สวัสดีเพื่อนสมาชิก Droidsans ทุกท่านครับ วันนี้ผมขออนุญาตนำเสนอ รีวิว Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos สมาร์ทโฟน Android ตัวใหม่ในซีรีย์ Galaxy Note สำหรับคนชอบขีดๆเขียนๆเป็นชีวิตจิตใจ และเจ้าตัวนี้ยังถือว่าเป็น Galaxy Note รุ่นแรกของเมืองไทยที่รองรับการใช้งานแบบ 2 SIM อีกด้วยครับ สำหรับ Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos นั้นวางจำหน่ายในไทยตั้งแต่ช่วงงาน TME 2014 เมื่อวันที่ 8-11 พฤษภาคมที่ผ่านมา สนนราคาอยู่ที่ 17,800 บาท ซึ่งมีหลายคนวิจารณ์เรื่องความไม่เหมาะสมของราคาพอสมควร แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการที่เราจะซื้อมือถือสักเครื่องหนึ่ง ปัจจัยหลักมันอยู่ที่ความชอบ ครับ ส่วนเรื่องอื่นๆ นั้นเป็นปัจจัยรอง ดังนั้นเรามาลองดูกันว่า Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos นั้นมันเหมาะหรือไม่เหมาะกับราคาค่าตัวของมันนะครับ


ว่ากันด้วยเรื่องสเปก…

สเปกของ Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos นั้นปรับลงมาจาก Samsung Galaxy Note 3 ตัวหลักพอสมควร แต่โดยรวมแล้วก็ยังถือว่าแรงพอตัว และรองรับ 2 SIM ใช้งานได้ทุกเครือข่ายของประเทศไทย ลองมาดูรายละเอียดกัน

  • ชื่อและรหัสเครื่อง : Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos (SM-N7502)
  • สัดส่วน : 148.4 x 77.4 x 8.6 มิลลิเมตร
  • น้ำหนัก : 162.5 กรัม
  • หน้าจอ : Super AMOLED ขนาด 5.5 นิ้ว ความละเอียด HD 720p (720 x 1280 พิกเซล)
  • เครือข่าย : รองรับ 2G ทุกเครือข่าย (850 / 900 / 1800 / 1900) และ 3G ทุกเครือข่าย (850 / 900 / 1900 / 2100)เช่นกัน
  • SIM : รองรับการใช้งาน 2 SIM แบบ micro SIM และสามารถ stand-by ได้พร้อมกัน 2 SIM
  • CPU : Qualcomm Snapdragon 400 Quad-core 1.6 GHz
  • GPU : Adreno 305
  • RAM : 2 GB
  • หน่วยความจำภายใน : 16 GB เพิ่ม microSD ได้ถึง 64GB
  • กล้องหน้า : 2 ล้านพิกเซล ถ่ายวิดีโอได้ที่ความละเอียด Full HD 1080p
  • กล้องหลัง : 8 ล้านพิกเซล พร้อม AF และ LED flash ถ่ายวิดีโอได้ที่ความละเอียด Full HD 1080p
  • แบตเตอรี่ : 3,100 มิลลิแอมป์
  • OS : Android 4.3 Jelly Bean พร้อม TouchWiz Nature UX และฟีเจอร์ S Pen
  • NFC : ไม่มี

 

เกร็ดเล็กน้อยเรื่อง Note 3 Neo

Samsung Galaxy Note 3 Neo นั้นมีอยู่ทั้งหมด 3 รุ่นด้วยกัน คือ Note 3 Neo 3G (SM-N750), Note 3 Neo LTE (SM-N7505) และ Note 3 Neo Duos (SM-N7502) ซึ่งแต่ละรุ่นนั้นรูปร่างภายนอกไม่แตกต่างกันเลย โดยรุ่น SM-N750 นั้นเป็นรุ่น SIM เดียวใช้งาน 3G ได้ ส่วนรุ่น SM-N7505 นั้นรองรับการใช้งาน 4G LTE ส่วนรุ่น SM-N7502 ซึ่งเป็นรุ่นที่จำหน่ายในประเทศไทยนั้นรองรับ 2 SIM ใช้งาน 3G ได้ทั้งคู่ มาลองดูตารางเปรียบเทียบความแตกต่าง ของทั้ง 3 รุ่นกัน

