Galaxy S23 FE มือถือรุ่นใหม่กระแสแรงจาก Samsung เปิดตัวมาพร้อมจุดขายในแง่ที่ว่า ให้ประสบการณ์การใช้งานระดับเดียวกับเรือธง ในราคาที่ย่อมเยากว่า โดยมีราคาเริ่มต้น 22,900 บาท ทำให้เกิดคำถามน่าสนใจว่า แล้วจะเป็นอย่างไรหากนำ Galaxy S23 FE มาชนกับ iPhone 15 Plus ที่เป็นเรือธงซีรีส์มาตรฐานของ Apple ราคาเริ่มต้น 37,900 บาท ซึ่งทั้งคู่ดูจะมีฮาร์ดแวร์และคุณสมบัติหลาย ๆ ด้านที่พอฟัดพอเหวี่ยงกัน แถมเครื่องที่ DroidSans ได้มายังเป็นสีเขียวคล้าย ๆ กันอีก

Galaxy S23 FEiPhone 15 Plus
จอภาพประเภทDynamic AMOLED 2xSuper Retina XDR
ขนาด6.4 นิ้ว6.7 นิ้ว
ความละเอียด1080 x 2340 พิกเซล1290 x 2796 พิกเซล
ความหนาแน่น403 ppi460 ppi
อัตรารีเฟรช120Hz (60 / 120Hz)60Hz
ความสว่างสูงสุด1,450 นิต1,600 นิต
แพลตฟอร์มชิปเซตExynos 2200A16 Bionic
หน่วยความจำ8GB6GB
ความจุ128 / 256GB128GB / 256GB / 512GB
ระบบปฏิบัติการOne UI 5.1 บนพื้นฐาน Android 13iOS 17
กล้องกล้องหลัก50MP (f/1.8)
ระบบกันสั่น OIS
ถ่ายวิดีโอสูงสุด 8K ที่ 24 เฟรมต่อวินาที
48MP (f/1.6)
ระบบกันสั่น Sensor-shift
ซูมดิจิทัลสูงสุด 10 เท่า
ถ่ายวิดีโอสูงสุด 4K ที่ 60 เฟรมต่อวินาที
กล้องอัลตราไวด์12MP (f/2.2), มุมกว้าง 123 องศา12MP (f/2.4), มุมกว้าง 120 องศา
กล้องเทเลโฟโต8MP (f/2.4)
ซูมออปติคัล 3 เท่า
ซูมดิจิทัล 30 เท่า
กล้องหน้า10MP (f/2.4)12MP (f/1.9)
ระบบโฟกัส Focus Pixels
เสียงลำโพงลำโพงสเตอรีโอลำโพงสเตอรีโอ
เครือข่ายเทคโนโลยี5G5G
ซิมรองรับ nano-SIM + nano-SIMรองรับ nano-SIM
รองรับ e-SIM
การเชื่อมต่อWi-Fi802.11a/n/g/n/ac/ax802.11a/n/g/n/ac/ax
Bluetooth5.35.3
NFCรองรับรองรับ
UWBรองรับ
พอร์ตUSB-C 3.2 Gen 1USB-C 2.0
แบตเตอรี่ความจุ4500mAh4383mAh
การชาร์จชาร์จไว 25W
ชาร์จไร้สาย Fast Wireless Charge 2.0
ชาร์จไว 50% ใน 30 นาที
ชาร์จไร้สาย MagSafe
ตัวเครื่องวัสดุกระจกหน้า Gorilla Glass 5
กระจกหลัง Gorilla Glass 5
เฟรมอะลูมิเนียม
กระจกหน้า Ceramic Shield
กระจกหลัง
เฟรมอะลูมิเนียม
ขนาด158 x 76.5 x 8.2 มม.160.9 x 77.8 x 7.8 มม.
น้ำหนัก209 กรัม201 กรัม
เปรียบเทียบสเปค Samsung Galaxy S23 FE และ iPhone 15 Plus

