Galaxy S23 FE มือถือตระกูล ‘FE’ จาก Samsung กลับมาอีกครั้งในรอบเกือบ 2 ปี และสามารถดึงดูดความสนใจจากตลาดสมาร์ทโฟนได้ทันทีตั้งแต่เปิดตัว ด้วยสีสันตัวเครื่องสุดจี๊ดจ๊าดที่มีให้เลือกมากถึง 6 สี ประกอบกับการนำเสนอจุดเด่นในแง่ที่ว่า ให้ประสบการณ์การใช้งานเทียบชั้นเรือธง ในราคาที่ถูกกว่าเป็นหมื่นบาท – แต่ในแง่การใช้งานจริงจะเป็นอย่างไร สมกับที่หลายคนรอคอยหรือไม่ สามารถติดตามได้ในบทความนี้

สเปค Samsung Galaxy S23 FE

  • จอภาพ : Dynamic AMOLED 2x ขนาด 6.4 นิ้ว
    – ความละเอียด 1080 x 2340 พิกเซล (FHD+)
    – อัตรารีเฟรช 120Hz (60 / 120Hz)
    – รองรับ HDR10+
    – ความลึกสี 8-bit
  • ชิปเซต : Exynos 2200
  • หน่วยความจำ : RAM 8GB
  • ความจุ : ROM 128 / 256GB
  • กล้องหลัง :
    – กล้องหลัก 50MP (f/1.8), ถ่ายวิดีโอสูงสุด 8K ที่ 24 เฟรมต่อวินาที
    – กล้องอัลตราไวด์ 12MP (f/2.2)
    – กล้องเทเลโฟโต 8MP (f/2.4), ซูมออปติคัล 3 เท่า, ซูมดิจิทัล 30 เท่า
  • กล้องหน้า : 10MP (f/2.4), ไม่รองรับ AF
  • เสียง : ลำโพงสเตอรีโอ, รองรับ Dolby Atmos
  • เครือข่าย : 5G, รองรับ 2 ซิม (nano-SIM)
  • การเชื่อมต่อ :
    – Wi-Fi 802.11a/n/g/n/ac/ax
    – Bluetooth 5.3
    – NFC
  • พอร์ต : USB-C 3.2 Gen 1
  • แบตเตอรี่ : 4500mAh
    – รองรับ Fast Charge 25W
    – รองรับ Fast Wireless Charge 2.0
  • เซนเซอร์ : สแกนลายนิ้วมือ (ใต้หน้าจอ)
  • ความทนทาน : ทนน้ำทนฝุ่นตามมาตรฐาน IP68
  • ความปลอดภัย : Knox, Knox Vault
  • ระบบปฏิบัติการ : One UI 5.1 บนพื้นฐาน Android 13
  • ขนาด : 158 x 76.5 x 8.2 มม.
  • น้ำหนัก 209 กรัม

มือถือตระกูล ‘FE’ จาก Samsung คืออะไร

ย้อนกลับไปตอนปี 2017 ทาง Samsung ได้นำชื่อ ‘FE’ มาใช้ทำตลาดเป็นครั้งแรกใน Galaxy Note 7 FE ซึ่งคำคำนี้ย่อมาจาก ‘Fan Edition’ สื่อถึงความต้องการขอบคุณแฟน ๆ ที่มอบความเชื่อมั่นให้แก่แบรนด์ Samsung เสมอมา โดย Galaxy Note FE มีวางจำหน่ายแค่เฉพาะบางประเทศ (หนึ่งในนั้นคือประเทศไทย) และมีจำนวนจำกัดเพียงไม่กี่แสนเครื่องเท่านั้น

เวลาล่วงเลยไป 3 ปี Samsung นำชื่อ ‘FE’ มาใช้งานอีกครั้งใน Galaxy S20 FE และ Galaxy S20 FE 5G และอีก 2 ปีถัดมาก็คลอด Galaxy S21 FE ตามออกมาอีก ก่อนจะมาถึง Galaxy S23 FE ในปีนี้