ความแตกต่าง

Note 3 Neo Duos

(SM-N7502)

Note 3 Neo 3G

(SM-N750)

Note 3 Neo LTE

(SM-N7505)

เครือข่าย 2G ที่รองรับ

GSM 850 / 900 / 1800 / 1900

เครือข่าย 3G ที่รองรับ

HSDPA 850 / 900 / 1900 / 2100

HSDPA 900 / 1900 / 2100

HSDPA 850 / 900 / 1900 / 2100

เครือข่าย 4G ที่รองรับ

ไม่รองรับ

LTE 800 / 850 / 900 / 1800 / 2100 / 2600

SIM

2 SIM

1 SIM

Chipset

Qualcomm Snapdragon 400

Exynos 5260

CPU

Quad-core 1.6 GHz

Cortex-A7

Hexa-core: Quad-core 1.3 GHz Cortex A7 และ Dual-core 1.7 GHz Cortex A15

GPU

Adreno 305

Mali-T624

NFC

ไม่มี

มี

น่าเสียดายที่ Samsung ประเทศไทยไม่เอา Note 3 Neo LTE เข้ามาวางจำหน่ายในประเทศไทยด้วย เพราะตอนนี้ตลาด LTE ในประเทศไทยเรากำลังเริ่มต้นกันแล้ว เนื่องจากมี 2 เครือข่ายที่สามารถให้บริการ LTE ได้แล้วคือ DTAC และ Truemove H แต่การนำรุ่น 2 SIM เข้ามาก็ไม่เสียหลายเพราะมีกลุ่มคนที่นิยมใช้มือถือ 2 SIM อยู่เยอะเหมือนกันครับ

 

รอบตัว Galaxy Note 3 Neo Duos …

ขนาดของ Note 3 Neo Duos นั้นหากเทียบกับ Note 3 ตัวหลักก็ถือว่า เล็กลงมานิดหน่อย เพราะด้วยขนาดหน้าจอที่ลดลงมาจาก 5.7 นิ้วมาเป็น 5.5 นิ้วนั่นเองครับ อย่างไรก็ตามการใช้งานด้วยมือเดียวบนมือถือหน้าจอใหญ่ขนาดนี้ยังไงก็ไม่สะดวกครับ การใช้งานสองมือจึงเป็นเรื่องปกติสำหรับอุปกรณ์จำพวก Phablet แบบนี้ รูปร่างโดยรวมของ Note 3 Neo จะเหมือนกับ Note 3 ตัวหลักแบบถอดแบบกันมาเลยครับ ทั้งวัสดุและการจัดวางตำแหน่งของปุ่มและรูต่างๆ ถ้าไม่เอามาเปรียบเทียบกันก็ไม่รู้หรอกนะว่าคนละรุ่น ลองมาดูรอบๆตัวเครื่องของ Note 3 Neo Duos กันดีกว่า

ด้านบนของตัวเครื่องมีช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตรและไมค์ตัดเสียง

 

ด้านขวาจะมีปุ่ม Power เพียงอย่างเดียวตามสไตล์ของ Samsung

 

ส่วนด้านซ้ายก็จะมีปุ่ม Volume Control ตามสไตล์ของ Samsung อีกเช่นกัน

 

ด้านล่างของตัวเครื่องประกอบไปด้วยไมโครโฟนสำหรับสนทนา, ช่องเสียบสาย mcroUSB สำหรับชาร์จและโอนข้อมูล, ลำโพงสำหรับเสียงเรียกเข้าและฟังเพลง และแน่นอน…S Pen

 

ด้านหน้าของตัวเครื่องนอกจากหน้าจอ Super AMOLED ขนาด 5.5 นิ้วแล้ว ส่วนบนจะมีลำโพงสำหรับสนทนาอยู่ตรงกลาง ด้านซ้ายชองลำโพงเป็น ไฟ LED สำหรับแจ้งเตือน ด้านขวาของลำโพงจะเป็น Proximity Sensor สำหรับปิดหน้าจออัตโนมัติเวลาสนทนา และ Light Sensor จับความสว่างของแสงภายนอก และสุดท้ายเป็นกล้องหน้าความละเอียด 2 ล้านพิกเซล ส่วนล่างของจอก็ตามลายเซ็นต์ของ Samsung คือ ปุ่ม Home แบบปุ่มจริงอยู่ตรงกลาง ปุ่มเมนูด้ายซ้ายและปุ่ม Back ด้านขวาเป็นปุ่มแบบสัมผัสครับ

