วางจำหน่ายไปเมื่อประมาณต้นเดือนที่แล้วกับมือถือแบรนด์ vivo ที่ขึ้นชื่อในเรื่องกล้องหน้าสำหรับการถ่ายเซลฟี่อย่าง vivo V7+ ที่มีกล้องหน้าความละเอียดสูงถึง 24MP ออกมา ก็น่าจะทำให้หนุ่มๆสาวๆหลายคนที่ชื่นชอบการเซลฟี่ อยากจะรู้กันแล้วว่ากล้องของ vivo V7+ จะถ่ายออกมาได้สวยแค่ไหน และสเปคต่างๆ เหมาะกับการใช้งานหรือไม่ กับราคาค่าตัว 11,990 บาท ว่าแล้วก็มาดูกันเลย

สเปค vivo V7+

  • หน้าจอ IPS ขนาด 5.99 นิ้ว ความละเอียด HD (1440 x 720)
  • กระจกหน้าจอ 2.5D Gorilla Glass 3
  • CPU : Snapdragon 450
  • RAM : 4GB
  • ความจุ : 64GB เพิ่ม MicroSD Card ได้ถึง 256GB
  • กล้องหลัง : 16MP, f/2.0 แฟลช LED คู่
  • กล้องหน้า : 24MP, f/2.0, เซ็นเซอร์ขนาด 1/2.78 นิ้ว พร้อมไฟเซลฟี่แบบ Moonlight Glow
  • การเชื่อมต่อ : 4G VoLTE, Wi-Fi, Bluetooth v4.2
  • เซ็นเซอร์ : accelerometer, ambient light sensor, digital compass, proximity sensor
  • ระบบเสียง AK4376A Hi-Fi Audio
  • วิทยุ FM
  • ระบบสแกนใบหน้าปลดล็อคเครื่อง
  • แบตเตอรี่ : 3225 mAh
  • ขนาดเครื่อง : 155.87 x 75.47 x 7.7 มม.
  • น้ำหนัก : 160 กรัม
  • ระบบ : Android 7.1.2 ครอบด้วย FunTouch OS 3.2
  • สีที่วางจำหน่าย : สีดำด้าน และสีทอง
  • ราคา : 11,990 บาท

วัสดุตัวเครื่องและการดีไซน์

vivo V7+ เป็นมือถือรุ่นแรกจาก vivo ที่เปลี่ยนมาใช้ดีไซน์แบบหน้าจอยาวชิดขอบ มีอัตราส่วนจอที่ 18:9 ตามสมัยนิยม และแน่นอนว่ามันเป็นจอยาวแบบชิดขอบทำให้ขอบล่างไม่มีพื้นที่สำหรับวางเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือแล้ว ก็เลยย้ายเอาไปไว้ข้างหลังแทน

ขอบบนยังพอเหลือพื้นที่เอาไว้วางกล้องหน้าสุดเทพความละเอียด 24MP, แฟลช LED ดวงนึง, ลำโพง และเซ็นเซอร์วัดแสง

ตรงขอบมีเส้นสีเงินแบบโลหะพาดรอบเครื่องดูตัดกับสีดำด้านได้แบบเข้ากั๊นเข้ากัน

ด้านหลังมีกล้องหลังความละเอียด 16MP ที่นูนออกมานิดหน่อย อยู่ตรงมุมซ้ายบน พร้อมกับแฟลช LED 1 ดวง ถัดลงมาเป็นเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ และโลโก้ vivo เป็นสีเงินโลหะอีกเช่นกัน

ขอบล่างเครื่องก็จะมีลำโพง 1 ตัว ช่อง MicroUSB (น่าเสียดายที่ยังไม่ยอมใช้ USB Type-C) และยังคงมีรูหูฟัง 3.5 มม. ให้อยู่นะ

ส่วนด้านซ้ายจะมีแต่ช่องใส่ถาดซิมแบบ Dual SIM ที่มีช่องแยกสำหรับใส่ MicroSD Card ด้วย (Triple slot) จะได้ไม่ต้องเลือกว่าจะเอาพื้นที่เพิ่มหรือจะเอาอีกเบอร์

