มือถือเรือธงระดับพรีเมี่ยมทั้ง Samsung Galaxy S21 Series และ iPhone 12 Series เปิดตัวมาได้ซักพักแล้ว ซึ่งทั้ง 2 ค่ายต่างก็ขนเอาสเปค + ฟีเจอร์ล้ำ ๆ แบบจัดเต็มมาให้ทั้งนั้น ซึ่งทาง Droidsans ก็เคยรีวิวการใช้งานของทั้งคู่แบบเต็ม ๆ ไปหมดแล้วไม่ว่าจะเป็นเรื่องประสิทธิภาพกล้องรวมถึงการใช้งานด้านอื่น ๆ คราวนี้เราก็เลยขอมาทดสอบจุดเด่นอีกอย่างของมือถือทั้ง 2 ซีรีส์นี้บ้าง นั่นก็คือเรื่อง หน้าจอ และแบตเตอรี่นั่นเองครับ ว่าจากการใช้งานจริงเนี่ยหากเทียบระหว่าง Galaxy S21 Ultra vs iPhone 12 Pro Max และ Galaxy S21+ vs iPhone 12 Pro แต่ละรุ่นจะเป็นยังไงบ้าง

สำหรับการเปรียบเทียบหน้าจอ และแบตเตอรี่คราวนี้ จะขอเทียบเป็นคู่ ๆ ระหว่างตัวท็อปของซีรีส์อย่าง Galaxy S21 Ultra กับ iPhone 12 Pro Max และรุ่นรองท็อปอย่าง Galaxy S21+ กับ iPhone 12 Pro นะครับ ซึ่งการทดสอบนี้เป็นการทดสอบจากการใช้งานจริงของมือถือทั้ง 4 รุ่น ว่าหน้าจอเป็นยังไงใช้งานกลางแจ้งแล้วชัดเจนรึเปล่า ส่วนแบตเตอรี่ก็จะเป็นการใช้จริงในแต่ละวันเหมือนกัน และมีการทดสอบดูหนังเป็นเวลาเท่ากันด้วย ว่าแต่ละรุ่นกินแบตเตอรี่ไปมากแค่ไหนในระยะเวลาที่เท่ากันครับ

หน้าจอ Galaxy S21 Ultra vs iPhone 12 Pro Max

ประเภทหน้าจอ

เริ่มต้นด้วยหน้าจอของตัวท็อป Galaxy S21 Ultra และ iPhone 12 Pro Max กันก่อนเลย โดยทั้งคู่ใช้หน้าจอพาเนล OLED มีขนาดสูสีกัน S21 Ultra 6.8 นิ้ว / iPhone 12 Pro Max 6.7 นิ้ว แต่หากเทียบทางด้านสเปคแล้ว S21 Ultra จะได้เปรียบกว่า แม้จะใช้พาเนล OLED เหมือนกัน แต่ใช้เทคโนโลยี Dynamic AMOLED 2X ที่มีระบบ LTPO เข้ามาช่วยปรับค่ารีเฟรชเรทตามการใช้งานแบบ Real-time และยังให้สีสันที่สดและสว่างกว่าด้วย (แต่เรื่องสีนี่แล้วแต่คนชอบเนอะ)

ความละเอียด

เรื่องความละเอียดหน้าจอ Galaxy S21 Ultra กินขาดด้วยความละเอียดที่สูงถึง 1440 x 3200 (WQHD+) ในขณะที่ iPhone 12 Pro Max มีความละเอียดที่ 1284 x 2778 แต่สำหรับการใช้งานจริง ๆ เช่นเปิดวิดีโอระดับ 4K จาก YouTube มาเทียบกันก็แทบจะไม่สังเกตเห็นความแตกต่างของความคมชัดเลย ทั้ง 2 รุ่น มีคุณภาพการแสดงผลที่ชัดบาดตาบาดใจทั้งคู่ แต่ถ้าเอามาวางเทียบกันแล้วจะเห็นได้จะ ๆ เลยว่าหน้าจอของ Galaxy S21 Ultra มันสวย คมชัด และให้สีสันที่สดดีจริง ๆ (ต้องดูด้วยตาเปล่านะครับ ใช้กล้องถ่ายแล้วสีมันไม่ตามที่ตาเห็น)