วัสดุตัวเครื่อง และการจับถือ

Galaxy S23 FE และ iPhone 15 Plus ใช้วัสดุประเภทเดียวกัน คือ เฟรมเครื่องอะลูมิเนียมอัลลอยด์ ประกบด้วยกระจกทั้งสองด้าน น้ำหนักตัวเครื่องค่อนข้างใกล้เคียงกันที่ 209 และ 201 กรัม ตามลำดับ งานประกอบทำได้เรียบร้อยไม่มีข้อตำหนิทั้งคู่ แต่มีจุดแตกต่างอยู่บ้านตรงที่ Galaxy S23 FE เลือกใช้กระจกผิวมันธรรมดา ส่วน iPhone 15 Plus เป็นกระจกเคลือบด้าน

แต่ทั้งนี้ โดยส่วนตัวแล้วมีจุดที่อยากให้ Galaxy S23 FE ปรับปรุงนิดหน่อย ตรงบริเวณรอยตัดของขอบอะลูมิเนียมที่ยังคมบาดมือ เหมือน iPhone รุ่นก่อน ๆ เป๊ะ ในขณะที่ Apple แก้ไขปัญหานี้แล้วใน iPhone 15 Plus โดยการปรับให้มีความโค้งมนเล็กน้อย เวลาจับถือจึงรู้สึกเข้ามือกว่า

จอภาพและการแสดงผล

Galaxy S23 FE มากับจอภาพ Dynamic AMOLED 2x ขนาด 6.4 นิ้ว ความหนาแน่น 403 ppi อัตรารีเฟรชสูงสุด 120Hz ในขณะที่ iPhone 15 Plus มากับจอภาพ Super Retina XDR ขนาด 6.7 นิ้ว สัดส่วนยาวขึ้นมาอีกนิดหน่อย แต่ความกว้างพอ ๆ กัน ความหนาแน่น 460 ppi และอัตรารีเฟรช 60Hz คงที่

แน่นอนว่า Galaxy S23 FE ชนะขาดลอยตรงอัตรารีเฟรชที่สูงกว่า iPhone 15 Plus สองเท่า ส่วน iPhone 15 Plus ที่ดูเหมือนจะตีตื้นกลับมาได้ตรงความสูงสุด 1,600 นิต แต่…การใช้งานจริงในสภาพแสงกลางแจ้ง หน้าจอ iPhone 15 Plus กลับปรับลดความสว่างลงอย่างรวดเร็ว จนไป ๆ มา ๆ ความสว่างสูงสุด 1,450 นิตของ Galaxy S23 FE สู้แสงได้ดีกว่าซะงั้นไป สรุปภาพรวมเรื่องหน้าจอ Galaxy S23 FE น่าประทับใจกว่าพอสมควร

ลำโพงและเสียง

ตามที่ได้รีวิวไว้ก่อนหน้านี้ว่า ลำโพง Galaxy S23 FE เสียงเบสไม่ค่อยมา อิมแพกต์น้อย เวลาฟังเพลงอาจรู้สึกไม่ครบรส เหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง แม้ในภาพรวมจะไม่ได้แย่ แต่ก็ต้องยอมรับว่า iPhone 15 Plus ทำได้ดีกว่า เบสทุ้ม นุ่มลึก เสียงอิ่มเอมมีมิติ สมดุลในทุกย่าน

กล้อง การถ่ายภาพ และวิดีโอ

Galaxy S23 FE ได้ชุดกล้องหลัง 3 ตัว แบบเดียวกับที่อยู่บน Galaxy S23 ประกอบด้วย กล้องหลัก 50MP กล้องอัลตราไวด์ 12MP และมีกล้องเทเลโฟโต 8MP ระยะซูมออปติคัล 3 เท่าจากเลนส์หลัก และซูมดิจิทัลได้สูงสุด 30 เท่า ทำให้ได้เปรียบในแง่ของการซูมอย่างมหาศาลเมื่อเทียบกับ iPhone 15 Plus ที่มีกล้องเพียง 2 ตัว คือ กล้องหลัก 48MP และกล้องอัลตราไวด์ 8MP สามารถซูมไกลสุดได้แค่ 10 เท่า ระยะการถ่ายภาพจึงมีจำกัดกว่า

