ทุกวันนี้กล้องมือถือได้พัฒนาไปไกลมาก ๆ หากเทียบกับช่วงเวลา 10 กว่าปีก่อน ซึ่งมือถือในซีรีส์ Galaxy S จาก Samsung ก็ถือเป็นหนึ่งในผู้นำของอุตสาหกรรมนี้ และก็ได้เดินทางเข้าสู่ปีที่ 11 เรียบร้อยแล้ว โดยในช่วงเวลาที่ผ่านมาก็มีทั้งการปรับปรุงและพัฒนาทั้งในส่วนของฮาร์ดแวร์รวมถึงซอฟต์แวร์ จนมาถึง Galaxy S21 ในปัจจุบันนี้

Samsung Galaxy S : Panorama Shot

มือถือ Galaxy ยุคบุกเบิกรุ่นแรกจาก Samsung ที่ประสบความสำเร็จด้านยอดขายอย่างน่าพึงพอใจ มาพร้อมกับกล้องหลังความละเอียด 5M รองรับการบันทึกวิดีโอที่ความคมชัดระดับ HD มีระบบออโต้โฟกัสในพร้อม คุณสมบัติการจดจำใบหน้า และฟังก์ชั่นลดการสั่นไหว นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์พาโนรามา ถ่ายภาพหลาย ๆ ใบแล้วนำมาต่อกันยาว ๆ ได้อีกด้วย ซึ่งอาจเป็นฟีเจอร์ที่ดูธรรมดาสำหรับสมัยนี้ แต่จริง ๆ แล้วในตอนนั้นต้องบอกว่า มีประโยชน์มากทีเดียว เพราะกล้องอัลตร้าไวด์ในสมาร์ทโฟนก็ยังไม่มี แถมเวลาจะทำภาพพาโนรามาปกติต้องมาทำเองในโปรแกรมแต่งรูปอีก

ส่วนกล้องหน้าของ Galaxy S มีความละเอียดในระดับ VGA เน้นการใช้งานด้านวิดีโอคอลเป็นหลัก เนื่องจากการถ่ายภาพเซลฟี่ยังไม่ได้รับความนิยมเท่าไหร่นักในตอนนั้น จึงไม่จำเป็นต้องอัดความละเอียดสูง ๆ มาให้

Samsung Galaxy S2 : Flash LED

หนึ่งปีหลังจากนั้น Samsung ไม่รอช้า ต่อยอดความสำเร็จของ Galaxy S ด้วยการเปิดตัว Galaxy S2 ตามออกมา คราวนี้ถูกยกเครื่องทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง โดยการเพิ่มความละเอียดขึ้นเป็น 2MP และ 5MP ตามลำดับ แถมยังใส่แฟลช LED มาให้อีก 1 ดวง (รุ่นแรกไม่มี) ระบบการโฟกัสเองก็ถูกปรับปรุงขึ้นด้วยเช่นกัน อีกทั้งยังมีลูกเล่นเจ๋ง ๆ ในการแปลงภาพถ่ายให้มีลักษณะเป็นภาพการ์ตูนเก๋ ๆ ด้วย

Samsung Galaxy S3 : Burst Shot

ถัดมากับ Galaxy S3 ที่เผยโฉมในปี 2012 กันบ้าง กล้องหลังความละเอียด 8MP ของสมาร์ทโฟนรุ่นนี้สามารถบันทึกภาพได้แบบไม่มีดีเลย์ ด้วยโหมด Zero Shotter Lag กดชัตเตอร์ปุ๊บ บันทึกรูปปั๊บ และสามารถถ่ายภาพแบบ Burst Shot รัว ๆ ได้ 20 รูป ภายในเวลา 3.3 วินาที พร้อมกันนี้ก็มีอัลกอริทึม Best Photo คัดเลือกภาพที่ดีที่สุดให้โดยอัตโนมัติด้วย ส่วนกล้องหน้ามีความละเอียดอยู่ที่ 1.9MP

Samsung Galaxy S4 : Dual Shot

เป็นครั้งแรกของ Samsung ที่ได้ก้าวผ่านกำแพงของกล้องความละเอียด 10MP ด้วย Galaxy S4 ที่มาพร้อมกับกล้องหลัง 13MP และกล้องหน้า 2MP และในคราวนี้ ชิปประมวลผลภาพ (ISP) จำนวน 2 ตัว ที่อยู่ใน Exynos 5410 ได้ถูกดึงมาใช้ประโยชน์กับฟีเจอร์ Dual Shot ซึ่งจะเป็นการถ่ายภาพจากทั้งกล้องหน้าและกล้องหลังพร้อม ๆ กันในเฟรมเดียว ส่วนฟีเจอร์การถ่ายภาพอื่น ๆ ที่น่าสนใจได้แก่ Sound & Shot ถ่ายภาพพร้อมกับบันทึกเสียงลงไปด้วย และ Drama Shot ถ่ายภาพติดกันหลาย ๆ ใบ แล้วนำมารวมกันเพื่อบอกเล่าเรื่องราว