 

ด้านหลังประกอบด้วย กล้องหลักขนาด 8 ล้านพิกเซลพร้อม LED Flash โดยฝาหลังของ Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos จะเหมือนกับ Note 3 ตัวแม่เลย คือเป็นพลาสติกแบบ Faux Leather ที่ถูกทำให้ดูเหมือนว่าเป็นหนังจริงๆ พอจับดูแล้วจะรู้ว่าไม่ใช่ แต่ก็ช่วยให้ความรู้สึกนั้นดีกว่าการจับพลาสติกแบบธรรมดาและการจับถือนั้นติดมือไม่ลื่นไหลหลุดมือได้ง่าย รอยตะเข็บเทียมที่เย็บรอบฝาหลังก็ยังมีอยู่เหมือน Note 3 ส่วนขอบเงินรอบตัวเครื่องจะไม่เป็นเส้นๆ แล้วแต่จะเป็นแบบเรียบๆแทน นอกจากนั้นฝาหลังยังสามารถถอดออกมาได้ด้วยครับ

พอแกะฝาหลังออกมาเราจะพบช่องใส่ microSIM 2 ช่อง และช่องใส่ microSD card นอกจากนั้นก็เป็นแบตเตอรี่ขนาด 3,100 mAh ที่ต้องบอกว่าอึดได้ใจเลยทีเดียว

 

 

หน้าจอ Super AMOLED 5.5 นิ้ว 720p…

อย่างที่ทราบกันจากสเปกก่อนหน้านี้ว่า หน้าจอของ Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos นั้นเป็นแบบ Super AMOLED ขนาด 5.5 นิ้ว โดยมีความละเอียดหน้าจออยู่ที่ HD 720p หรือ 720 x 1280 พิกเซล คิดเป็นความหนาแน่นพิกเซลที่ 267 PPI ตรงนี้หลายคนเสียดายว่า ทำไมหน้าจอกว้างตั้ง 5.5 นิ้วไม่ให้เป็น Full HD 1080p ไปเลย แบบนี้ก็เห็นเม็ดพิกเซลกันพอดี แต่จากการใช้งานจริงพบว่า หน้าจอนั้นชัดพอสมควร ด้วยสายตาของผมเองก็ไม่เห็นเม็ดพิกเซลอย่างที่หลายคนกลัวกัน การดูภาพถ่ายหรือวิดีโอต่างๆ ก็ชัดเจนดีไม่มีปัญหา และด้วยสีสันจัดจ้านของหน้าจอ Super AMOLED อาจจะตรงกับความชอบของหลายๆ คนที่ชอบสีจัดๆ แบบไม่ต้องตรงกับสีจริงสักเท่าไหร่

แต่สำหรับคนที่บอกว่า ถ้าอยากได้สีตรงบนหน้าจอ Super AMOLED ก็ไปปรับ Screen Mode ให้เป็นแบบอื่น เช่น Movie แล้วสีที่ได้จะไม่จัดและตรงกับสีจริงมากขึ้น ปรากฎว่า เมนูนี้ถูกตัดออกไปบน Galaxy Note 3 Neo ครับ ด้วยสาเหตุอะไรก็ไม่สามารถรู้ได้ ปกติเมนู Screen Mode จะอยู่ในส่วน Display ของหน้า Settings แต่ปรากฎว่าเมนูนี้หายไป และผมได้ลองค้นหา Screen Mode จากส่วนการค้นหา Settings ปรากฎว่ามี ชื่อเมนู Screen Mode โผล่ขึ้นมาครับ แต่พอกดเข้าไปแล้วก็เข้าไปหน้า Display ซึ่งไม่มีเมนูนี้เหมือนเดิม สรุปว่า Galaxy Note 3 Neo ปรับสีไม่ได้นะจ๊ะ

 

 