ทั้งคู่ใช้เทคโนโลยี pixel binning แบบ 4-in-1 รวมพิกเซล 4 จุดเล็กเป็น 1 จุดใหญ่ เพื่อประสิทธิภาพในการเก็บแสงและสีที่ดีขึ้น โดย Galaxy S23 FE จะได้เอาต์พุตความละเอียดอยู่ที่ 12MP ส่วน iPhone 15 Plus ทาง Apple ได้พัฒนาเทคโนโลยีนี้เพิ่มเติมคือ เก็บภาพเต็มความละเอียดเซนเซอร์ 48MP ควบคู่ไปด้วย แล้วนำมาประมวลผลร่วมกันระหว่างกระบวนการ image fusion ทำให้ได้ความละเอียดภาพเป็น 24MP สามารถขยายได้มากกว่าเดิมโดยไม่สูญเสียคุณภาพ เรียกได้ว่า แลกกันไปคนละหมัด

ทว่า iPhone 15 Plus ยังคงมีปัญหาเรื่องสมดุลสีขาวหรือไวท์บาลานซ์ไม่ต่างจาก iPhone หลายรุ่นก่อนหน้านี้ สภาพแสงในร่มถ่ายออกมาติดเหลืองไปซะ 9 ใน 10 รูป แถมการถ่ายภาพมาโครดอกไม้ก็เพี้ยนหนักจนคาดหวังอะไรไม่ได้ ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดายมาก เพราะคุณภาพด้านอื่นไม่ได้แย่เลย

ตัวอย่างภาพจากกล้อง Galaxy S23 FE

ตัวอย่างภาพจากกล้อง iPhone 15 Plus

ตัวอย่างวิดีโอจากกล้อง Galaxy S23 FE

ตัวอย่างวิดีโอจากกล้อง iPhone 15 Plus

สรุปการใช้งานกล้อง Galaxy S23 FE

  • ถ่ายสนุก ระยะเลนส์ครอบคลุมทุกระยะ
  • ไดนามิกเรนจ์ภาพนิ่งกว้างกว่าในบางสถานการณ์
  • มีโหมดโปร สำหรับถ่ายภาพหรือวิดีโอแบบแมนนวลให้ใช้งาน
  • ถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงสุด 8K ที่ 24 เฟรมต่อวินาที
  • แต่หากถ่าย 8K จะเจอปัญหาภาพสั่นตามจังหวะเดิน ในขณะที่ 4K ไม่ค่อยเป็น (การถ่าย 8K จึงกลายเป็นทั้งข้อดีและข้อเสีย)

สรุปการใช้งานกล้อง iPhone 15 Plus

  • ได้เอาต์พุต 24MP ที่เก็บรายละเอียดได้มากกว่า
  • ไดนามิกเรนจ์ภาพวิดีโอกว้างกว่าในบางสถานการณ์
  • งานวิดีโอมีคุณภาพ ทั้งระบบโฟกัส ระบบกันสั่น และการปรับระดับแสงอัตโนมัติ
  • ความหน่วงชัตเตอร์ต่ำกว่า กดถ่ายแล้วบันทึกรูปแทบจะทันที (ห่างกันไม่เกิน 0.5 วินาที หลัก ๆ จะมีผลกับการถ่ายวัตถุที่กำลังเคลื่อนไหวหรือเคลื่อนที่)
  • ยังพบปัญหาเรื่องแสงแฟลร์สะท้อนหน้าเลนส์อยู่บ้าง
  • ภาพติดเหลืองในหลายสถานการณ์ โดยเฉพาะสภาพแสงในร่ม
  • สมดุลสีขาวคาดหวังไม่ค่อยได้ นึกจะเพี้ยนก็เพี้ยนเลย
  • เวลาซูมดิจิทัลที่ระยะไกล ๆ จะพบปัญหา image fusion บ่อยมาก เหมือนภาพซ้อนกันไม่สนิท ยิ่งถ้ามีพวกตัวอักษรหรือข้อความในเฟรม ยิ่งสังเกตได้ชัดเจน (ดูจากภาพป้ายห้างฯ สีเขียวเป็นตัวอย่าง)