Samsung Galaxy S5 : Rich Tone HDR

Galaxy S5 เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกของ Samsung ที่ได้ใช้เซนเซอร์ภาพภายใต้แบรนด์ ISOCELL (ก่อนหน้านี้ยังเป็นชื่อรหัสยาว ๆ อยู่) มีความละเอียดอยู่ที่ 16MP บนขนาด 1/2.6 นิ้ว การถ่ายภาพในที่แสงน้อยถูกปรับปรุงให้ดีขึ้น ทั้งในด้านของความสว่างที่เพิ่มขึ้นและปริมาณนอยส์ที่ลดลง ทางด้านของการถ่ายภาพแบบ HDR เองก็ถูกพัฒนาขึ้นเช่นเดียวกัน แถมยังใช้งานในการถ่ายวิดีโอได้ด้วย สีสดใจถูกใจวัยรุ่นเลยทีเดียว

Samsung Galaxy S6 : พร้อมถ่ายภาพในเวลา 0.7 วินาที

เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถถ่ายรูปได้อย่างรวดเร็วในทุกสถานการณ์ Samsung ได้เพิ่มฟีเจอร์ Quick Launch เข้ามาใน Galaxy S6 วิธีการก็ง่าย ๆ เพียงแค่กดไปที่ปุ่มโฮมติดกัน 2 ครั้ง โทรศัพท์จะเข้าสู่แอปกล้องและพร้อมใช้งานในเวลาเพียงแค่ 0.7 วินาทีเท่านั้น ฟังก์ชั่นการโฟกัสติดตามวัตถุถือเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นที่สำคัญ ส่วนกล้องหน้า 5MP คราวนี้มีรูรับแสงกว้างถึง ƒ/1.9 ช่วยให้ภาพเซลฟี่มีความสว่างมากขึ้น

Samsung Galaxy S7 : เซนเซอร์ภาพ Dual Pixel

Galaxy S7 พัฒนาอย่างก้าวกระโดดแบบติดเทอร์โบมาก ๆ ทั้งในเรื่องของคุณภาพและระบบโฟกัสอัตโนมัติ จากที่ก่อนหน้านี้ Samsung มักโดนบ่นว่า โฟกัสได้ช้า ไม่ทันใจ Samsung ก็เลยจับเอาเทคโนโลยี dual pixel มายัดใส่ในเซนเซอร์ภาพซะเลย ซึ่งในตอนนั้นเป็นเทคโนโลยีที่มีอยู่แค่ในกล้อง DSLR รุ่นสูง ๆ เท่านั้น ผลลัพธ์ที่ได้ก็น่าพอใจมาก ๆ อาจกล่าวได้ว่า สมาร์ทโฟนรุ่นนี้มีออโต้โฟกัสที่รวดเร็วและแม่นยำที่สุดในตลาด ณ ขณะนั้นเลยก็ว่าได้ (กว่าคู่แข่งจะตามทันก็ใช้เวลาหลังจากนั้นอีกพอสมควรเลยทีเดียว)

หลักการทำงานของ dual pixel นั้นตรงตามชื่อ คือ แบ่งพิกเซลทุกจุดบนเซนเซอร์ออกเป็น 2 ส่วน สำหรับตรวจจับวัตถุในลักษณะ phase detection ซึ่งทำงานได้ดีในแทบทุกสภาวะแสง จนถึงปัจจุบันก็ยังมีการใช้งานกันอย่างแพร่หลายอย่าง นอกจากจะโฟกัสได้อย่างรวดเร็วแล้ว ในแง่ของคุณภาพโดยรวมเองก็สุดยอดไม่แพ้กัน เพราะ Galaxy S7 สามารถทำคะแนนรีวิวจาก DXOMARK ไปได้ถึง 88 แต้ม คว้าอันดับ 1 ไปครอง