Software และ UI

vivo V7+ ก็ยังคงใช้ UI Funtouch OS 3.2 ของตัวเองครอบ Android 7.1.2 Nougat เอาไว้ หากใครเคยใช้งาน vivo มาก่อน คงจะคุ้นชินแน่นอน เพราะรูปแบบการใช้งานและการแสดงผลยังคงเหมือนเดิม ซึ่ง UI ของ Funtouch OS จะรวมทุกแอปเอาไว้บนหน้าจอทั้งหมดอยู่แล้ว ไม่ต้องกดเข้า App Drawer เหมือนรุ่นอื่นๆ

ส่วน Toggle Bar หรือพวกปุ่ม settings ปิดเปิด Bluetooth, WiFi, Data ฯลฯ จะอยู่ทางด้านล่างหน้าจอ ถ้าใครเคยใช้ vivo มาก่อนก็น่าจะคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว

ระบบปลดล็อคเครื่องด้วยใบหน้า

ระบบปลดล็อคหน้าจอใหม่ของ vivo ก็คือการปลดล็อคโดยการใช้ใบหน้า แค่เคาะหน้าจอ 2 ที แล้วถือเครื่องให้ตรงกับใบหน้าก็สามารถปลดล็อคได้เลย แต่ระบบนี้จะไม่ได้มีความปลอดภัยเหมือนกับ Face ID ของ iPone X นะครับ เพราะ vivo V7+ ไม่ได้มีเซ็นเซอร์ตรวจจับความลึก 3 มิติ แต่จะใช้การวิเคราะห์ใบหน้าด้วยระบบ AI แทน ทำให้การปลดล็อคในที่แสงน้อย หรือแสงจ้ามากไป จะสแกนหน้าไม่ผ่าน และอาจจะโดนปลดล็อคโดยคนที่หน้าคล้ายๆกันได้ แถมจากที่ลองแล้ว ระบบนี้ยังไม่ค่อยแม่นเท่าไหร่ด้วย เพราะตอนตื่นนอนผมลงมาปิดหน้านิดๆหน่อยๆ หรือตอนป้อนข้อมูลใบหน้าผมทรงนึง พอเปลี่ยนทรงผมมาใหม่มันก็จำไม่ได้ซะแล้ว

ถ้าใครมีความลับเยอะ หรือมีข้อมูลสำคัญจริงๆ แนะนำให้ใช้ระบบสแกนลายนิ้วมือ หรือปลดล็อคด้วยรหัสแบบดั้งเดิมจะปลอดภัยที่สุดนะครับ เพราะการปลดล็อคด้วยใบหน้านี้ จะมีไว้เพื่อความสะดวกรวดเร็วมากกว่า

 

Game Mode

และฟีเจอร์ Game Mode ที่น่าจะถูกใจคอเกมทั้งหลายแน่นอน เพราะเมื่อเราเปิดใช้งานโหมดนี้แล้ว เราตั้งค่าได้ว่าเมื่อมีสายโทรเข้ามาจะให้เป็น Background calls ที่สามารถคุยโทรศัพท์ไปเล่นไปได้เลย ไม่เด้งออกมาที่หน้าโทรศัพท์ หรือจะเป็น Reject incoming calls ที่โหดหน่อย คือตัดสายทิ้งให้เองเลย (ตั้ง whitelist สำหรับเบอร์สำคัญได้) และสุดท้าย Block floating previews ที่จะบล็อคข้อความจากแอปแชทไม่ให้เด้งขึ้นมาบังหน้าจอระหว่างเล่นเกม

 

กดรับและคุยได้จากหน้าจอเกมเลย 

Smart Motion

ฟีเจอร์ที่สามารถสั่งงานให้เครื่องทำอะไรหลายๆอย่างได้โดยไม่ต้องกดปุ่ม มีทั้ง

Smart wake – ที่ตั้งให้เปิดหน้าจอด้วยการลากนิ้วขึ้น, ลากนิ้วลงเพื่อเปิดกล้อง, เขียนที่หน้าจอเป็นตัว M เพื่อเล่นเพลง, F เพื่อเปิดเฟซบุ๊ค ฯลฯ

