รีวิวใช้งานจริง Xiaomi 13 และ Xiaomi 13 Pro สองเรือธงค่ายเสียวหมี่แห่งปี 2023 จะน่าใช้แค่ไหน ทดสอบใช้เป็นมือถือเครื่องหลัก ดูอายุการใช้งานแบตเตอรี่ เล่นเกมทดสอบพลังชิป Snapdragon 8 Gen 2 สุดแรง ใช้งานแอปต่าง ๆ ดูการแจ้งเตือน และสุดท้ายคือทดลองกล้องที่ประทับตรา Leica สุดท้ายชอบอะไร ไม่ชอบอะไร เราจะมาเล่าให้ฟัง
ดีไซน์ต่างกัน สวยคนละแบบ
สิ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง คือเรื่องดีไซน์ของตัวเครื่อง คราวนี้เสียวหมี่ดักผู้ใช้สองทาง ทั้งคนที่ชอบดีไซน์แบบขอบเหลี่ยมตามสมัยนิยม และคนที่ชอบขอบโค้งจอโค้งดูพรีเมียมตามสไตล์มือถือแอนดรอยด์
Xiaomi 13 ขอบเหลี่ยม จอแบน
รุ่นเริ่มต้น Xiaomi 13 จะมากับเทรนด์ดีไซน์ตามกระแส ด้วยการใช้ขอบเครื่องแบน หักเหลี่ยมตรงมุม ตัวนี้เป็นสีดำ Black ที่ “ดำได้ใจ” โทนสีเข้มดุดันไม่เกรงใจใคร ดูพรีเมี่ยมสุด ๆ เฟรมเครื่องใช้วัสดุเหล็กอะลูมิเนียม ฝาหลังครอบด้วยกระจกเงาวาว สวยจริง แต่จับแล้วรอยนิ้วมือเพียบนะ ต้องเช็ดบ่อย ๆ ตัวเครื่องหนัก 189 กรัม กำลังดี
ด้านขวาเครื่องวางปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่ม Power ทรงราบแบนดูคุ้น ๆ ตา กดแล้วให้เสียงกรึบ แสดงความแข็งแรงทนทาน ด้านล่างเรียงไปด้วยช่องใส่ซิม ที่มีถาดรองรับซิม 2 อัน รูไมค์ พอร์ต USB-C 2.0 และลำโพงล่าง ที่ใช้คู่กับลำโพงบนตรงขอบหน้าจอ และขอบด้านบนมี IR Blaster ตัวยิงสัญญาณคุมเครื่องใช้ไฟฟ้า
Xiaomi 13 Pro ขอบโค้ง จอโค้ง
รุ่นท็อป Xiaomi 13 Pro จะใช้ดีไซน์มือถือแอนดรอยด์พรีเมียม ด้วยตัวเครื่องเพรียวบาง ขอบเครื่องตรงฝาหลัง และขอบหน้าจอโค้งมาบรรจบกันที่เฟรมเครื่อง ที่ใช้วัสดุเหล็กอะลูมิเนียม เครื่องนี้เป็นสีขาว Ceramic White แบบเรียบ ๆ เหมือนจานที่บ้าน คงเป็นเพราะว่าประกอบด้วยวัสดุเซรามิกนั่นเอง เนื้อผิวลื่น ๆ สะท้อนแสงเหมือนกัน แต่มองไม่ค่อยเห็นรอยนิ้วมือ น้ำหนักเยอะหน่อย 229 กรัม.
