เมื่อสัปดาห์ที่แล้วผมไปซื้อ Sony SmartBand (SWR10) มาจากสิงคโปร์ และได้ทดลองใช้งานมาเกือบสัปดาห์แล้ว มาวันนี้ Sony SmartBand วางขายในบ้านเราเรียบร้อยด้วยราคา 3,490 บาท และเห็นมีเพื่อนๆ สนใจกันหลายคน เลยมารีวิวให้ได้อ่านกัน เผื่อเพื่อนๆ หลายคนกำลังจะตัดสินใจซื้อ จะได้รู้ว่ามันสามารถใช้ทำอะไรได้บ้าง

Sony SmartBand นั้นเป็น actitivity tracker ครับ ใช้สำหรับนับก้าวเดิน หรือการเคลื่อนไหว รวมถึงตรวจสอบการนอนของเราว่าหลับตื้นหลับลึกแค่ไหน ซึ่งต้องใช้งานร่วมกับแอพ Lifelog ของทาง Sony

บอกไว้ก่อนว่าตัวแอพ Lifelog นั้นสามารถโหลดได้ฟรี และเราสามารถใช้งานได้ แม้ไม่มี SmartBand นะครับ เพราะฉะนั้นใครที่อยากจะเล่นแค่ Lifelog แล้วไม่อยากซื้อ SmartBand ก็ได้ ตัวแอพสามารถทำงานและเก็บข้อมูลของเราในแต่ละวันได้ จะขาดก็แค่การนับก้าวเดิน การเผาผลาญแคลอรี่ และการตรวจสอบเวลานอนเท่านั้นเอง

อะ.. มาต่อกันดีกว่า

บนกล่องของ SmartBand นั้นบอกว่าของในกล่องมีอะไรบ้าง รวมถึงรายละเอียดของว่าตัวเครื่องนั้นได้มาตรฐาน IP58 กันน้ำกันฝุ่นได้ มี NFC ไว้ใช้ในการแพร์กับสมาร์ทโฟน ส่วนการรับส่งข้อมูลนั้นใช้ bluetooth ในการซิงค์เอาข้อมูลลงไปในแอพ และชาร์จแบตผ่านสาย Micro USB

 

ด้านหลังกล่องก็จะบอกว่าต้องใช้งานร่วมกับแอพ ตัวสายนั้นมีหลากสีให้เลือกซื้อ แต่ตอนนี้บ้านเรามีขายแค่สีเดียว 

 

แกะกล่อง แกะกล่อง ในกล่องตัวเครื่องกับสายจะแยกกันครับ เรียกว่าโชว์ของให้ครบซะก่อน ว่ามันมีอะไรบ้าง 

 

นอกจากสา่ย SmartBand เส้นใหญ่ด้านนอกแล้ว ข้างในยังมีเส้นเล็กมาให้อีก 1 เส้น แล้วก็มีสาย Micro USB สั้นๆ แถมมาไว้ให้ชาร์จแบตด้วย แต่ไม่มีหม้อแปลงมาให้นะ

 

ตัวเครื่องมันเล็กมาก มีแค่ช่องเสียบ Micro USB, ปุ่มกด, และไฟ LED แสดงสถานะ 3 ดวง 

 

ปุ่ม LED มี 3 ดวง เวลาที่เราชา์จแบตไฟดวงแรกจะกระพริบ หากแบตเต็มไฟก็จะสว่างค้างไม่กระพริบ ส่วนการเช็คแบตเตอรี่ว่าเหลือเท่าไหร่ต้องไปดูในแอพ นอกจากนี้ยังใช้แสดงสถานะของตัวเครื่องครับ ว่ามันอยู่ในโหมดกลางวัน (Day Mode) หรือกลางคืน (Night Mode)

 

พอเลือกวัดสายกับข้อมือของเราได้แล้ว ว่าจะใช้เส้นเล็กหรือเส้นใหญ่ ก็จัดการเอา Smartband มายัดลงไปซะ การใส่ที่ถูกวิธีคือดูตำแหน่ง ของปุ่มกดบนเครื่องกับสายให้อยู่ด้านเดียวกันครับ