ว่ากันด้วยเรื่อง Software …

ในส่วนของซอฟท์แวร์นั้น Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos มาพร้อมกับ Android 4.3 Jelly Bean พร้อม TouchWiz Nature UX และฟีเจอร์พิเศษสำหรับ S Pen โดยเฉพาะ ซึ่งขึ้นชื่อว่า Note 3 แล้วก็ต้องถอดแบบฟีเจอร์ของ Note 3 ตัวแม่มาแบบเป๊ะๆ ซึ่งมันก็เป๊ะเลยครับ ฟีเจอร์อะไรที่มีใน Note 3 ตัวแม่ก็มาอยู่ใน Note 3 Neo Duos ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น Air Command, Action Memo, Scrapbook, Screen Write, S Finder และ Pen Window มากันแบบครบครัน ซึ่งทางมด Gimme เคยเขียนบล็อกรีวิวฟีเจอร์เหล่านี้ใน Note 3 ไว้ค่อนข้างชัดเจนตรงประเด็นที่สุด ใครสนใจไปอ่านได้ที่ [Review] Samsung Galaxy Note 3 ฟีเจอร์รีวิว – ใช้ได้จริงไม่จริงยังไง มาดูกัน และผมเห็นว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมาร่ายซ้ำอีก อีกทั้งตอนนี้ทรัพยากรในโลกของเราก็มีจำกัด จึงขออนุญาต reuse บล็อกของมด Gimme ไปเลยละกันนะคร้าบ ^_^ (ว่าไปนู่น จริงๆ ไม่อยากเขียนกลัวเขียนแล้วไม่อาจทาบรัศมีได้ ฮ่าฮ่า)

Air Command , Action Memo และ Scrapbook


Screen Write, S Finder และ Pen Window


Easy Mode

สำหรับ TouchWiz UI จะมีการใช้งานอยู่ mode หนึ่งที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักมากนัก ชื่อว่า Easy Mode หรือ “โหมดใช้ง่าย” ที่สามารถเปลี่ยนรูปแบบการใช้ของ TouchWiz ให้เหมาะสำหรับคนที่เพิ่งใช้ Smartphone ครั้งแรก หรือคนที่ไม่ต้องการใช้อะไรมากมาย เน้นใช้งานโทรศัพท์กับ App เพียงไม่กี่อย่าง ยึดความง่ายเป็นหลัก อย่างเช่น ผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุ ที่อาจจะคุ้นเคยกับการใช้งานลักษณะที่เป็น Featurephone มากกว่า ซึ่งจริงๆ แล้ว Easy Mode ถูกสร้างขึ้นมาสำหรับคนกลุ่มนี้โดยเฉพาะโดยนอกจากจะใช้งานง่ายแล้วยังมีรูปไอคอนและตัวหนังสือที่ใหญ่ขึ้นอีกด้วย การเปิดใช้ Easy Mode ทำได้โดยการเข้าไปที่หน้า Settings แล้วเลือก Device จากนั้นมองหาตัวเลือกที่ชื่อว่า Easy Mode กดเข้าไปเปิดสวิชท์ใช้งานได้เลย หน้าตา Easy Mode จะเป็นแบบนี้ (ขออนุญาตเปลี่ยนภาษาเครื่องเป็นภาษาไทยด้วยเพื่อให้เข้ากับการใช้งาน)

Easy Mode นั้นจะแบ่งเป็น 3 หน้าจอ โดยหน้า Home จะแสดงข้อมูลเวลา, พยากรณ์อากาศและปฏิทิน นอกจากนั้นก็จะมีแอพพื้นฐานวางอยู่ 6 อันคือ กล้องถ่ายรูป, แกลเลอรี่, อินเตอร์เน็ต, โทรศัพท์, สมุดรายชื่อ และกล่องข้อความ SMS ปัดมาทางด้ายซ้ายจะเป็นเพิ่มเบอร์โทรศัพท์ที่เราทำการติดต่อบ่อยไว้บนหน้าจอ เพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องกดค้นหาเบอร์ทุกครั้งที่เราจะโทรหาคนเหล่านี้ ส่วนหน้าด้านขวาของหน้า Home จะเป็นหน้ารวมแอพที่เราต้องการใช้งานบ่อยๆ ซึ่งเราสามารถเพิ่มหรือลบแอพในหน้าจอนี้ได้ไม่เปิน 9 แอพ ถ้านอกเหนือจากนั้นต้องเข้าไปที่ “แอพเพิ่มเติม”