ปุ่มปรับเสียงและ Power อยู่ด้านขวาเหมือนกัน แต่ขนาดปุ่มเล็กเรียวมาก เพื่อให้อยู่ในขอบเครื่องได้ ด้านล่างมีเหมือนกับรุ่น 13 ทั้งช่องใส่ซิม พอร์ต USB-C 2.0 และลำโพงล่าง แต่รุ่นนี้เอารูไมค์ไว้ฝั่งขวา
มือถือทั้งสองรุ่นได้มาตรฐาน ทนน้ำทนฝุ่น IP68 และหน้าตาโมดูลกล้องที่เหมือนกัน เป็นสี่เหลี่ยมจตุรัสขอบมน ประทับตรา Leica แต่โมดูลของรุ่น Xiaomi 13 Pro จะใหญ่กว่า Xiaomi 13 อยู่พอสมควร ให้ได้สัดส่วนตามขนาดเครื่อง
หน้าจอสีสด สว่างจ้า
Xiaomi 13 ใช้หน้าจอ AMOLED กว้าง 6.36 นิ้ว ความละเอียด FHD+ 2400 x 1080 ได้ทั้ง Dolby Vision และ HDR10+ แน่นอนว่าหน้าจอก็สีสวยสด แสดงผลเที่ยงตรง แถมได้รีเฟรชเรต 120Hz ไถได้ลื่นสุด ๆ ขอบหน้าจอบางพิเศษ 1.61 มม. ทำให้ได้หน้าจอกว้างดูได้จุใจ
Xiaomi 13 Pro ใช้หน้าจอ AMOLED กว้าง 6.73 นิ้ว ความละเอียด WQHD+ 3200×1440 มี Dolby Vision และ HDR10+เหมือนกัน แต่สามารถปรับรีเฟรชเรต 1-120Hz ได้ตามเนื้อหาในจอ เพราะเป็นจอ LTPO ซึ่งก็จะช่วยประหยัดพลังงาน
ทั้ง Xiaomi 13 และ Xiaomi 13 Pro จะใช้กล้องหน้าเป็นแบบเจาะรู และรองรับ Widevine L1 ทำให้ดู Netflix ได้ชัดระดับ HD ครับ
ความสว่างของจอทั้งคู่เมื่อใช้งานทั่วไป อยู่ที่ 1200 นิต และหากเอาออกไปข้างนอกเจอแสงแรง ๆ ก็ปรับขึ้นไปได้ถึง 1900 นิต เรียกได้ว่าสู้แดดได้สบาย มองเห็นชัดไม่มีปัญหา
ลำโพงดังเสียงคุณภาพดี
มือถือทั้งสองรุ่นมาพร้อมระบบลำโพงคู่สเตอริโอ Dolby Atmos ได้เสียงดังฟังชัด เนื้อเสียงมีมิติใช้ได้ แต่มีเสียงย่านเบส และเสียงกลางต่ำที่ไม่ค่อยเด่นเท่าไร ทำให้ได้ยินเสียงกลาง แหลมชัดกว่าบ้าง แต่เอามาดูคอนเทนต์ ดูหนังอะไรก็ไม่มีติดขัด
กล้อง Leica สวยจริงไม่จกตา
ตัวชูโรงของเรือธงรอบนี้ คือระบบกล้องที่พัฒนาขึ้นมาโดยร่วมมือถือแบรนด์ Leica ในแอปกล้องจะมีให้เลือกระหว่าง Leica Authentic ที่เน้นสีสมจริง กับ Leica Vibrant ที่ปรับขึ้นมาเล็กน้อยให้สีดูสดใสขึ้น ที่รีวิวคราวนี้จะใช้โหมด Leica Authentic ทั้งหมด
โปรไฟล์สีโดยรวมแล้วก็ตามที่เค้าว่า Authentic ก็คือดูสมจริง เรียล ๆ ไม่ได้เร่งสีให้เข้มจัดมากเกินไป แต่ AI จะเลือกตามฉากได้อย่างเหมาะสม เช่น ถ่ายคน ถ่ายดอกไม้ ถ่ายฉาก ก็จะได้สไตล์สีสันแตกต่างกันไป แต่ก็ยังคุมธีมสไตล์ Leica ไว้ ลองมาดูรูปกัน