Air operation – สั่งงานด้วยโบกมือผ่านหน้าจอ เช่น โบกที่หน้าจอเพื่อโชว์ status, โบกมือเพื่อปลดล็อคจอ

Smart turn on/off screen – เปิดหน้าจอด้วยวิธีต่างๆ ทั้ง ยกเครื่องแล้วจอติด, เคาะ 2 ทีเพื่อเปิดจอ, เปิดหน้าจอไว้ตลอดเวลาเมื่อยกเครื่องขึ้นมาที่ระดับสายตา และเคาะ 2 ที เพื่อปิดหน้าจอ

Smart call – ตั้งค่าการรับสายหรือโทรออกด้วยท่าทางต่าง ไม่ว่าจะเป็นเมื่อมีสายเข้า ยกเครื่องขึ้นมาแนบหูแล้วจะรับสายอัตโนมัติ, เอามือวางบนหน้าจอเมื่อมีสายเข้าเพื่อปิดเสียง ฯลฯ

อื่นๆ  เช่นเขย่าเครื่องเพื่อเปิดไฟฉาย (แฟลช), เอียงเครื่องเพื่อซูมภาพ และยกเครื่องขึ้นมาเพื่อโชว์ status อัตโนมัติ

Smart Split

ฟีเจอร์แบ่งหน้าจอก็ยังมีอยู่เหมือนเดิมจาก vivo รุ่นอื่นๆ โดยการใช้ 3 นิ้วแตะบนหน้าจอแล้วลากลงมาเพื่อแบ่งออกเป็น 2 จอ (ไม่รองรับการใช้งานในบางแอป)

ประสิทธิภาพจากคะแนน BenchMark และการเล่นเกม

ผลการทดสอบประสิทธิภาพการทำงานเครื่องด้วยแอพพลิเคชั่น Antutu กันบ้างครับ โดย vivo V7+ มีผลการทดสอบออกมาตามนี้เลย

และการใช้ vivo V7+ เล่นเกมสุดฮิตอย่าง ROV ก็สามารถเล่นได้แบบลื่นๆ มีหน่วงบ้างนิดหน่อย (เพราะไม่สามารถปรับเป็นโหมดเฟรมเรทสูงได้อยู่แล้ว) แต่ไม่ถือว่าเป็นปัญหาอะไรมากมาย แถมยังเล่นเกมได้แบบเต็มจอ 18:9 ได้ด้วยย ค่าเฟรมเรมปกติอยู่ 26-30fps ตอนนัวๆ กัน (แต่ถ้ามากันทุกตัวสาดอัลติกระจายก็เคยมีหล่นลงไป 22-25fps เหมือนกัน) รวมๆแล้วถือว่าใช้เล่นเกมได้ไม่หงุดหวิด

ระบบเสียง HiFi

จุดเด่นอีกอย่างนึงของมือถือ vivo ก็คือเรื่องของชิปเสียง Hi-Fi นั่นเอง โดยในรุ่น vivo V7+ นี้จะใช้ชิปเสียงรุ่น Hi-Fi AK4376A ที่เป็นรุ่นพัฒนาจากรุ่น vivo V5 Plus ของเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งโหมดเสียง HiFi นี้สามารถใช้ได้กับแอปเล่นเพลงต่างๆไม่ว่าจะเป็น Spotify, JOOX, YouTube, Google Music ฯลฯ (ใช้งานได้เมื่อเสียบหูฟังเท่านั้น) ทำให้เสียงเมื่อใช้กับหูฟังดีๆหน่อย จะได้รายละเอียดเสียงที่ใช้ได้เลยล่ะ รวมถึงพลังเสียงและเบสก็กระหึ่มกว่าตอนไม่เปิดโหมด Hi-Fi