ซอฟต์แวร์และการอัปเดต

Samsung ประกาศกรอบเวลาสนับสนุนการอัปเดตซอฟต์แวร์ Galaxy S23 FE ขั้นต่ำ 5 ปี แบ่งเป็นฝั่งระบบปฏิบัติการ 4 ปี และฝั่งความปลอดภัย 5 ปี ส่วน iPhone 15 Plus ทาง Apple ไม่เคยระบุกรอบเวลาที่ชัดเจน แต่อ้างอิงจาก iOS 17 ที่มาในปีนี้ รุ่นที่ใหม่ที่สุดที่ไปต่อไม่ได้แล้วคือ iPhone X ที่เปิดตัวมาพร้อม iOS 11 โดยอัปเดตได้ถึง iOS 16 รวม 5 เวอร์ชัน เหนือกว่า Samsung เล็กน้อย แต่โดยทั่วไป Apple มักให้แพตช์ความปลอดภัยที่นานกว่า

แต่ข้อพิจารณาสำคัญคือ Galaxy S23 FE ใช้ระบบ Android และ iPhone 15 Plus ใช้ระบบ iOS ซึ่งยังมีความแตกต่างอยู่หลาย ๆ จุด หากลงลึกในรายละเอียด

ยกตัวอย่างเช่น Galaxy S23 FE รองรับการปรับแต่งตัวเครื่องอย่างยืดหยุ่น มีคุณสมบัติด้านมัลติทาสกิงที่ดีกว่า เปิดแอปพร้อมกันสูงสุด 3 หน้าต่าง เสียบสายต่อออกมอนิเตอร์ ใช้งานในโหมดเดสก์ท็อปแบบมินิพีซีก็ทำได้ ความเข้ากันได้กับอุปกรณ์เสริมและไฟล์ประเภทต่าง ๆ ก็เป็นสากลกว่า

ทางด้าน iPhone 15 Plus เองก็มีจุดขายในแง่ความลื่นไหลของระบบปฏิบัติการ การออกแบบอินเทอร์เฟซของทั้งระบบที่ดูเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และความแข็งแกร่งของ ecosystem ของ Apple ที่ทุกอย่างทำงานร่วมกันได้แบบแทบจะไร้รอยต่ออย่างสิ้นเชิง ถ้าดูจากหัวข้อนี้เพียงอย่างเดียว คงเป็นการยากที่จะตัดสินใจ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความชอบและความถนัดของผู้ใช้งานแต่ละคน

ประสิทธิภาพและการใช้งาน

Galaxy S23 FE ขับเคลื่อนด้วย Exynos 2200 เป็นชิปเซตตัวท็อปสุดของฝั่ง Samsung ในปัจจุบัน ประสิทธิภาพเทียบเคียง Snapdragon 8 Gen 1 ซึ่งหลายคนคงทราบดีว่า A16 Bionic ใน iPhone 15 Plus นั้นทรงพลังกว่า โดยเฉพาะจีพียู ชี้ชัดด้วยผลทดสอบประสิทธิภาพที่ชนะทั้ง Geekbench 6 และ 3DMark

สรุปผลทดสอบประสิทธิภาพ Galaxy S23 FE

  • Benchmark
    – ซีพียู 1578 / 3818 คะแนน (single-core / multi-core)
    – จีพียู 8732 คะแนน
  • 3DMark (ทดสอบในโหมด Wild Life Extreme Stress)
    – คะแนนต่อรอบสูงสุด 1939 คะแนน
    – คะแนนต่อรอบต่ำสุด 1383 คะแนน
    – ความเสถียร 71.3%
    – ใช้แบตเตอรี่ไป 12%