กล้องหลัก 23mm
กล้องหลักหลังจากลองถ่ายรูปดูแล้ว รู้สึกว่ากล้องไม่ได้มีความต่างกันมาก สวยคือกันทั้งคู่ ยิ่งถ้าเป็นฉากกลางวัน แสงจ้าแบบนี้ ดูออกยากมาก
- Xiaomi 13 กล้องหลัก 50MP (f/1.8) เซนเซอร์กว้าง 1/1.49 นิ้ว
- Xiaomi 13 Pro กล้องหลัก 50.3MP (f/1.9) เซนเซอร์กว้าง 1 นิ้ว
ภาพเรียงตามนี้ Xiaomi 13 – Xiaomi 13 Pro
จะเห็นได้ว่า หาความแตกต่างของกล้องจากทั้งสองตัวยากมาก แต่พอจะสังเกตได้อย่างเรื่อง Dynamic Range ที่รุ่น Xiaomi 13 Pro ทำได้ดีกว่า โดยสามารถดึงสีสัน และเก็บรายละเอียดในพื้นที่มืดได้ ดูได้จากผมของนางแบบ และด้านหลังเก้าอี้ ในภาพที่นางแบบนั่งหันหลังให้กล้อง
แต่ Xiaomi 13 Pro ก็มีช่วงประมวลภาพหนักเกินไปบ้าง อย่างขอบ ๆ ไอศกรีมที่โดนประมวลภาพหนัก เกิดเป็นเงาดำ ๆ รอบวัตถุ และในภาพสุดท้าย ก็ยังเห็นสีท้องฟ้าใน Xiaomi 13 Pro ที่เข้มกว่า ทำให้ดูมีมิติ ให้อารมณ์ดรามาในภาพมากขึ้น
กล้องอัลตราไวด์ 15mm/14mm
พอขยับมากล้องตัวอื่น ก็จะเจอความแตกต่างในด้านฮาร์ดแวร์เยอะพอสมควร อย่างอัลตราไวด์นี่คือกล้อง 12MP สู้กับกล้อง 50MP เลยนะ แต่เมื่อถ่ายออกมาแล้วพบว่ารุ่น Xiaomi 13 ธรรมดา โทนสีในพื้นที่แสงน้อย หรือในเงาจะไม่ได้สีสันสดใสเท่า Xiaomi 13 Pro และภาพชัดน้อยกว่าเล็กน้อย แต่ก็ทำหน้าที่ได้ดีมาก ๆ
ดังนั้น ถ้าใช้ Xiaomi 13 Pro ถ่าย ก็จะได้เปรียบในเรื่อง Dynamic Range ที่กล้องเก็บรายละเอียดที่ต่างแสงได้ดี
- Xiaomi 13 อัลตราไวด์ 12MP (f/2.2) มุมกว้าง 120˚ ระยะ 15 มม.
- Xiaomi 13 Pro อัลตราไวด์ 50MP (f/2.2) มุมกว้าง 115˚ ระยะ 14 มม.
ภาพเรียงตามนี้ Xiaomi 13 – Xiaomi 13 Pro
กล้องเทเลโฟโต 75mm
มาถึงกล้องพระเอกของมือถือ ที่จะเป็นตัวเอาไว้ถ่ายโหมด Portrait ภาพบุคคล และจับโฟกัสวัตถุ เป็นอีกเลนส์ที่ความละเอียดต่างกันมาก แต่ผลลัพธ์ยังพอสู้กันได้อยู่ โดยกล้อง Xiaomi 13 Pro จะออกสีเข้มกว่าเล็กน้อย ทำให้ภาพดูมีมิติ ส่วน Xiaomi 13 บางรูปสีอาจออกจาง ๆ แต่ส่วนมากก็ยังคล้ายกัน
- Xiaomi 13 เทเลโฟโต 10MP (f/2.0) ซูม 3.2x
- Xiaomi 13 Pro เทเลโฟโต 50MP (f/2.0) ซูม 3.2x โฟกัสใกล้สุด 10 ซม.
