปีก่อน (หรือสองปีที่แล้ว) อยู่ล่ะก็ อันนี้ผมก็ไม่แนะนำให้อัปเกรดมาใช้เป็น Galaxy S21+ นะ คือแน่แหละว่าของใหม่กว่ามันก็ย่อมดีกว่าแรงกว่าแน่ๆ แต่มันไม่ได้คุ้มค่าขนาดที่ต้องเสียเงิน 3 หมื่นกว่าบาทอะ คือถ้าสมาร์ทโฟนไม่ได้มีปัญหาหรืองอแงอะไร ผมว่ายังไม่ถึงเวลาเปลี่ยน

ส่วนถ้าใครกำลังลังเลว่าจะจัดรุ่นนี้ไปเลย หรือว่าเพิ่มเงินอีกไปซื้อตัว Ultra ตรงนี้ผมก็คิดว่า Galaxy S21+ เพียงพอต่อการใช้งานมากๆ แล้ว คือจริงอยู่ที่ Galaxy S21 Ultra นั้นทำได้เหนือกว่าแน่ๆ ในหลายๆ เรื่อง แต่ฟีเจอร์บางอันที่เพิ่มเข้ามา มันก็ไม่ได้จำเป็นอะไรกับการใช้งานจริงขนาดนั้น เว้นแต่คนอยากใช้ปากกา S-Pen อันนี้ยังไงก็ต้องไปตัว Ultra เพราะ S21+ ยังไม่สามารถใช้งานร่วมกันได้นั่นเอง

ข้อดี 

  • หน้าจอยังคงตามมาตรฐาน Samsung ยิ่งได้รีเฟรชเรท 120Hz มาด้วย ลื่นไหลสุด
  • ดีไซน์เครื่องสัมผัสจับถือพรีเมียมมาก
  • Exynos 2100 จัดการความร้อนได้ค่อนข้างโอเคกว่าเดิม
  • กล้องหลัง 3 ตัว ใช้งานได้จริงทุกตัว
  • ฟีเจอร์เทพๆ DeX, Nearby Share หรือ Link to Windows ยังอยู่ครบ ไม่ได้หายไปไหน
  • Digital Zoom 30x คุณภาพรูปที่ได้ค่อนข้างน่าพอใจ
  • เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือเร็วขึ้นกว่าเดิมมาก
  • ใช้ 5G ได้ทุกค่าย

ข้อสังเกต

  • Adaptive Refresh Rate เหมือนจะปรับไปมาแค่ 60Hz กับ 120Hz ยังหาไม่เจอว่าโหมดไหนปรับแล้วเหลิอ 48Hz
  • Portrait บางทียังตัดขอบไม่ค่อยเนียน
  • แบตน่าจะอึดกว่านี้
  • ไม่มีหัวชาร์จและหูฟังแถมให้ในกล่อง ต้องซื้อแยก
  • เพิ่ม microSD Card ไม่ได้