สรุปผลทดสอบประสิทธิภาพ iPhone 15 Plus

  • Benchmark
    – ซีพียู 2542 / 6348 คะแนน (single-core / multi-core)
    – จีพียู 23011 คะแนน
  • 3DMark (ทดสอบในโหมด Wild Life Extreme Stress)
    – คะแนนต่อรอบสูงสุด 2942 คะแนน
    – คะแนนต่อรอบต่ำสุด 1873 คะแนน
    – ความเสถียร 63.7%
    – ใช้แบตเตอรี่ไป 25%

หากจะมีเรื่องที่ Galaxy S23 FE พอจะตีตื้นกลับมาได้ คงเป็นเรื่องของ RAM ขนาด 8GB และซีพียูแบบ 8-core เหนือกว่า iPhone 15 Plus อยู่ 2GB และ 2-core ตามลำดับ

อย่างไรก็ดี สำหรับการใช้งานทั่ว ๆ ไป เช่น ฟังเพลง ดูหนัง พิมพ์เอกสาร และท่องเว็บ ชิปเซตทั้งสองรุ่นไม่ได้แสดงความแตกต่างอะไรอย่างมีนัยสำคัญ แต่จะเริ่มเห็นผลตอนที่เล่นเกมกราฟิกหนัก ๆ ซึ่ง iPhone 15 Plus สามารถเล่นได้ลื่นไหลกว่า

สเปค Samsung Galaxy S23 FE

  • จอภาพ : Dynamic AMOLED 2x ขนาด 6.4 นิ้ว
    – ความละเอียด 1080 x 2340 พิกเซล
    – ความหนาแน่น 403 ppi
    – อัตรารีเฟรช 120Hz (60 / 120Hz)
    – รองรับ HDR10+
    – ความลึกสี 8-bit
    – ความสว่างสูงสุด 1,450 นิต
  • ชิปเซต : Exynos 2200
  • หน่วยความจำ : RAM 8GB
  • ความจุ : ROM 128 / 256GB
  • กล้องหลัง :
    – กล้องหลัก 50MP (f/1.8), ระบบกันสั่น OIS, ถ่ายวิดีโอสูงสุด 8K ที่ 24 เฟรมต่อวินาที
    – กล้องอัลตราไวด์ 12MP (f/2.2), มุมกว้าง 120 องศา
    – กล้องเทเลโฟโต 8MP (f/2.4), ซูมออปติคัล 3 เท่า, ซูมดิจิทัล 30 เท่า
  • กล้องหน้า : 10MP (f/2.4), ไม่รองรับ AF
  • เสียง : ลำโพงสเตอรีโอ, รองรับ Dolby Atmos
  • เครือข่าย : 5G, รองรับ 2 ซิม (nano-SIM)
  • การเชื่อมต่อ :
    – Wi-Fi 802.11a/n/g/n/ac/ax
    – Bluetooth 5.3
    – NFC
  • พอร์ต : USB-C 3.2 Gen 1
  • แบตเตอรี่ : 4500mAh
    – รองรับ Fast Charge 25W
    – รองรับ Fast Wireless Charge 2.0
  • เซนเซอร์ : สแกนลายนิ้วมือ (ใต้หน้าจอ)
  • ความทนทาน : ทนน้ำทนฝุ่นตามมาตรฐาน IP68
  • ความปลอดภัย : Knox, Knox Vault
  • ระบบปฏิบัติการ : One UI 5.1 บนพื้นฐาน Android 13
  • วัสดุ :
    – กระจกหน้า Gorilla Glass 5
    – กระจกหลัง Gorilla Glass 5
    – เฟรมอะลูมิเนียม
  • ขนาด : 158 x 76.5 x 8.2 มม.
  • น้ำหนัก 209 กรัม