แนวทางของมือถือรุ่น ‘FE’ ในปัจจุบัน เป็นไปตามที่เกริ่นไว้ข้างต้น คือ ให้ประสบการณ์การใช้งานระดับเดียวเรือธง ในราคาที่ย่อมเยากว่า โดย Galaxy S23 FE ก็ถูกนับเป็นส่วนหนึ่งของซีรีส์ Galaxy S23 เช่นกัน ในฐานะน้องเล็กสุด

อาจเห็นได้ว่า จากไทม์ไลน์ที่ผ่านมา มือถือรุ่น ‘FE’ นั้นคาดเดาไม่ค่อยได้ บางปีก็มา บางปีก็ไม่มา แต่จากข้อมูลล่าสุดที่ได้รับมา ทาง Samsung ระบุว่า บริษัทจะผลักดัน ‘FE’ ให้เป็นหนึ่งในสินค้าไลน์อัปหลัก โดยจะพยายามให้มีการเปิดตัวอย่างสม่ำเสมอในทุกปี นับแต่นี้เป็นต้นไป ซึ่งไม่นานมานี้ก็มีข่าวลือเกี่ยวกับ Galaxy Z Flip FE และ Galaxy Z Fold FE ด้วย แต่จะจริงหรือไม่ ยังต้องรอติดตาม

ดีไซน์ตัวเครื่อง

นอกเรื่องไปค่อนข้างยาว กลับมาเข้าประเด็นกับ Galaxy S23 FE ที่เป็นพระเอกของเรา เริ่มจากเรื่องดีไซน์กันก่อน Galaxy S23 FE ใช้ดีไซน์ตัวเครื่องแบบเดียวกับ Galaxy S23 ตำแหน่งปุ่มกด ลำโพง และพอร์ตเชื่อมต่อ รวมถึงการจัดวางกล้องหลัง เหมือนกันเป๊ะ แต่มีรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่แตกต่างออกไป คือ กระจกหน้าและกระจกหลัง ล้วนเปลี่ยนมาเป็นแบบเรียบสุดขอบตามเทรนด์ในช่วงนี้แล้ว

ข้อดีประการแรกของความเปลี่ยนแปลงนี้ คือ สามารถติดฟิล์มหรือกระจกกันรอยได้ง่าย และติดได้เต็มพื้นที่เกือบ 100% และประการถัดมา คือ พอหน้าจอแบนสนิทแล้ว บริเวณขอบทั้ง 4 ด้านมันไม่สะท้อนแสงกลับมาแยงตาเหมือนกลุ่มที่ใช้กระจกโค้ง 2.5D ซึ่งอาจสร้างความรำคาญเล็ก ๆ น้อย ๆ ขณะดูหนังหรือเล่นเกม

สำหรับวัสดุที่ใช้ เฟรมเครื่องจะเป็นอะลูมิเนียมอัลลอยด์ผิวด้าน ส่วนกระจกหน้าและกระจกหลังจะเป็นกระจก Gorilla Glass 5 ทั้งคู่ สัมผัสแล้วรู้สึกพรีเมียมอย่างที่ควรจะเป็น และต้องชื่มชมเพิ่มเติมในแง่ของงานประกอบที่ประณีตสุด ๆ แทบจะไม่รู้สึกถึงรอยต่อใด ๆ ระหว่างชิ้นส่วนอย่างสิ้นเชิง

ในประเด็นนี้ มีข้อสังเกตอยู่เรื่องหนึ่ง คือ Galaxy S23 FE มีน้ำหนักตัวเครื่อง 209 กรัม แต่พอมาอยู่ในมือจริง ๆ กลับรู้สึกหนักกว่าที่คิดไว้อย่างน่าประหลาด คอมเมนต์จากทีมงาน DroidSans หลายคนที่ได้ลองจับเครื่องครั้งแรก ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันโดยไม่ได้นัดหมาย (และไม่มีการสปอยล์ก่อน)

เทียบกับสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นที่ขนาดพอ ๆ กัน น้ำหนักพอ ๆ กัน แถมใส่เคส พอถือคู่กับ Galaxy S23 FE ก็ยังดูหนักกว่า ทั้งที่น้ำหนักตัวเครื่องมันก็บาลานซ์ดี ไม่ได้ถ่วงไปด้านไหนเป็นพิเศษ ลองชั่งดูแล้วก็ตาม 209 กรัม ตามที่ระบุ สุดท้ายจึงยังหาคำตอบไม่ได้ว่า เป็นเพราะเหตุใดกันแน่

จอภาพและลำโพง

Galaxy S23 FE มากับจอภาพ Dynamic AMOLED 2x ขนาด 6.4 นิ้ว เป็นไซซ์ตรงกลางระหว่าง Galaxy S23 (6.1 นิ้ว) และ Galaxy S23+ (6.6 นิ้ว) ได้ความละเอียด FHD+ อัตรารีเฟรชสูงสุด 120Hz แบบอะแดปทีฟ สลับอัตโนมัติระหว่าง 60 และ 120Hz เพื่อลดการสิ้นเปลืองพลังงานโดยไม่จำเป็น

ทาง Samsung เล่าว่า นี่คือหน้าจอที่ดีที่สุดเท่าที่จะใส่มาให้ได้ในเรตราคานี้แล้ว ซึ่งจากที่ได้ลองใช้งานก็พบว่าสมราคาคุย ทั้งสีสัน ความเที่ยงตรง ความสว่างสูงสุด ความสว่างต่ำสุด ทุกอย่างทำได้ดีไปหมดไม่ต่างจากมือถือเรือธงเลย

นอกจากนี้ อัตราการสะท้อนกระจกหน้าจอก็ค่อนข้างต่ำ และเกิดรอยนิ้วมือได้ยาก แสดงให้เห็นว่าเคลือบกระจกมาดี แม้ Samsung จะไม่ได้มีการโปรโมตในส่วนนี้ก็ตาม

ทั้งนี้ อาจมีบางคนที่บ่นเรื่องขอบจอหนาไปหน่อย ซึ่งก็หนาจริงหากเทียบกับกลุ่มมือถือพรีเมียมด้วยกัน ถือเป็นจุดอ่อนหลัก ๆ เรื่องเดียวของ Galaxy S23 FE เลย ถ้ารุ่นหน้า Samsung ปรับปรุงในส่วนนี้ได้ คงจะเข้าใกล้คำว่าสมบูรณ์แบบขึ้นอีกมาก ไม่ต้องทำให้บางเฉียบทุกด้านก็ได้ แต่อย่างน้อยก็ควรสมมาตรกันทั้ง 4 ด้านจะดีกว่า

ต่อมา ในแง่ของคุณภาพเสียง Galaxy S23 FE ได้ลำโพงคู่สเตอรีโอ พร้อม Dolby Atmos จากที่ได้ลองฟัง เสียงเบสยังดูขาดแรงปะทะไปบ้าง ไม่ค่อยมีอิมแพกต์ เวลาฟังเพลงอาจรู้สึกไม่ครบรส เหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง แต่ทั้งนี้ก็สามารถชดเชยได้บ้าง โดยการปรับอีควอไลเซอร์จากตัวเครื่อง และถึงอย่างไร ในภาพรวมก็ยังจัดอยู่ในเกณฑ์ดี ไม่ได้แย่แต่อย่างใด เอาไปใช้งานด้านเอนเตอร์เทนเมนต์ไม่ผิดหวัง