ส่วนบนมือถือของเรานั้นก็ต้องไปโหลดเอาแอพมาติดตั้งก่อน ซึ่งการจะเชื่อมต่อและใช้งานกับ SmartBand ได้นั้นเราต้องมีแอพ

 – Lifelog แอพหลักตัวนี้ เอาไว้ใช้บันทึกเรื่องราวชีวิตของเราในแต่ละวัน 

 – Smart Connect เอาไว้เชื่อมต่อและตั้งค่าอุปกรณ์ของ Sony

 – SmartBand SWR10 เป็น Plugin ของ Smart Connect อีกที เอาไว้ใช้ตั้งค่าต่างๆ ของ SmartBand

 

หลังจากโหลดทั้ง 3 แอพลงบนเครื่องเรียบร้อย ก็จัดการกดปุ่มที่ SmartBand ไว้แป้บนึง มันก็จะสั่นและเข้าสู่ pairing mode โดยอัตโนมัติ หลังจากนั้นเราก็เอาตัวเครื่องมาแปะให้ตรงกับตำแหน่ง NFC บน smartphone ของเรา มันก็จะเริ่มจับคู่กันแล้ว

ในการรีวิวครั้งนี้ผมใช้ HTC One M8 ในการเชื่อมต่อ เพื่อเป็นการยืนยันว่า SmartBand สามารถใช้กับ Android ยี่ห้อไหนก็ได้ ไม่ใช่เฉพาะของ Sony ครับ 

 

Play video  

 

หลังจากเชื่อมต่อได้แล้ว ก็มีการอัพเดท firmware ของ SmartBand ก่อนเลย เสร็จแล้วก็จะมีส่วนของการตั้งค่า SmartBand ให้เราเลือกปรับตามใจชอบ

  • Auto night mode ให้เราเลือกช่วงเวลาการเข้าสู่โหมดกลางคืนและกลับสู่โหมดกลางวันครับ โดยโหมดกลางวันตัว SmartBand มันจะสั่นเมื่อมีสายเข้า ส่วนโหมดกลางคืนมันจะไม่สั่น และจะเริ่มตรวจจับการนอนของเรา และจะสั่นปลุกตอนเช้าตามช่วงเวลาที่เรากำหนดเอาไว้
  • Notification เลือกให้มีการเตือนเวลามีข้อความเข้ามาที่มือถือ
  • Smart Wakeup เลือกช่วงเวลาที SmartBand จะสั่นปลุกเรา
  • Out of Range Alert ถ้าเราเดินห่างจากมือถือหรือแท็บเล็ตของเราเกินระยะ SmartBand จะสั่นเตือน
  • Incoming call เลือกให้สั่นถ้ามีคนโทรเข้ามา
  • Applications เราสามารถใช้ SmartBand ควบคุมแอพได้ เช่นเครื่องเล่นเพลงครับ เมื่อเราเลือกแล้วก็สามารถใช้งานได้เช่นเคาะเพื่อเล่นเพลงหรือหยุด เคาะ 2 ครั้งเพื่อเลื่อนไปเพลงถัดไป หรือเคาะ 3 ครั้งเพื่อย้อนไปเพลงก่อนหน้า

 

หลังจากตั้งค่าเสร็จแล้ว เราก็เปิดแอพ Lifelog กันต่อ เพื่อทำการใส่ข้อมูลส่วนตัว วันเดือนปีเกิดส่วนสูงนำ้หนัก แนะนำว่าใส่ให้ตรงนะครับ เพื่อการคำนวนแคลอรี่หรือพลังงานที่ใช้ไปในแต่ละวันให้ใกล้เคียงกับตัวเราที่้สุด

 