หน้าจออัตราส่วน 18:9 ความละเอียด HD+

แน่นอนว่า vivo V7+ จัดหน้าจอใหญ่ยักษ์ขนาด 5.99 นิ้ว อัตราส่วน 18:9 มาให้แล้ว หลายๆคนก็อยากจะดูหนัง ดูวิดีโอให้มันเต็มพื้นที่ใช่มั้ยล่ะ ถ้าดูกับแอปวิดีโอปกติมันก็จะมีให้ตั้งค่าได้อยู่แล้วว่าจะให้แสดงผลแบบเต็มจอ แต่ถ้าดูใน YouTube ล่ะ? ไม่ต้องห่วงเลย เพราะในแอป YouTube เราก็สามารถปรับภาพให้มันแสดงผลแบบเต็มจอไร้ขอบดำได้เช่นกัน (แต่ภาพก็จะถูก crop ออกไปบางส่วนด้วยนะ) แต่น่าเสียดายที่ความละเอียดจอของ vivo V7+ ให้มาแค่ระดับ HD+ เท่านั้นเอง

วิดีโอขนาดปกติ

วิดีโอแบบเต็มจอ

วิดีโอขนาดปกติจะเหลือขอบดำข้างๆ

ปรับวิดีโอแบบ Full Screen เต็มหน้าจอ แต่ขอบบนและล่างก็จะโดนตัดออกนิดหน่อย

**ตอนนี้ vivo V7+ ได้รับการอัพเดท YouTube เวอร์ชั่นใหม่แล้ว ทำให้ปุ่มขยายภาพวิดีโอหายไป แต่สามารถใช้นิ้วถ่างหน้าจอเพื่อซูมภาพเอาแทน

กล้องหน้า

มาถึงฟีเจอร์เด่นของ vivo V7+ ที่หลายๆคนรอคอยอย่างกล้องหน้าที่อัดความละเอียดมาให้ถึง 24MP พร้อมระบบ AI ที่สามารถวิเคราะห์ใบหน้าว่าเป็นเพศชายหรือเพศหญิงได้เพื่อการเกลี่ยผิวได้อย่างเป็นธรรมชาติ โดยภาพที่ออกมาสามารถเก็บรายละเอียดได้ครบ สิวเสิว มาให้นับกันได้ทุกเม็ดเลย แต่ถ้าเราเลือกปรับความละเอียดผิว + โทนผิว + ความสว่าง ซักนิดเดียวก็พอ ภาพที่ออกมาก็จะหน้าใสปิ๊ง ขาวผ่องแบบเป็นธรรมชาติ ไม่ขาววอกจนดั้งหาย เนียนเป็นแผ่นกระดาษ

ปรับให้พอดีๆ ก็จะได้ภาพถ่ายหน้าที่ขาวใสเนียนเป็นธรรมชาติ

 

ปรับมากไปก็จะหน้าเรียบขาดมิติ แถมดูปลอมสุดๆไปเลย

แถมการถ่ายเซลฟี่ในสภาวะแสงน้อยก็ยังทำออกมาได้ดีอีกเช่นกัน ต้องขอบคุณระบบแฟลชแบบ Moonlight Glow ที่ให้แสงนวลออกมาแบบพอดีๆ และทั่วถึงทำให้ขาวผ่องทั่วถึงกันทั้งหน้า คอ และไหล่

นอกจากนี้ยังมีโหมดเซลฟี่ Bokeh เบลอฉากหลังด้วย AI ที่ออกมาค่อนข้างเนียนใช้ได้อยู่เหมือนกัน โดยในโหมดนี้เราก็ยังสามารถใช้คู่กับโหมดบิวตี้ได้เช่นกัน แต่ไม่สามารถปรับระดับความเบลอของฉากหลังได้

โหมดโบเก้กล้องหน้าที่ใช้ร่วมกับบิวตี้ได้ แต่ไม่สามารถปรับระดับความเบลอฉากหลังได้

กล้องหลัง

ส่วนกล้องหลังความละเอียด 16MP ที่มีโหมด Pro มาให้ด้วย โดยสามารถปรับได้ทั้งหมด 5 ค่า ด้วยกันคือ