กล้องและการถ่ายภาพ

Galaxy S23 FE ใช้ชุดกล้องหลังชุดเดียวกับ Galaxy S23 ประกอบด้วย กล้องหลัก 50MP กล้องอัลตราไวด์ 12MP และกล้องเทเลโฟโต 8MP ซึ่งจนถึงตอนนี้ทุกคนคงได้เห็นประสิทธิภาพกันไปหมดแล้ว Galaxy S23 ถ่ายภาพได้แจ่มแค่ไหน Galaxy S23 FE ก็ทำได้แบบเดียวกันทุกประการ โฟกัสไว ภาพดี สีสวย น่าประทับใจ

กล้องหลัก 50MP ในการใช้งานปกติจะส่งเอาต์พุตเป็นภาพความละเอียด 12MP เกิดจากเทคโนโลยี Tetra Binning ที่รวมพิกเซล 4 จุดเล็ก เป็น 1 จุดใหญ่ ส่งผลให้เซนเซอร์สามารถรับแสงได้ดีขึ้น เก็บไดนามิกเรนจ์ได้กว้างขึ้น และความละเอียด 12MP ก็ถือว่าเพียงพอต่อการใช้งานทั่วไปเหลือเฟือ

แต่หากต้องการเอาต์พุตเต็มความละเอียด 50MP ก็สามารถเลือกปรับเองได้จากในเมนูกล้อง เหมาะสำหรับสถานการณ์ที่ต้องเน้นการเก็บรายละเอียด หรือต้องการนำภาพไปครอปต่อในภายหลัง

ส่วนกล้องเทเลโฟโต ระยะซูมออปติคัลของเลนส์จะอยู่ที่ 3 เท่าจากเลนส์หลัก รองรับ Space Zoom ที่เป็นซูมดิจิทัลสูงสุด 30 เท่า

ระยะหวังผลในการซูมที่ภาพยังดูคมชัดอยู่ จะอยู่ที่ไม่เกิน 20 เท่า ถ้าเป็น 30 เท่า จะเริ่มสังเกตเห็นอาการเหลือบสีบริเวณขอบวัตถุได้ชัดเจนแล้ว

เลนส์ทั้ง 3 ระยะที่ให้มา ถือเป็นระยะที่ถ่ายสนุก เพราะเป็นระยะที่คนทั่วไปใช้งานบ่อย และการประมวลผลภาพหลังถ่ายก็ทำได้อย่างรวดเร็ว จากอานุภาพของหน่วยประมวลผลภาพที่ทรงพลังใน Exynos 2200 หากจะขาดไปก็แต่กล้องมาโคร แต่สามารถชดเชยได้โดยการซูม 3 เท่าด้วยเลนส์หลัก (ซึ่งระบบก็ค่อนข้างฉลาด เวลาไปจ่อวัตถุใกล้ ๆ มันจะสลับเลนส์ให้เอง)

ในขณะที่กล้องหน้ามีความละเอียด 10MP สามารถถ่ายวิดีโอได้ความละเอียดสูงสุด 4K ที่ 60 เฟรมต่อวินาที สามารถเปิดฟังก์ชันกันสั่น EIS ควบคู่ไปด้วยได้หากต้องการ

ตัวอย่างภาพวิดีโอ

ถ่ายที่ 1080p@30 เฟรมต่อวินาที
ถ่ายที่ 8K@24 เฟรมต่อวินาที

ประสิทธิภาพการใช้งานและความร้อน

Exynos 2200 เป็นชิปแรงสุดตอนนี้ของฝั่ง Samsung ผลิตด้วยเทคโนโลยีขนาด 4 นาโนเมตร ประสิทธิภาพโดยรวมเทียบชั้น Snapdragon 8 Gen 1 ของฝั่ง Qualcomm ไฮไลต์คือ ระบบระบายความร้อน Vapor Chamber ที่ใช้โครงสร้างเดียว Galaxy S23+ แต่ปรับปรุงใหม่ ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น 1.5 เท่า และใหญ่กว่า 3.5 เท่าหากเทียบย้อนกลับไปถึง Galaxy S21 FE