หลังจากใส่ข้อมูลลงไปใน Lifelog เสร็จแล้วตัวแอพก็จะเริ่มทำงานและเริ่มมีการเก็บข้อมูลของเราแบบเต็มเหนี่ยวครับ คือเก็บทุกอย่างไม่ว่าเราจะทำอะไรยังไง ถ่ายรูปไปกี่รูป ฟังเพลง ดูหนังเล่นเกมไปกี่นาที ที่เห็นเป็นลูกกลมๆ ด้านบนนั่นบอกว่าเราทำอะไรกับมือถือเราในช่วงเวลาไหนบ้าง ส่วนที่เป็นตัวเลขนั้นก็บอกช่วงเวลา 10 โมง 11 โมง แล้วตัวเราก็จะเปิดไปเรื่อยๆ และเราสามารถตรวจสอบได้ว่าแต่ละช่วงเวลาที่เราใช้ไปนั้น เราเอาไปทำอะไรบ้าง เช่นในภาพผมมีการเล่น social network ไปประมาณ 6 นาที มันก็เอามาแยกให้ดูว่าเป็น LINE 2 นาทีเป็น Twitter อีก 3 นาทีแบบภาพทางขวา

 

และเมื่อเราทำกิจกรรมอะไรนานๆ มากๆ วงกลมมันก็จะใหญ่ขึ้น สังเกตุได้จากภาพทางซ้าย Social network ใหญ่เบ้อเริ่ม ซึ่งนอกจากพฤติกรรมที่เราทำในแต่ละวันแล้ว ยังมีการเก็บ location ด้วย ว่าวันนี้ทั้งวันเราไปที่ไหนมาบ้าง ในช่วงเวลาไหน (อันตรายมากเลย ขอบอก) 

ส่วนภาพทางขวาสุดนั้นเป็นหน้าจอ sleep monitor ที่บอกเราว่าในช่วงเวลา Night mode หรือโหมดกลางคืนที่เราตั้งไว้นั้น เรานอนไปจริงๆ กี่ชั่วโมง มีหลับลึก หลับตื้นกี่นาที แต่อันนี้ต้องใส่ SmartBand ไว้ที่ข้อมือด้วยนะครับ ไม่ใช่ไปถอดทิ้งเอาไว้

 

อีกโหมดนึงคือ Life Bookmarks ครับ ให้เราบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงพิเศษของวัน เช่นผมไปดูขอนแก่น FC ลงสนามมา ผมก็กดปุ่ม Boorkmark ด้านบนของแอพ หรือจะกดปุ่มที่ SmartBand 2 ครั้งก็ได้ หลังจากนั้นตัวแอพก็จะให้เราตั้งชื่อเหตุการณ์นี้ และจะเริ่มเก็บข้อมูลทุกอย่างที่ผมทำในช่วงเวลานั้นๆ เอาไว้เป็นเหตุการณ์พิเศษให้เราย้อนกลับมาดูได้ครับ ซึ่งเท่าที่สังเกตุดูมันจะเก็บข้อมูลราวๆ 1 ชั่วโมง 

หลังจากที่ได้ลองเล่นมาเกือบสัปดาห์บอกเลยว่าผมค่อนข้างพอใจกับ SmartBand และ Lifelog ครับ คือมันมีข้อมูลเยอะดี และก็ได้รู้พฤติกรรมของเราในแต่ละวันด้วย บางครั้งย้อนกลับมาดูเห็นตัวเองเล่น Social หรือเล่นเกมเป็นวงใหญ่ๆ ก็ทำให้เรารู้ว่าเออ นี่เราเริ่มติดเกมไหนหนักๆ หรือเริมติด social เกินไปหรือเปล่า นอกจากมันจะเป็นแอพที่ช่วยจดบันทึกข้อมูลในเชิงดิจิตอลแล้ว มันยังช่วยให้เราได้ย้อนกลับมาดูและวิเคราะห์ตารางเวลาและ ชีวิตของเราได้ด้วย  😀

 

Play video

 

ใครที่สนใจก็ลองโหลดแอพมาใช้ดูก่อนได้ครับ อย่างที่บอกไว้ข้างต้นว่าตัวแอพนั้นเปิดให้โหลดฟรี แต่ถ้าสนใจ SmartBand ก็ลองไปหาซื้อมาใช้คู่กันได้ อ้อเกือบลืม แบตเตอรี่ของ SmartBand นั้นอยู่ได้ราวๆ 4 วันต่อการชาร์จ 1 ครั้งนะครับ