รีเฟรชเรท

แทบจะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของมือถือหลาย ๆ รุ่นในตอนนี้แล้ว ที่จะต้องมากับหน้าจอรีเฟรชเรทสูง ซึ่งตรงนี้ Galaxy S21 Ultra ยังคงเอาไปกินด้วยหน้าจอแบบ Dynamic AMOLED 2X ที่ปรับรีเฟรชเรทอัตโนมัติได้ระหว่าง 10Hz – 120Hz ตามการใช้งาน (เพื่อประหยัดแบตเตอรี่) แน่นอนว่ารีเฟรชเรทยิ่งเยอะ ภาพบนหน้าจอก็จะยิ่งลื่นไหลเนียนตา ไม่ว่าจะเป็นการไถหน้าจอไปมา, การไถ Feed บน Facebook, เวลาเข้าเว็บต่าง ๆ หรือแม้แต่การเล่นเกมที่รองรับมือถือหน้าจอรีเฟรชเรทสูง หากใครที่ได้ลองใช้แล้วจะรู้สึกเลยล่ะ ว่าไม่อยากกลับไปใช้มือถือหน้าจอรีเฟรชเรท 60Hz อีกเลย

สำหรับ iPhone 12 Pro Max ที่ยังคงใช้หน้าจอรีเฟรชเรท 60Hz อยู่ ในการใช้งานจริงก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันหนืดหรือแย่กว่ามือถือจอ 120Hz นะครับ ซึ่งบางคนอาจจะไม่ใส่ใจหรือไม่สังเกตว่ามือถือจะต้องมีหน้าจอรีเฟรชเรทสูงก็ได้ เพราะเอาจริง ๆ มันไม่ได้กระทบกับการใช้งานในชีวิตจริงซักเท่าไหร่ครับ

ความสว่าง

ความสว่างของหน้าจอก็นับเป็นอีกเรื่องสำคัญของมือถือ เพราะการใช้งานกลางแจ้งที่มีแสงแดดจ้า ยิ่งหน้าจอให้ความสว่างได้มากเท่าไหร่ก็จะยิ่งมองเห็นชัดได้มากเท่านั้นนั่นเอง โดย Galaxy S21 Ultra สามารถทำความสว่างได้สูงสุดถึง 1500 nits แต่ความสว่างระดับนั้นจะเอาไว้ใช้เฉพาะตอนเล่นวิดีโอแบบ HDR เท่านั้นนะครับ ส่วนความสว่างสูงสุดที่ระบบจะปรับให้ตอนอยู่กลางแดดจ้าตอนเที่ยง ๆ จะอยู่ที่ 1023 nits ซึ่งก็เรียกว่าสูงมากอยู่ดี ทำให้ไม่มีปัญหามองไม่เห็นจอเวลาใช้งานกลางแจ้ง หรือถ่ายรูปกลางแดดแล้วมองไม่ชัดว่ากล้องโฟกัสหรือยัง

ของ iPhone 12 Pro Max สามารถทำความสว่างสูงสุดได้ที่ 1200 nits ตอนเล่นวิดีโอ HDR ส่วนความสว่างสูงสุดที่ระบบจะปรับให้ตอนใช้งานกลางแดดจัด ๆ อยู่ที่ 800 nits ถึงแม้จะน้อยกว่าทาง Galaxy S21 Ultra กว่า 200 nits แต่ก็เพียงพอในการใช้งานกลางแจ้งได้แบบชัดเจนเช่นกันครับ

ค่า Contrast

ค่า Contrast หรือ Contrat Ratio ของหน้าจอบางคนอาจไม่ค่อยใส่ใจนัก แต่สำหรับสายดูหนังดูคลิปความละเอียดสูง ๆ ภาพสวย ๆ ระดับ HDR จะยิ่งถูกใจมาก เพราะหากหน้าจอมี Contrast Ratio สูงเท่าไหร่ การแสดงผลสีดำก็จะดำสุด ๆ ส่วนการแสดงผลสีขาวก็จะขาวสุด ๆ ซึ่งการแสดงผลของทั้ง 2 สี ถ้ายิ่งตัดกันมากเท่าไหร่ ภาพก็จะยิ่งสวยมีมิติสมจริงมากขึ้นเท่านั้นครับ ซึ่งตรงนี้หน้าจอของ Galaxy S21 Ultra มี Contrast Ratio ที่สูงปรี๊ดถึง 3,000,000 : 1 เลยทีเดียว ในขณะที่ iPhone 12 Pro Max อยู่ที่ 2,000,000 : 1

เซนเซอร์สแกนนิ้วมือ

เทคโนโลยีเซนเซอร์สแกนนิ้วมือใต้หน้าจอเป็นเทคโนโลยีที่สามารถใช้ได้กับหน้าจอพาเนลประเภท OLED อยู่แล้ว ซึ่งมือถือ Galaxy S21 Series ทุกรุ่นมีระบบนี้ให้ใช้ทั้งหมด ที่ยกเอามาบอกก็เพราะว่าช่วงนี้เวลาออกไปข้างนอกบ้านซึ่งต้องใส่หน้ากากเอาไว้ตลอดเวลา ทำให้การปลดล็อคด้วยลายนิ้วมือดูสะดวกขึ้นมาทันที เพราะไม่ต้องคอยถอดหน้ากากออกมาปลดล็อคเครื่องนั่นเองครับ