จุดเด่นอีกอย่างคือ Exynos 2200 มีตัวถอดรหัส AV1 ระดับฮาร์ดแวร์ในตัว (ที่แม้แต่ Snapdragon 8 Gen 1 และ A16 ของ Apple ยังไม่มี) ตัวถอดรหัสนี้ช่วยลดแบนด์วิดท์ของไฟล์วิดีโอ มีผลทั้ง YouTube, TikTok, Netflix, Instagram และอื่น ๆ ทำให้ตัวเครื่องกินแบตน้อยลงมาก

สำหรับประเด็นเรื่องความร้อน คงเป็นประเด็นใหญ่ที่หลายคนคาใจ จากประสบการณ์ที่ใช้งาน Galaxy S23 FE มาเป็นสัปดาห์ มีเจอปัญหาเรื่องความร้อนแค่ครั้งเดียวตอนเปิดเครื่องใช้งานครั้งแรก ซึ่งต้องมีการดาวน์โหลดและติดตั้งแอปต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก ร่วมกับการที่เครื่องกำลังเซตอัประบบต่าง ๆ ให้พร้อมใช้งานในเบื้องหลัง แต่หลังจากนั้นก็เข้าสู่ภาวะปกติ ไม่เจอว่าเครื่องร้อนอีกเลย (มีอุ่น ๆ บ้าง เป็นเรื่องปกติ แต่ไม่ได้ร้อนจนลวกมือ)

ทดสอบถ่ายรูป ถ่ายวิดีโอ ใช้งานกลางแจ้งต่อเนื่องประมาณ 1 ชั่วโมง ก็ไม่ร้อนอยู่ดี ส่วนตัวยืนยันว่าไม่เจอปัญหา และอีกเรื่องที่ต้องแจ้งให้ทราบคือ ซอฟต์แวร์ของเครื่องที่ใช้ทดสอบ ยังเป็นซอฟต์แวร์ที่ไม่สมบูรณ์ ไม่แน่ว่าซอฟต์แวร์ของเครื่องขายจริงที่เป็นตัวเต็มแล้ว อาจจัดการเรื่องความร้อนได้ดีขึ้นอีก ก็อยู่ในขอบเขตที่เป็นไปได้เหมือนกัน

แบตเตอรี่

Galaxy S23 FE มากับแบตเตอรี่ความจุ 4500mAh รองรับชาร์จไว 25W ชาร์จถึง 50% ในเวลาประมาณ 30 นาที นอกจากนี้ยังรองรับชาร์จไร้สาย Fast Wireless Charge 2.0 และรองรับ Wireless Power Sharing จ่ายไฟไร้สายย้อนกลับให้อุปกรณ์อื่นได้ด้วย เรียกได้ว่าใส่มาครบ ไม่มีกั๊ก

ปกติตัวผู้เขียนจะออกจากบ้านที่แบตเตอรี่ประมาณ 80% ใช้งานจัดเต็มทุกฟังก์ชัน เปิดอัตรารีเฟรช 120Hz ปรับความสว่างหน้าจออัตโนมัติ พร้อม Always On Display แบบเปิดตลอดเวลา ปล่อย Hotspot เป็นบางช่วง รวม ๆ ไม่เกิน 1 ชั่วโมงครึ่ง และเชื่อมต่อ Bluetooth กับหูฟังเกือบตลอดเวลา แบตจะเหลือกลับบ้านตอนค่ำประมาณ 40 – 45% โดยเฉลี่ย และสามารถใช้งานต่อก่อนเข้านอนได้ ตื่นมาจะเหลือประมาณ 15 – 20% เมื่อครบ 24 ชั่วโมง