สเปค iPhone 15 Plus

  • จอภาพ : Super Retina XDR ขนาด 6.7 นิ้ว
    – ความละเอียด 1290 x 2796 พิกเซล
    – ความหนาแน่น 460 ppi
    – รองรับ HDR
    – รองรับ True Tone
    – ความสว่างสูงสุด 1,600 นิต
    – ความสว่างสูงสุดกลางแจ้ง 2,000 นิต
  • ชิปเซต : A16 Bionic
  • หน่วยความจำ : RAM 6GB
  • ความจุ : 128GB / 256GB / 512GB
  • กล้องหลัง : กระจกแซฟไฟร์
    – กล้องหลัก 48MP (f/1.6), ระบบกันสั่น Sensor-shift, ซูมดิจิทัลสูงสุด 10 เท่า, ถ่ายวิดีโอสูงสุด 4K ที่ 60 เฟรมต่อวินาที
    – กล้องอัลตราไวด์ 12MP (f/2.4), มุมกว้าง 120 องศา
  • กล้องหน้า : TrueDepth 12MP (f/1.9), ระบบโฟกัส Focus Pixels
  • เสียง : ลำโพงสเตอรีโอ
  • เครือข่าย : 5G
  • การเชื่อมต่อ :
    – Wi-Fi 802.11a/b/g/n/ac/ax
    – Bluetooth 5.3
    – NFC
    – Ultra Wideband รุ่นที่ 2
  • พอร์ต : USB Type-C 2.0
    – รองรับ DisplayPort
  • แบตเตอรี่ : 4383mAh
    – รองรับชาร์จไร้สาย MagSafe
  • เซนเซอร์ : สแกนใบหน้า Fade ID
  • ความทนทาน : ทนน้ำทนฝุ่นตามมาตรฐาน IP68
  • ความปลอดภัย :
    – SOS ฉุกเฉินผ่านดาวเทียม
    – ตรวจจับการชน
  • ระบบปฏิบัติการ : iOS 17
  • วัสดุ :
    – กระจกหน้า Ceramic Shield
    – กระจกหลัง
    – เฟรมอะลูมิเนียม
  • ขนาด : 160.9 x 77.8 x 7.8 มม.
  • น้ำหนัก : 201 กรัม

สรุปการเปรียบเทียบ

อาจเห็นได้ว่า ทั้งสองรุ่นต่างผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะในแต่ละหัวข้อ Galaxy S23 FE ได้หน้าจอดีกว่า กล้องครบระยะกว่า ถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงกว่า เก่งเรื่องมัลติทาสกิง ในขณะที่ iPhone 15 Plus ได้ระบบปฏิบัติการที่มีความลื่นไหล ชิปเซตที่เร็วแรง มีสินค้าใน ecosystem เดียวกันรองรับครบวงจร ทั้งสองรุ่นถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอย่างมากสำหรับคนที่กำลังมองหามือถือเครื่องใหม่ในเวลานี้

แต่ทั้งหมดทั้งมวลจากการเปรียบเทียบข้างต้น ก็ต้องไม่ลืมว่า Galaxy S23 FE มีราคาถูกว่า iPhone 15 Plus อยู่ถึง 15,000 – 28,000 บาท (แล้วแต่ความจุ) ยังไม่รวมส่วนลดและโปรโมชันต่าง ๆ อีก ซึ่งปัจจัยเรื่องราคาอาจเป็นปัจจัยสำคัญลำดับต้น ๆ ของหลาย ๆ คน และอาจเป็นจุดชี้ขาดในการเลือกซื้อได้เลยทีเดียว

ราคา Galaxy S23 FE

  • ความจุ 128GB : ราคา 22,900 บาท
  • ความจุ 256GB : ราคา 25,900 บาท

ราคา iPhone 15 Plus

  • ความจุ 128GB : ราคา 37,900 บาท
  • ความจุ 256GB : ราคา 41,900 บาท
  • ความจุ 512GB : ราคา 50,900 บาท