กล้องหน้า
กล้องหน้าของทั้งคู่เหมือนกัน ความละเอียด 32MP (f/2.0) ถ่ายออกมาไม่ต่างกันเลย แต่สังเกตได้ว่าจะสีออกซีด ๆ ไปหน่อยนะ แต่ก็เก็บรายละเอียด ความคมชัดไว้ได้ ถ้าต้องการให้กล้องหน้าออกมาสีสดใส หรือปรับหน้าเนียบ ก็แน่นอนว่าเลือกฟิลเตอร์และปรับโหมด Beauty ได้ตามความต้องการ
ถ่ายภาพกลางคืน
ภาพเวลาถ่ายตอนกลางคืน รุ่น Pro จะสามารถดึงภาพให้มีแสงสว่างได้มากกว่ารุ่นธรรมดาเล็กน้อย ส่วนรุ่น Xiaomi 13 หากเป็นกล้องตัวอื่นที่ไม่ใช่กล้องหลัก ก็จะคุณภาพดรอปไปเยอะพอสมควร เนื่องจากความละเอียดกล้องน้อยกว่า
ภาพเรียงตามนี้ Xiaomi 13 – Xiaomi 13 Pro
ส่วนใครชอบถ่ายดวงจันทร์ตอนกลางคืน ใน Xiaomi 3 Pro สามารถเปิดโหมด Super Moon mode เพื่อให่ถ่ายดวงจันทร์แบบชัด ๆ ดูความต่างระหว่างตอนเปิดใช้งาน กับตอนถ่ายตามโหมดปกติได้ตามนี้
กล้อง Telephoto ของ Xiaomi 13 Pro ยังสามารถโฟกัสวัตถุแบบชิดใกล้ได้ 10 ซม. ทำให้ได้ภาพมาโครอีกแบบ ที่วัตถุจะยังคงสัดส่วนไว้ได้ โดยยังคงเห็นรายละเอียดใกล้ ๆ ต่างกับการใช้กล้อง Ultrawide ถ่าย
ตัวอย่างวิดีโอ
สีสันของวิดีโอระหว่าง Xiaomi 13 กับ Xiaomi 13 Pro ต่างกันพอสมควร กล้องรุ่น 13 Pro จะถ่ายแล้วได้สีสันสดใส มีความเข้มมากกว่า และแม้ว่ากล้องทั้งสองตัวมาพร้อมระบบกันสั่น OIS ทำให้ได้ภาพนิ่งใช้ได้ แต่รุ่นท็อปดูเหมือนว่าจะกันสั่นนิ่งกว่า
ถ่ายวิดีโอได้ชัดสุดที่ 8K 24fps ภาพชัดมากแต่เฟรมเรตอาจจะดูขัด ๆ ลูกตาหน่อย จึงขอแนบเป็นลิงก์ให้ไปตามดูสำหรับผู้ที่สนใจ
ส่วนวิดีโอที่ได้เรื่องขึ้นมา คือ 4K60fps ที่ทำให้ได้ภาพชัดและมีความไหลลื่น
และน่าเสียดายกล้องหน้าทั้งสองถ่ายได้ชัดสุดแค่ 1080P 30fps หลังดูคลิปแล้ว คิดว่าระบบกันสั่น แสงสีต่าง ๆ ออกมาเหมือนกันเด๊ะ ไม่ต่างกันเลย
เครื่องแรงดีไม่มีตก
เรือธงทั้งคู่มาพร้อมชิปแรง Snapdragon 8 Gen 2 บนสถาปัตยกรรม 4 นาโนเมตร ความแรงไม่ต้องห่วง เพราะนี่คือที่สุดของยุค ภายในมีแผงระบายความร้อน LiquidCool ที่มีขนาดใหญ่ ช่วยให้เล่นเกมได้ยาวนานมากขึ้น ใช้งานร่วมกับ LPDDR5X RAM 12GB และ UFS 4.0 ROM เพิ่มสปีดการทำงานเบื้องหลังไปอีก
ผลการทดสอบ Geekbench 6 จะได้คะแนนพอ ๆ กัน
- Xiaomi 13 ได้คะแนน Single-core 1391 / Multi-core 5181
- Xiaomi 13 Pro ได้คะแนน Single-core 1383 / Multi-core 5150
สเปค XIAOMI 13
- จอภาพ : AMOLED E6 ขนาด 6.36 นิ้ว
– ความละเอียด Full HD+
– อัตรารีเฟรช 120Hz
– รองรับ HDR10, HDR10+, Dolby Vision, HLG - ชิป : Snapdragon 8 Gen 2
- หน่วยความจำ : RAM LPDDR5x 8 / 12GB
- สตอเรจ : ROM UFS 4.0 256GB
- กล้องหลัง :