DxOMark ยก Galaxy S7 edge คือสมาร์ทโฟนที่มีกล้องดีที่สุดเท่าที่เคยทดสอบมา

Samsung Galaxy S8 : อัลกอริทึมประมวลผลสัญญาณภาพใหม่

การที่เราจะถ่ายออกมาให้ได้ผลลัพธ์ดีที่สุดต้องอาศัยองค์ประกอบและปัจจัยหลายอย่าง เช่น แสงสว่างที่เพียงพอและการเคลื่อนไหวของตัวแบบ อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้อาจไม่ใช่อะไรที่สามารถควบคุมได้ในสถานการณ์จริง Samsung จึงได้ปรับปรุงอัลกอริทึมประมวลผลภาพขึ้นมาใหม่ใน Galaxy S8 โดยการถ่ายภาพต่อเนื่องติดกัน 3 เฟรม จากนั้นจึงค่อยเลือกรูปที่มีคุณภาพดีที่สุดออกมา

Play video

และเนื่องจากสมาร์ทโฟนเริ่มมีขนาดใหญ่มากขึ้นจนยากที่จะใช้งานด้วยมือเดียวได้ถนัด Samsung เลยได้นำการควบคุมด้วยท่าทางเข้ามาประยุกต์ใช้กับแอปกล้องของตัวเอง หากเราปัดหน้าจอไปทางซ้ายหรือขวา ก็จะเป็นการสลับใช้งานโหมดต่าง ๆ หรือหากเราปัดหน้าจอขึ้นหรือลง ก็จะเป็นการสลับใช้งานระหว่างกล้องหน้าและกล้องหลัง อะไรแบบนี้เป็นต้น

Samsung Galaxy S9 : Dual Aperture

กล้องหลักของ Galaxy S9 มีรูรับแสงกว้างที่สุดในโลก ณ ขณะนั้น ด้วย ƒ/1.5 รับแสงได้มากกว่า Galaxy S8 ราว 28% ทำให้ถ่ายภาพได้คมชัดแม้ในที่มืด แถมยังเป็นรูรับแสงแบบคู่ Dual Aperture สลับไปใช้งาน ƒ/2.4 ได้อีกด้วย ซึ่งจะว่าไปแล้ว หลักการทำงานของคุณสมบัตินี้บน Galaxy S9 ก็เป็นลักษณะเดียวกับกลไกการทำงานของดวงตามนุษย์ ที่ม่านตาจะขยายออกในสภาวะแสงน้อย และหรี่เข้าในสภาวะแสงจ้านั่นเองครับ

ราชันย์คนใหม่.. Galaxy S9+ ทำคะแนนภาพนิ่ง DxOMarks ไป 104 คะแนน แซง Pixel 2 ขึ้นเป็นที่ 1

Galaxy S9 สามารถถ่ายวิดีโอ Super Slow-mo ได้สูงสุดที่ 960 fps และสามารถนำมาสร้างเป็นไฟล์ GIF เพื่อโพสต์ขึ้นโซเชี่ยลมีเดียได้อย่างง่ายดายอีกต่างหาก ส่วนฟีเจอร์ AR Emoji ที่ใช้สร้างอวตาร AR น่ารัก ๆ เองก็เจ๋งและน่าสนใจไม่แพ้กัน

Samsung Galaxy S10 : Super Steady

การสร้างคอนเทนต์วิดีโอด้วยสมาร์ทโฟนเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ Samsung ได้ตอบสนองต่อเทรนด์นี้โดยการใส่ฟังก์ชั่น Super Steady กันสั่นขั้นเทพให้กับ Galaxy S10 ในปี 2019 เสริมด้วย HDR10+ ที่มีขอบเขตสีกว้างสุด ๆ ก็ยิ่งเพิ่มความสมจริงเข้าไปอีก ในขณะที่กล้องอัลตร้าไวด์ 16MP นั้นให้ภาพมุมกว้างถึง 123 องศา (กว้างมาก) ใกล้เคียงกับมุมมองจากดวงตามนุษย์เลย

Play video

Samsung Galaxy S20 : Space Zoom

จากการผสมผสานการซูมแบบออปติคอลเข้ากับการซูมแบบดิจิทัล แล้วนำปัญญาประดิษฐ์มาช่วยประมวลผล ทำให้เกิดฟีเจอร์ที่ชื่อว่า Space Zoom ขึ้นมาใน Galaxy S20 Ultra ทำให้ซูมได้ไกลสุด ๆ ถึง 100 เท่าหากเทียบกับระยะเลนส์ปกติเลยทีเดียว ส่วนคุณสมบัติ Super Steady ก็ได้รับการพัฒนาต่อยอดจากรุ่นก่อน มีการนำปัญญาประดิษฐ์มาช่วยประมวลผลเช่นเดียวกัน อีกทั้งยังเปิดใช้งานขณะบันทึกวิดีโอความละเอียดสูงระดับ 8K ได้อีกด้วย