การลบรายชื่อและแอพออกจากหน้าจอ สามารถทำได้โดยการกดปุ่มเมนูแล้วเลือกที่ “แก้ไข” จะสามารถลบรายชื่อหรือแอพที่ อยู่บนหน้าจอได้ครับ

 

Multi Windows

การใช้งาน Multi Windows เพื่อแบ่งครึ่งหน้าจอแล้วใช้งานแอพ 2 แอพได้พร้อมๆกันนั้นมีมานานแล้วในซีรีย์ของ Galaxy Note และมีการพัฒนาเพิ่มเติมมาเรื่อยๆ ทางด้านนักพัฒนาแอพเองพยายามก็ทำให้แอพตัวเองสามารถทำงานร่วมกับ Multi Windows ของ Samsung Galaxy ได้เพิ่มขึ้นเช่นกัน สำหรับวิธีการใช้งานดูได้จากบล็อกของมด Gimme แต่สิ่งที่ผมอยากจะบอกเพิ่มเติมคือ ตอนนี้ Line รองรับ Multi-window แล้ว ส่วน Facebook Messenger นั้นยังไม่รองรับและคิดว่าคงจะไม่ทำเพราะ Facebook เค้ามี Chathead ที่ทำให้ Facebook Messenger เป็น multitasking โดยสมบูรณ์ ไม่จำเป็นต้องแบ่งครึ่งหน้าจอใช้กับ Multi Windows ก็ได้

 

ภาษาไทยบน Samsung Keyboard

ส่วนนี้จะบอกเล่าข้อสังเกตที่ได้จากการใช้งานภาษาไทยบน Samsung Keyboard ซึ่งความสามารถต่างๆก็เหมือนกับที่มีอยู่บน Galaxy Note 3 เลย รวมถึงฟีเจอร์การลากนิ้ว (Swipe) ไปตามตัวอักษรต่างเพื่อประกอบเป็นคำ ซึ่งสะดวกมากเพราะสามารถพิมพ์ได้ด้วยมือเพียงข้างเดียว แต่ปัญหามันอยู่ที่ Layout คีย์บอร์ดภาษาไทยนั้นแสดงเฉพาะตัวอักษรที่ใช้ได้ในขณะนั้น ไม่ได้แสดงตัวอักษรแคร่บนที่ต้องกด Shift เพื่อใช้งาน ทำให้การลากนิ้วเพื่อประกอบคำนั้นลำบากสำหรับคนที่จำแป้นคีย์บอร์ดไม่ได้ทั้งหมดแบบผม สำหรับคนที่จำได้คงไม่มีปัญหา ตัวอย่างเช่น คำว่า “โดย” สระโอนั้นอยู่บนแป้นตัว “ด” แต่พอจำไม่ได้ก็ต้องกด Shift หาดูก่อนว่า สระโออยู่ไหน แล้วค่อยลากนิ้วซึ่งทำให้เสียเวลามากขึ้น หรือคำว่า “เป็น” ตัวไม้ไต่คู้ก็อยู่บนแป้น “ไม้โท” ก็ต้องกด Shift ดูอีกเหมือนกัน ซึ่งปัญหาไม่เจอบน Swype, TSwipe หรือ SwiftKey เพราะ Layout ภาษาไทยของทุกตัวแสดงตัวอีกษรที่อยู่แคร่บนด้วย

 

กล้องหลังและกล้องหน้า…

 

กล้องหลัง ของ Galaxy Note 3 Neo Duos นั้นถ่ายภาพนิ่งได้ที่ความละเอียดสูงสุด 8 ล้านพิกเซลสัดส่วนแบบ 4:3 และสามารถถ่ายแบบมุมกว้าง (wide) ได้ที่ความละเอียด 6 ล้านพิกเซลสัดส่วนเป็น 16:9 เซ็นเซอร์เป็นของ Samsung เอง ค่า Aperture ของเลนส์อยู่ที่ F2.4 ภาพถ่ายที่ได้จากเจ้า Galaxy Note 3 Neo นั้นถือว่าดีครับ ถ้าเป็นที่ๆมีแสงเพียงพอจะถ่ายง่ายได้ภาพที่ดี ถ้าแสงน้อย focus จะหลุดเร็วมาก ภาพจะเบลอง่าย มือต้องนิ่งจริงๆ สำหรับแอพ Camera มีโหมดถ่ายรูปให้เล่นหลายแบบไม่ว่าจะเป็น