กรณีใช้งานหนัก ถ่ายรูปรัว ๆ สลับกับถ่ายวิดีโอบ้าง ใช้งานกลางแดด หน้าจอต้องเร่งความสว่างสู้แสง (เงื่อนไขอื่น ๆ ยังเหมือนเดิมกับด้านบน) กรณีนี้ เหลือแบตกลับบ้านประมาณ 10% ปริ่ม ๆ จะไม่รอด แต่สุดท้ายก็รอดหวุดหวิด

สรุปการใช้งานทั่วไป แบตเตอรี่ Galaxy S23 FE อยู่รอดได้ 1 วันแบบไม่มีปัญหา แต่ถ้ารู้ตัวว่าวันไหนต้องใช้งานเยอะเป็นพิเศษ พกเพาเวอร์แบงก์ติดตัวไว้ น่าจะอุ่นใจกว่า

รองรับโหมด DeX ต่อภาพขึ้นมอนิเตอร์หรือพีซีได้โดยตรง

ความดีงามของมือถือ Samsung รุ่นบน ๆ ที่ค่ายอื่นยังสู้ไม่ได้คือ โหมด DeX ที่จะเปลี่ยนอินเทอร์เฟซของมือถือให้กลายเป็นแบบเดสก์ท็อป สามารถส่งภาพขึ้นหน้าจอทีวีหรือมอนิเตอร์ได้ โดย Galaxy S23 FE รองรับโหมด DeX ทั้งแบบผ่านสายและไร้สาย

กรณีเชื่อมต่อผ่านสาย มีตัวเลือก 2 แบบ แบบแรก หากมอนิเตอร์มีช่อง USB-C ก็ใช้สาย USB-C to USB-C ต่อตรงได้เลย แต่ถ้ามีแค่พอร์ต HDMI หรืออื่น ๆ ต้องใช้อะแดปเตอร์แปลงเป็น USB-C อีกที หรืออุปกรณ์จำพวก USB Hub ที่มีช่อง HDMI ก็ใช้งานได้เช่นเดียวกัน (ดูแนะนำ USB-C Hub น่าใช้งานได้ที่นี่ (คลิก))

โหมด DeX รองรับการใช้งานคู่กับเมาส์และคีย์บอร์ดเต็มรูปแบบ และรองรับการทำงานแบบ seamless หากเปิดแอป เว็บ หรือเกมอะไรไว้บนมือถือ แล้วเข้าสู่โหมด DeX สิ่งที่เปิดคาไว้ก็สามารถใช้งานต่อทันที

เราสามารถแบ่งหน้าจอได้สูงสุด 4 หน้าต่าง (ไม่รวมหน้าต่างป๊อปอัปเพิ่มเติม) เล่นเกม ดูหนัง ฟังเพลง ได้ทุกอย่าง มาครบทั้งภาพและเสียง มีประโยชน์มากโดยเฉพาะเวลาเดินทางไปเที่ยวหรือไปทำงานต่างสถานที่ แต่ไม่อยากพกแล็ปท็อปไปให้เกะกะ ก็ใช้แค่ Galaxy S23 FE เครื่องเดียว แทนมินิพีซีได้เลย

นอกจากนี้ โหมด DeX ยังรองรับการเชื่อมต่อกับพีซีระบบ Windows และรองรับการโอนไฟล์ในรูปแบบ drag and drop ใช้เมาส์ลากคลุมไฟล์ที่ต้องการ แล้วโยนข้ามไปมาระหว่างเครื่องได้อย่างรวดเร็ว เป็นอะไรที่สะดวกสุด ๆ

สรุปการใช้งาน

Galaxy S23 FE ดีงามสมการรอคอย คนที่กำลังมองหามือถือเครื่องใหม่ (เครื่องเก่าใช้งานมา 3 ปี หรือนานกว่านั้น) หรือคนที่ใช้มือถือ Samsung ซีรีส์ Galaxy A อยู่แล้ว อยากลองขยับมาเป็นซีรีส์ Galaxy S แต่ไม่อยากจ่ายแพงเท่าตัวท็อป เจ้า Galaxy S23 FE รุ่นนี้ น่าจะเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี หน้าจอดี ลำโพงดี กล้องดี ซอฟต์แวร์ดี พร้อมการันตีอัปเดตระบบปฏิบัติการขั้นต่ำ 4 ปี ใช้งานต่อได้อีกยาว ๆ