แบตเตอรี่ Galaxy S21 Ultra vs iPhone 12 Pro Max

อีกเรื่องหลักของการเลือกซื้อมือถือแต่ละครั้งก็คงหนีไม่พ้นแบตเตอรี่นี่แหละ เพราะหากมือถือรุ่นไหนมีสเปคแรง กล้องงาม หน้าจอสวยแต่ดันตกม้าตายเพราะแบตเตอรี่ใช้งานได้ไม่ถึงวันก็ต้องเรียกหาที่ชาร์จกันแล้ว ซึ่งตรงนี้ Galaxy S21 Ultra และ iPhone 12 Pro Max หมดห่วงไปได้เลย เพราะจากการทดลองใช้งานทั่วไป ใส่ซิม 5G ออกไปใช้งานนอกบ้านนิด ๆ หน่อย ๆ เช่นถ่ายรูป ถ่ายวิดีโอ เข้าบ้านมาก็ต่อ WiFi เล่นเน็ต เล่นเกมบ้าง ดูคลิปจาก YouTube บ้าง และมีแชทเข้าอยู่เรื่อย ๆ พบว่าทั้งคู่สามารถอยู่ได้สบาย ๆ ทั้งวัน (S21 Ultra ปรับความละเอียดหน้าจอไว้ที่ระดับ FHD+)

พอเอามาทดสอบด้วยการดูคลิประดับ Full HD จากแอป YouTube เชื่อมต่อกับ WiFi ความสว่างหน้าจอและลำโพงปรับไว้ที่ 50% ทั้งคู่ ดูคลิปเป็นเวลาประมาณ 4 ชม. พบว่าจากแบตเตอรี่ 100% ทาง Galaxy S21 Ultra เหลือแบตเตอรี่อยู่ที่ 73% ส่วน iPhone 12 Pro Max เหลืออยู่มากกว่าที่ 77% (ตอนทดสอบปิดแอปเบื้องหลังไว้ทั้งหมดนะครับ มีแค่ YouTube ทำงานอยู่เท่านั้น) เรียกว่าทางฝั่ง iPhone 12 Pro Max มีการจัดการพลังงานได้ดีกว่าเพราะขนาดมีแบตเตอรี่ที่น้อยกว่าเป็น 1000 mAh (5000 mAh vs 3687 mAh) ยังใช้งานได้ทั้งวันพอ ๆ กับ S21 Ultra

แต่คาดว่าหากใช้งาน Galaxy S21 Ultra ในชีวิตประจำวันแล้วปรับรีเฟรชเรทหน้าจอให้เหลือ 60Hz ตลอดเวลาแล้ว แบตเตอรี่น่าจะใช้ได้ยาวกว่านี้แน่นอน (ส่วนตัวยอมแบตหมดไวแล้วใช้รีเฟรชเรทสูงนะ เพราะมันลื่นสบายตากว่าจริง ๆ)

Galaxy S21 Ultra เหลือ 73% (ซ้าย) / iPhone 12 Pro Max เหลือ 77% (ขวา)

สุดท้ายคือเรื่องการชาร์จแบตเตอรี่ที่ Galaxy S21 Ultra จะได้เปรียบกว่า เพราะรองรับการชาร์จไวที่ 25W สามารถชาร์จแบตเตอรี่ขนาด 5000 mAh จาก 0% – 100% ได้ในเวลาราว 1 ชั่วโมง 30 นาที ส่วนของ iPhone 12 Pro Max รองรับที่ 20W ชาร์จแบตเตอรี่ขนาด 3687 mAh จาก 0% – 100% ได้ในเวลาประมาณ 2 ชม. หน่อย ๆ ครับ

 

หน้าจอ Galaxy S21+ vs iPhone 12 Pro

ประเภทหน้าจอ

ต่อด้วยการเปรียบเทียบระหว่างมือถือรุ่นรองอย่าง Galaxy S21+ และ iPhone 12 Pro กันบ้าง โดยทั้ง 2 รุ่น ยังคงใช้หน้าจอประเภทเดียวกันกับรุ่นพี่อยู่ แต่ขนาดจะลดหลั่นลงมา Galaxy S21+ อยู่ที่ 6.7 นิ้ว และ iPhone 12 Pro หดลงมาเยอะหน่อยอยู่ที่ 6.1 นิ้ว