  • Auto : เป็นโหมด default ถ่ายเลยเดี่ยวจัดให้ ประมาณนั้น
  • Baby face : ถ่ายแล้วหน้าเนียน หน้าเด็กกันไปเลย
  • Best photo : ถ่ายหลายๆภาพต่อเนื่องกันแล้วเลือกรูปที่ดีที่สุด
  • Continuous shot : ถ่ายภาพเคลื่อนไหวแบบต่อเนื่อง
  • Best face : ถ่ายภาพหมู่แล้วเลือกหน้าที่ดีที่สุดของแต่ละคน
  • Sound & shot : ถ่ายภาพแล้วอัดเสียงลงไปด้วย เพิ่มเรื่องราวให้ภาพนั้น
  • Rich tone (HDR) : ถ่ายหลายๆสภาพแสง แล้วนำภาพมารวมกัน
  • Panorama : ถ่ายแบบพาโนรามา
  • Sports : ถ่ายภาพวัตถุที่มีการเคลื่อนไหวเร็ว
  • Night : ถ่ายภาพในที่แสงน้อยถึงน้อยมาก โดยจะมีการชดเชยแสงและเกลี่ยพิกเซลให้ภาพแตกน้อยลง

ลองมาดูตัวอย่างภาพถ่ายของ Galaxy Note 3 Neo กันครับ ขอย้ำว่าทุกภาพแค่ผ่านการ resize มาอย่างเดียว

*ส่วนอัลบั้มเต็ม ตามไปดูได้ที่ Google+ เลยครับ*

ภาพกลางแจ้ง


ภาพในอาคาร

 

 

ภาพกลางคืน


สำหรับการถ่ายวิดีโอสามารถได้ที่ความละเอียดสูงสุด Full HD 1080p และ framerate ที่ 30 fps ภาพวิดีโอที่ได้ถือว่าชัดแ]tเสียงที่อัดมาได้ก็ถือว่าอยู่ในขั้นชัดเจนดี การถ่ายวิดีโอสามารถ Pause กลางทางแล้วถ่ายต่อได้ ไม่ต้อง Stop ทุกครั้ง มาดูตัวอย่างวิดีโอครับ

Play video

Play video

 

สำหรับกล้องหน้านั้นเป็นแบบ Fixed focus ความละเอียด 2 ล้านพิกเซลใช้เซนเซอร์ของ Samsung คุณภาพของภาพถ่ายก็ถือว่าตามมาตรฐานไม่มีอะไรพิเศษ แต่จะสามารถถ่าย Beauty ได้ด้วย ดังนั้นขา Selfie น่าจะชอบ หน้าหลุมๆ หน้ามันๆ กลายเป็นหน้าเนียบกริ๊บ แถมเวลายกมาถ่ายหน้าตัวเองนี่ใหญ่มากชัดมาก ภาพตัวอย่างก็ตามด้านล่างเลยครับ

 

สมรรถภาพและความอึด

จากการวัดประสิทธิภาพของตัวเครื่องด้วย App ยอดนิยมอย่าง Antutu, Quadrant และ Basemark OS II ได้ผลออกมาดังภาพ

จากผลคะแนนที่ได้ออกมาจากทั้ง 3 แอพต้องบอกว่าประสิทธิภาพของ Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos นั้นไม่ได้ดีมาก แต่ก็ไม่ได้แย่ซะทีเดียว ถ้ามองตามรูปแบบการใช้งาน ต้องบอกว่าเกินพอสำหรับการใช้งานทั่วไป ส่วนการเล่นเกมส์ก็เล่นได้สบายๆ ถึงแม้จะเป็นเกมส์ 3D จ๋า Texture หนักๆ ก็เล่นได้นะครับ อาจจะมีกระตุกนิดหน่อย แต่ถ้า Cookie Run, Line Ranger, Candy Crush นี่สบายๆเลย

มาในส่วนของแบตเตอรี่นั้น ต้องบอกว่าประทับใจมากเพราะสามารถใช้งานได้ 1 วันกว่าๆแบบสบายๆ มีการใช้งานทั้งวัน โดยเป็นการใช้งานทั่วไปคือ Social, ถ่ายรูป และ ฟังเพลง ปรากฎว่าผ่านไป 1 วันกับอีก 12 ชั่วโมง แบตก็ยังเหลืออยู่ที่ถึง 20% ต้องขอบคุณเจ้าแบตเตอรี่ความจุ 3,100 mAh ที่มีให้ใช้งานอย่างเกินพอ