– กล้องหลัก 54MP, เซนเซอร์ IMX800 ขนาด 1/1.49นิ้ว, ระบบกันสั่น HyperOIS
– กล้องอัลตราไวด์ 12MP, มุมกว้าง 120 องศา
– กล้องเทเลโฟโต 10MP, ความยาวโฟกัส 75 มม. - – ถ่ายวิดีโอสูงสุด 8K แบบ HDR ที่ 24 เฟรมต่อวินาที
- กล้องหน้า : 32MP
– ถ่ายวิดีโอสูงสุด 1080p ที่ 30 เฟรมต่อวินาที - เสียง : ลำโพงสเตอรีโอ
– รองรับ Hi-Res
– รองรับ Dolby Atmos - แบตเตอรี่ : 4500mAh
– รองรับชาร์จไว 67W
– รองรับชาร์จไร้สาย 50W
– รองรับการชาร์จให้อุปกรณ์อื่น 10W - การเชื่อมต่อ : Wi-Fi 6 / Bluetooth 5.3 / NFC
- ความทนทาน : ทนน้ำและฝุ่น IP68
- ระบบปฏิบัติการ : MIUI 14 บนพื้นฐาน Android 13
- ขนาด / น้ำหนัก : 152.8 มม. x 71.5 มม. x 7.98 มม. / 189 กรัม
สเปค XIAOMI 13 PRO
- จอภาพ : AMOLED แบบ LTPO ขนาด 6.73 นิ้ว
– ความละเอียด 2K
– อัตรารีเฟรช 1 – 120Hz
– ความลึกสี 10-bit
– รองรับ HDR10, HDR10+, Dolby Vision, HLG - ชิป : Snapdragon 8 Gen 2
- หน่วยความจำ : RAM LPDDR5x 12GB
- สตอเรจ : ROM UFS 4.0 256 /512GB
- กล้องหลัง :
– กล้องหลัก 50MP, เซนเซอร์ IMX989 ขนาด 1 นิ้ว, ระบบกันสั่น HyperOIS
– กล้องอัลตราไวด์ 50MP, มุมกว้าง 115 องศา, ระยะโฟกัสใกล้สุด 5 ซม.
– กล้องเทเลโฟโต 50MP, ความยาวโฟกัส 75 มม., ระยะโฟกัสใกล้สุด 10 ซม.
– ถ่ายวิดีโอสูงสุด 8K แบบ HDR ที่ 24 เฟรมต่อวินาที - กล้องหน้า : 32MP
– ถ่ายวิดีโอสูงสุด 1080p ที่ 30 เฟรมต่อวินาที - เสียง : ลำโพงสเตอรีโอ
– รองรับ Hi-Res
– รองรับ Dolby Atmos - แบตเตอรี่ : 4820mAh
– รองรับชาร์จไว 120W
– รองรับชาร์จไร้สาย 50W Pro
– รองรับการชาร์จให้อุปกรณ์อื่น 10W - การเชื่อมต่อ : Wi-Fi 6 / Bluetooth 5.3 / NFC
- พอร์ต : USB Type-C 2.0
- ความทนทาน : ทนน้ำและฝุ่น IP68
- ระบบปฏิบัติการ : MIUI 14 บนพื้นฐาน Android 13
- ขนาด / น้ำหนัก : 162.9 มม. x 74.5 มม. x 8.38 มม. / 229 กรัม
Genshin Impact
เกมปราบเซียนที่กินทรัพยากรหนักอย่าง Genshin Impact พอเปิดความละเอียดสูงสุด Highest พร้อมปรับเฟรมเรตให้เป็น 60fps ภาพลื่น ๆ เล่นไป 40 นาที เครื่องก็ร้อนถึงจุดที่รู้สึกไม่สบายมือ และสังเกตได้ว่าเฟรมเรตเริ่มดรอปลงไปแล้ว ดังนั้น ควรปรับเฟรมเรต 30fps ก็จะได้เล่นเกมต่อไปได้อีก
PUBG
PUBG เกมเปิดโลกกว้างที่ไม่เน้นกราฟิกเท่าเกนชิน เมื่อเล่นบน Xiaomi 13 และ Xiaomi 13 Pro ก็สามารถปรับกราฟิกระดับสูงสุดได้เหมือนกัน แต่ว่าหลังเล่นไป 40 นาทีแล้วเครื่องจะถึงจุดที่ร้อนมาก ๆ แม้ยังไม่ดรอปเฟรมเรตลงมา แต่คิดว่าควรปรับระดับลงนิดนึงเป็นการดี
ROV
สำหรับเกมที่ไม่เน้นกราฟิกมากขนาดนั้นอย่าง ROV ก็แน่นอนว่าปรับภาพระดับสูงสุดแล้วเล่นไปเลยยาว ๆ ไหลลื่นไม่มีปัญหา จัดไป 4 ตาติดก็เครื่องอุ่น ๆ เท่านั้น ไม่ต้องหยุดพักให้เสียจังหวะ