ความละเอียด

สำหรับความละเอียดหน้าจอของ Galaxy S21+ ถูกลดลงมาเหลือที่ 1080 x 2400 (FHD+) ส่วน iPhone 12 Pro ก็ให้ความละเอียดมามากกว่านิดหน่อยที่ 1170 x 2532 ซึ่งก็ยังเรียกว่าคมชัดบาดตาไม่ต่างกันสำหรับการใช้งานจริงทั้งเล่นเกม ดูหนัง หรือใช้งานอื่น ๆ แต่ก็อีกเช่นเคยที่หน้าจอ AMOLED ของ Galaxy S21+ ให้แสงสีที่สดใสสะใจกว่าแบบเห็นได้ชัดครับ

รีเฟรชเรท

Galaxy S21+ ยังคงใช้หน้าจอแบบ Dynamic AMOLED 2X เหมือนกับรุ่นพี่ ทำให้การเคลื่อนไหวบนหน้าจอสมูทกว่า เนียนกว่าแบบเห็นได้ชัด ส่วน iPhone 12 Pro ก็ใช้หน้าจอรีเฟรชเรท 60Hz เหมือนกับรุ่นพี่ iPhone 12 Pro Max เช่นกันครับ

ความสว่าง

Galaxy S21+ สามารถทำความสว่างได้สูงสุด 1300 nits สำหรับการเล่นวิดีโอแบบ HDR ส่วนความสว่างสูงสุดที่ระบบจะปรับให้ตอนอยู่กลางแดดจะอยู่ที่ 879 nits แม้ว่าจะดูน้อยกว่ารุ่นพี่ S21 Ultra อยู่เกือบ 200 nits แต่จากการใช้งานจริงกลางแจ้ง ก็ยังสามารถมองเห็นได้แบบชัดเจนสบายตาไม่ต้องเพ่งเลย

ส่วนของ iPhone 12 Pro ทำความสว่างหน้าจอสูงสุดได้เท่ากับรุ่นพี่ที่ 1200 nits เวลาเล่นวิดีโอ HDR และความสว่างสูงสุดตอนใช้งานกลางแดดอยู่ที่ 800 nits ซึ่งไม่ต้องห่วงเลยว่าจะมองไม่ชัด หรือจะถ่ายรูปแล้วมองจอไม่เห็นครับ

ค่า Contrast

หน้าจอของ Galaxy S21+ มี Contrast Ratio ที่ลดลงมาจากรุ่นพี่อยู่ที่ 2,000,000 : 1 ซึ่งเท่ากันกับ Contrast Ratio ของ iPhone 12 Pro และ Pro Max ทำให้การดูคลิปดูหนังที่รองรับ HDR มีความสมจริงของสีและให้มิติของภาพที่ดีมาก ๆ ครับ

แบตเตอรี่ Galaxy S21+ vs iPhone 12 Pro

แบตเตอรี่ของ Galaxy S21+ ให้มาน้อยกว่า S21 Ultra ที่ 4800 mAh ส่วนของ iPhone 12 Pro อยู่ที่ 2815 mAh ทดสอบใช้งานจริงทั้งวันเหมือนกับที่ทดสอบกับรุ่นพี่ทั้งคู่ ก็พบว่าสามารถใช้งานได้ทั้งวันสบาย ๆ เช่นกัน และได้ทดสอบเอามาดูคลิปจาก YouTube เชื่อมต่อกับระบบ WiFi เป็นเวลาประมาณ 4 ชม. เปิดแสงสว่างและลำโพงที่ 50% ก็ได้ผลลัพธ์ที่ไม่ต่างกันมาก Galaxy S21+ เหลือแบตเตอรี่ 75% ในขณะที่ iPhone 12 Pro เหลืออยู่ที่ 77% – 78% ครับ

 

สำหรับระบบชาร์จอันนี้ของ Galaxy S21+ ก็ยังได้เปรียบกว่าเพราะรองรับการชาร์จไร้สายได้ 25W ส่วน iPhone 12 Pro ก็รองรับชาร์จไวอยู่ที่ 20W เหมือนรุ่นพี่ครับ

สรุป

ทั้ง Galaxy S21 Ultra, Galaxy S21+, iPhone 12 Pro Max และ iPhone 12 Pro นับว่าเป็นมือถือระดับเรือธงที่มีสเปคอยู่ในระดับไฮเอนด์ทั้งนั้น แต่ละรุ่นก็มีข้อดีข้อด้อยของมันเองอยู่แล้ว แถมยังเป็นมือถือคนละระบบอีกด้วย ซึ่งเราก็ได้เอาสเปคบางส่วนมาเทียบให้ดูเพื่อเป็นข้อมูลช่วยในการตัดสินใจนะครับ ทีนี้ก็อยู่ที่ตัวคนใช้งานแล้วล่ะ…ว่ามือถือรุ่นไหนจะเหมาะกับตัวเราใช้แล้วตรงใจที่สุดครับ