จุดเด่น

  • ได้ประสบการณ์การใช้งานระดับเดียวเรือธง ในราคาที่ย่อมเยากว่า
  • ชิปเซตยังจัดว่าแรงมากอยู่ ไม่ได้ด้อยไปกว่าชิปเซตรุ่นใหม่อย่างมีนัยสำคัญ (ยกเว้นตอนเล่นเกมกราฟิกหนัก ๆ เช่น Genshin Impact)
  • กล้องหลังที่ให้มา 3 เลนส์ ถ่ายสนุกทุกระยะ
  • วัสดุและงานประกอบพรีเมียม
  • ตัวเครื่องมีให้เลือกมากถึง 6 สี
  • ซอฟต์แวร์มีมาตรฐาน ใช้งานง่าย และอัปเดตได้นาน
  • มีศูนย์บริการหลังการขายรองรับครอบคลุมทั่วประเทศ
  • รองรับแอปและฟีเจอร์เด็ด ๆ ที่เป็นเอกซ์คลูซีฟของ Samsung เช่น DeX, Good Lock และ One Hand Operation +

จุดสังเกต

  • ขอบหน้าจอค่อนข้างหนา
  • ตัวเครื่องให้ความรู้สึกหนักอย่างน่าประหลาด (เมื่อเทียบกับรุ่นอื่นที่มีน้ำหนักใกล้เคียงกัน)

ราคาและการจำหน่าย

สำหรับสีตัวเครื่องที่มีให้เลือก แบ่งเป็นสีที่มีวางขายทั่วไป 4 สี คือ Cream, Graphite, Mint และ Purple และสีที่เป็นเอกซ์คลูซีฟเฉพาะช่องทางออนไลน์ผ่าน Samsung Online Shop อีก 2 สี คือ Indigo และ Tangerine รวมมี 6 สี และแบ่งเป็นโมเดลย่อย ตามความจุ ดังนี้

  • รุ่น RAM 8 + 128GB : ราคา 22,900 บาท
  • รุ่น RAM 8 + 256GB : ราคา 25,900 บาท

ในช่วงเปิดตัว มีโปรโมชันจากทาง Samsung

  • อัปเกรดความจุเป็นสองเท่า สามารถซื้อรุ่น RAM 8 + 256GB ได้ในราคา 22,900 บาท
  • รับส่วนลดสูงสุด 30% เมื่อซื้อคู่กับ Galaxy Watch 6 และ Galaxy Buds FE
  • แถมฟรี Soundbar เมื่อซื้อตัวเครื่องสีพิเศษ Indigo และ Tangerine และชำระด้วยบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ

สินค้าพร้อมวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการวันที่ 20 ตุลาคม 2023 ที่ Samsung Online Store, Samsung Experience Store และร้านค้าตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ

อนึ่ง ขอแนะนำทิ้งท้ายเพิ่มเติมอีกเล็กน้อยว่า Galaxy Buds FE รอบนี้ก็ทำออกมาได้น่าสนใจไม่แพ้กัน เห็นตัวจิ๋ว ๆ แบบนี้ แต่คุณภาพเสียงเกินขนาดตัวไปมาก เพื่อน ๆ คนไหนอยากได้หูฟังไร้สายดี ๆ ไปใช้งาน ก็แนะนำให้ซื้อคู่กับ Galaxy S23 FE ไปเลย เพราะในช่วงโปรโมชันจะได้ส่วนลด 30% จากราคาปกติ 3,390 บาท

ดูข้อมูลเพิ่มเติม : Samsung