  • EV : ปรับได้ +2, +1, 0, -1, -2

  • ISO : ปรับได้ 100 – 3573

  • Speed Shutter : 16 ถึง 1/5000

  • WhiteBalance

  • โหมดโฟกัสภาพ

โหมด UltraHD – ขยายขนาด pixel ออกไปจนถึง 64MP เพื่อเก็บรายละเอียดให้มากกว่าเดิม (ต้องมือนิ่งพอสมควร) แต่ไม่สามารถปรับค่าอะไรได้อีก

โหมด PPT – สำหรับถ่ายกระดาน หรือสไลด์พาวเวอร์พอยท์ และระบบจะทำการปรับขนาดและความเอียงให้เป็นปกติที่สุด

โหมด Slow – ถ่ายวิดีโอแบบสโลว์โมชั่น

โหมด Time-Lapse – สำหรับการถ่ายภาพต่อเนื่อง

คุณภาพของกล้องหลังถือว่าใช้ได้ในสภาพแสงปกติ  แต่ถ้าแสงเริ่มน้อยจะเริ่มแพ้กล้องหน้า ทั้ง noise ที่โผล่ออกมาให้เห็นได้ค่อนข้างชัด สีสันก็เริ่มจะซีดๆหน่อย และความคมความละเอียดของภาพที่หายไปบ้าง

ภาพถ่ายในสภาวะแสงปกติ

ตัวอย่างภาพถ่ายกล้องหลัง vivo V7+ ในสภาวะแสงน้อย

แบตเตอรี่

การใช้งานแบตเตอรี่ของ vivo V7+ ถือว่าอึดใช้ได้เลยล่ะ จากที่ทดสอบแบตเตอรี่เต็ม 100% ดูวิดีโอจาก YouTube ผ่าน WiFi ติดต่อกันได้ถึง 11 ชม.กว่าๆ จนแบตเตอรี่เหลือประมาณ 4 – 5% ถ้าเป็นการใช้งานทั่วไปเล่นเว็บ, เล่นเกมบ้าง, ดู YouTube, ถ่ายรูป น่าจะอยู่ได้วันนึงสบายๆ ส่วนนึงเพราะหน้าจอที่มีความละเอียด HD+ ทำให้ไม่กินแบตมากนัก และด้วยค่าตัวที่อยู่แค่หมื่นต้นๆ ก็เลยไม่ได้ใส่ระบบชาร์จเร็วมาให้ด้วย

 

สรุป

vivo V7+ น่าจะถูกใจสาวๆ (หรือหนุ่มๆด้วยก็ได้) ที่ชื่นชอบการถ่ายเซลฟี่แน่นอน เพราะกล้องหน้าระดับ 24MP และโหมดบิวตี้ให้ภาพออกมาได้คมชัดสวยงาม ขาวใสวิ้งวับดี (ถ้าไม่ปรับจนเวอร์เกินไป) ส่วนการใช้งานในด้านอื่นๆ ก็ถือว่าโอเคไม่มีปัญหา ทั้งการเล่นเกมสุดฮิตอย่าง ROV ที่เล่นได้แบบสบาย เฟรมเรตไม่ตกมาก, ดู YouTube ได้จอใหญ่เต็มตา ถึงแม้ว่าหน้าจอจะรองรับแค่ 720p แต่ก็ยังดูได้ชัดเจนไม่เสียอารมณ์ หรือจะเป็นระบบเสียง Hi-Fi ที่ใช้คู่กับหูฟังเกรดดีๆ หน่อยก็จะได้เสียงที่มีรายละเอียดครบ+ความกระหึ่มกว่ามือถือรุ่นอื่นๆ ที่ไม่มีชิปเสียงให้มา แถมด้วยแบตเตอรี่ที่อยู่ได้วันนึงหรือวันกว่าแบบสบายๆ ก็ถือว่า vivo V7+ เป็นมือถือที่มีคุณภาพคุ้มราคาค่าตัวหมื่นนิดๆ รุ่นนึงเลยล่ะ