 

สรุปข้อดีและข้อเสีย…

ข้อดี

  • ใช้งานได้ 2 SIM รองรับทุกเครือข่ายของประเทศไทย
  • S Pen แบบเดียวกับ Note 3
  • จอสวย
  • ประสิทธิภาพดี
  • แบตเตอรี่อึด
  • ภาพถ่ายกลางแจ้งคมชัด

ข้อเสีย

  • TouchWiz UI กินทรัพยากรเครื่องค่อนข้างมาก
  • ยังไม่ใช่ Android 4.4.2 KitKat
  • Layout ของคีย์บอร์ดภาษาไทย ยังไม่เหมาะกับการลากนิ้ว (Swype)
  • ภาพถ่ายตอนแสงน้อยไม่แจ่ม
  • ปรับ Screen Mode ไม่ได้


สรุปส่งท้าย…

Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos เป็นมือถือในซีรีย์ Note รุ่นแรกของประเทศไทยที่รองรับการใช้งานได้ 2 SIM พร้อมกัน ด้วย CPU Snapdragon 400 แบบ Quad-core ความเร็ว 1.6 GHz และ RAM ที่ให้มา 2GB นั้น ในแง่ประสิทธิภาพของเครื่องถือว่า ยิ่งกว่าเพียงพอในการใช้งานทั่วๆไป รวมถึงการเล่นเกมส์ไม่ว่าจะ 2D หรือ 3D ก็สามารถเล่นได้อย่างไม่มีปัญหา ในขณะที่หน้าตาของตัวเครื่องนั้นถอดแบบมาจาก Galaxy Note 3 เลย เรียกว่า ถ้าไม่จับมาเทียบกันก็ไม่เห็นความต่างอย่างแน่นอน ความสามารถในด้าน Software ของรุ่นนี้ก็ถอดแบบมาจาก Galaxy Note 3 อย่างครบครันเช่นกันรวมถึงฟีเจอร์ S Pen ที่เป็นเอกลักษณ์และจุดแข็งของมือถือซีรีย์นี้ ก็ใช้งานได้อย่างลื่นไหลไม่มีปัญหา อาจจะต้องมีการ clear RAM และ Cache บ้างเป็นครั้งคราว เนื่องจากตัว TouchWiz UI เองก็กินทรัพยากรเครื่องไปพอสมควร

Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos จะมีวางจำหน่ายด้วยกัน 3 สีคือ ขาว, ดำ และ เขียว ราคา 17,800 บาท ตรงจุดนี้มีหลายคนติติงว่า ราคาเทียบกับสเปกนั้นแพงไป ซึ่งก็มีส่วนถูกเพราะถ้าดูสเปกกันแต่จริงๆแล้วมีรุ่นอื่นที่สเปกใกล้เคียงกันแต่ราคาถูกกว่าพอสมควร แต่ถ้าเรามองที่ความสามารถเฉพาะตัวของ Note 3 Neo ไม่ว่าจะเป็นจอ Super AMOLED และปากกา S Pen ตรงจุดนี้น่าจะเป็นตัวเพิ่มมูลค่าให้กับมือถือสเปกระดับนี้พอสมควร แถมยังรองรับ 2 SIM แบบรักทุกค่ายอีกต่างหาก ดังนั้นมือถือราคา 17,800 บาทจะคุ้มหรือไม่คุ้ม มันขึ้นอยู่กับความชอบและความต้องการที่เราต้องการจะนำมาใช้งานมากกว่า ถ้าเราบอกว่า S Pen ไม่ใช้ 2 SIM ไม่จำเป็น รุ่นนี้ก็อาจจะไม่ใช่คำตอบ แต่ถ้าเราบอกว่า อยากได้มือถือ Note 2 SIM เพราะชอบใช้ S Pen นี่คือตัวเลือกเดียวที่มีอยู่ตอนนี้เลยล่ะครับ สำหรับรีวิวขอจบลงเพียงเท่านี้ เจอกันใหม่โอกาสหน้าครับ