แบตเตอรี่อึดใช้ได้
Stand by: ถ้าวางมือถือทิ้งไว้เฉย ๆ แบตเตอรี่ก็ไม่ได้ลดลงไปเยอะ หลังวางข้ามคืน 10 ชั่วโมง พบว่าทั้งสองรุ่นแบตลดลงไปเพียง 3%
เปิดใช้งานดูคลิป ความสว่างจอ 50% และเปิดเสียงดัง 50% กำลังดี เริ่มที่แบต 100% หลังผ่านไป 8 ชั่วโมง Xiaomi 13 แบตเหลือ 58%/ Xiaomi 13 Pro แบตเหลือ 42% ซึ่งที่รุ่นท็อปแบตลดไวกว่า คาดว่ามาจากการที่เปิดหน้าจอความละเอียดสูงสุด WQHD เอาไว้
จากแบตเต็มร้อย เล่นเกม Genshin Impact เป็นเวลา 40 นาที Xiaomi 13 แบตเหลือ 89%/ Xiaomi 13 Pro 92%
รวม ๆ แล้วแบตเตอรี่ทั้งสองรุ่นจัดการมาดี แบตเตอรี่อยู่ในเกณฑ์ใช้งานได้เต็มวัน ไม่ต้องห่วงเรื่องชาร์จเลย
การชาร์จ
Xiaomi 13 รองรับการชาร์จไว 67W และ Xiaomi 13 Pro อยู่ที่ 120W Boost Charge ซึ่งก็ให้มาเหมาะสมกับความจุแบตเตอรี่ หลังปล่อยให้มือถือแบตเหลือ 10% แล้วชาร์จ พบว่าหลังจาก 15 นาที Xiaomi 13 แบตเพิ่มมาอยู่ที่ 50% และ Xiaomi 13 Pro อยู่ที่ 79%
สุดท้ายแล้ว Xiaomi 13 แบตเตอรี่ชาร์จเต็มใน 40 นาที ส่วน Xiaomi 13 Pro แบตเตอรี่ชาร์จเต็มใน 21 นาที
ซอฟต์แวร์สไตล์ Xiaomi
Xiaomi 13 Series มาพร้อมกับระบบ MIUI 14 บน Android 13 เข้าหน้าจอมาก็เจอของเล่นใหม่ ทั้งระบบ Widget แบบใหม่ และสามารถทำโฟลเดอร์ขนาดใหญ่ได้ แต่ส่วนอื่น ๆ ยังรู้สึกได้ว่ามีความเป็นเสียวหมี่เหมือนเดิม ไม่ต่างอะไรกับเวอร์ชันอื่นมาก
ข้างในยังเต็มไปด้วยฟีเจอร์ขวัญใจมหาชน อย่าง Clone App, Lock App, Second Space, เพิ่ม Virtual RAM, และการตั้งค่าเสียง ตั้งหน้าจอ Always-on Display และอื่น ๆ อีกมากมาย
**เลขสีเขียวด้านซ้ายบน เปิดเอาไว้เพื่อทดสอบรีเฟรชเรตหน้าจอครับ**
และหลังผ่านการใช้งานมา ไม่พบเจอบั๊ก หรืออะไรแปลก ๆ แอนิเมชันมีความลื่นไหล ไม่มีช่วงกระตุกเวลาสับเปลี่ยนแอป การแจ้งเตือนเที่ยงตรงไม่ตกหล่น รวมแล้วได้สัมผัสการฉับไวสมเป็นเรือธง
โฆษณายังมีอยู่จ้า
ถึงแม้มือถือเสียวหมีจะเปลี่ยนรุ่นไปนานเท่าไร จนฐานราคาขยับมาตีตลาดพรีเมี่ยมสู้ค่ายอื่น ๆ แล้ว สิ่งที่ยังมีอยู่คือโฆษณา และ Bloatware ต่าง ๆ ที่เปิดเครื่องมาก็พบเจอได้ทันที อย่างโฆษณาหน้าเว็บต่าง ๆ ขึ้นพาดหัวในหน้า Lock Screen พร้อมใช้ปรับภาพพื้นหลังเป็นภาพบทความด้วย
ข้างในจะพบ GetApps เป็นร้านแอปที่ลบออกไม่ได้จากเครื่อง แถมครั้งแรกที่เข้าไปก็จะเชิญชวนให้ดาวน์โหลด “แอปสำคัญ” (Essential Apps) นับสิบ ๆ ตัวด้วย ถ้าเป็นคนชอบกดรับ ๆ ผ่านไป คงหวังมีแอปอะไรไม่รู้เต็มเครื่อง
สรุป Xiaomi 13 และ Xiaomi 3 Pro เหมาะกับใคร?
Xiaomi 13 เป็นมือถือร่างเล็ก สเปคแน่น มาพร้อมจอสวย ชิปแรง กล้องระดับคุณภาพได้ตรา Leica ด้วย สวยเด่นไม่แพ้รุ่นท็อป ทำให้เหมาะกับคนต้องการมือถือที่พกพาง่าย ใช้งานได้เร็ว แต่แบตเตอรี่อาจจะหมดไวเร็วกว่าเล็กน้อย แต่ชาร์จเร็วแป็บเดียวเต็ม ก็ไม่น่าเป็นปัญหา
Xiaomi 13 Pro พี่ใหญ่ไซส์ใหญ่ ที่ได้จอมากความสามารถกว่าบางด้าน ความแร็วแรงก็พอ ๆ กันกับรุ่นธรรมดา แต่ได้เปรียบเรื่องกล้องที่มีฮาร์ดแวร์และฟีเจอร์ครบครันกว่า แบตเตอรี่ก็ใหญ่กว่า ใครสายกล้องอยากใช้งานแบบจัดเต็ม ก็ต้องตัวนี้
- Xiaomi 13 ความจุ 12/256GB ราคา 29,990 บาท
- Xiaomi 13 Pro ความจุ 12/512GB ราคา 39,990 บาท
จุดเด่น
- จอ AMOLED สีสวย
- รีเฟรชเรต 120Hz จอไหลลื่นสุด ๆ
- กล้อง Leica ได้สีสันเทียงตรง ปรับแต่งได้เยอะ
- ซูมกล้องได้ไกล พอเก็บรายละเอียดได้
- ชิปแรงเล่นได้ทุกเกม
- RAM LPDDR5X กับ UFS 4.0 ประมวลข้อมูลไว
- ลำโพงเสียงดีใช้ได้
- แบตเตอรี่อยู่ได้นานทั้งวัน
- มีที่ชาร์จให้ครบในกล่อง
- มอเตอร์สั่นฟีลลิ่งดี
- สแกนนิ้วมือบนจอ ติดเร็ว
- ได้มาตรฐาน IP68
- ชา์รจไว 67W/120W
ข้อสังเกต
- กล้องหน้าถ่ายวิดีโอได้แค่ 1080P 30fps
- โมดูลกล้องใหญ่มหึมา
- ซอฟต์แวร์ยังมีโฆษณาเยอะ
- ไม่มีรูหูฟัง 3.5 มม.
- ไม่มีช่อง microSD เพิ่มความจุ
- ราคาแรงขึ้นมากกว่ารุ่นเก่า ๆ
- ฝาหลังสีดำเป็นรอยนิ้วมือง่าย
เครื่องสี่หมื่นยังมีโฆษณา ทำเหมือนสินค้าราคาต่ำสิบ ไม่แปลกใจในตลาดโลกถึงสู้เกาหลีไม่ได้
ถ้าโลโก้ Leica ใส่มาแล้ว ราคาจะพุ่งขนาดนี้ เอาออกเถอะ ไม่มีอะไรน่าดึงดูดเลยจริงๆ ปกติซื้อเสี่ยวหมี จะมองเรื่องราคา ความคุ้มค่าเป็นอันดับแรกๆ
เห้ไรเนี่ย นี่มือถือเครื่องเกือบครึ่งแสน ยังมีโฆษณาอีก แค่พวกแอปสตรีมมิ่งก็พอแล้วมั้ง นี่ลามมายันหน้า lock screen เกินไปจริงๆ
ตอนแรกอยากได้มากๆ แต่พอลองไปจับของจริงมา กล้องหลัก กับ กล้องในระยะอื่นๆ สีแตกต่างกันมากจนเกินไป เหมือนไม่พยายามจะจูนสีให้เหมือนกันเลย เลยถอยดีกว่าครับ