Play video

ทางด้านกล้องหลักของ Galaxy S21 Ultra มีความละเอียด 108MP ในขณะที่ Galaxy S21+ และ S21 มีความละเอียด 64MP ซึ่งต่างก็มีประสิทธิภาพที่เหลือล้นและให้ผลลัพธ์ที่น่าพึ่งพอใจสุด ๆ โดยได้คะแนนรีวิวจาก DXOMARK ไปที่ 122 แต้ม และ 118 แต้ม ตามลำดับ

Galaxy S20 Ultra ทำคะแนนกล้องจาก DxOMark ไป 122 คะแนน ครองอันดับ 5 ร่วม Honor V30 Pro

Samsung Galaxy S21 : การถ่ายภาพและวิดีโอระดับโปร

ในปี 2021 นี้ Samsung ยังคงจัดเต็มเรื่องกล้องและการถ่ายภาพอย่างต่อเนื่อง นำโดย Galaxy S21 Ultra ตัวท็อปสุดที่มีกล้องเทเลโฟโต้ 2 ตัว 2 ระยะ และมีจำนวนกล้องรวมทั้งหมดถึง 5 ตัวด้วยกัน ดังนี้

  • กล้องหลัก : 108MP ƒ/1.8
  • กล้องอัลตร้าไวด์ : 12MP ƒ/2.2
  • กล้องเทเลโฟโต้¹ : 10MP ƒ/2.4
  • กล้องเทเลโฟโต้² : 10MP ƒ/4.9
  • กล้องเซลฟี่ : 40MP ƒ/2.2

ทางด้าน Galaxy S21+ และ S21 เอง แม้จะมีกล้องเทเลโฟโต้เพียงตัวเดียว แต่ได้รับการอัปเกรดความละเอียดเพิ่มขึ้นเป็น 64MP เพื่อใช้เทคนิคการซูมแบบดิจิทัลเข้ามาทดแทน โดยรวมแล้ว ทั้งคู่มีกล้องทั้งหมด 4 ตัว ดังนี้

  • กล้องหลัก : 12MP ƒ/1.8
  • กล้องอัลตร้าไวด์ : 12MP ƒ/2.2
  • กล้องเทเลโฟโต้ : 64MP ƒ/4.9
  • กล้องเซลฟี่ : 10MP ƒ/2.2

สมาร์ทโฟนในซีรีส์ Galaxy S21 ทุกรุ่น ต่างก็มีคุณสมบัติมากมายที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถถ่ายภาพได้ง่ายดายในทุกช่วงเวลาและทุกสถานการณ์ เช่น การนำเอาคุณสมบัติป้องกันการสั่นไหวมาต่อยอดเป็นฟีเจอร์ Zoom Lock ช่วยให้การถ่ายภาพในระยะ 10 เท่าด้วยกล้องเทเลโฟโต้ง่ายขึ้นกว่าเดิมมาก ด้านการโฟกัสเองก็จัดจ้านสุด ๆ จากการทำงานร่วมกันของ dual pixel และ laser AF ซึ่งหากดูเฉพาะส่วนนี้อย่างเดียว อาจกล่าวได้ว่า Galaxy S21 มีประสิทธิภาพการโฟกัสมากกว่ากล้องถ่ายภาพ D-SLR ระดับไฮเอนด์หลาย ๆ รุ่นเสียอีก

Play video

ยิ่งไปกว่านั้น Samsung ยังได้ดึงเอาประโยชน์ของชิปประมวลผลภาพจำนวนหลายตัวที่อยู่ภายในออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เกิดเป็นฟีเจอร์เก๋ ๆ ที่ชื่อว่า Director’s View ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้งานมองเห็นภาพพรีวิวจากกล้องทุกตัวพร้อมกันได้แบบเรียลไทม์ เวลาสลับกล้องขณะกำลังบันทึกวิดีโอจะมีความลื่นไหลและต่อเนื่องมากขึ้น อีกทั้งยังมองเห็นเฟรมล่วงหน้าตลอดเวลาโดยที่ไม่ต้องมาคาดเดาเอาเอง พร้อมกันนี้ก็สามารถบันทึกภาพนิ่งหรือวิดีโอจากทั้งกล้องหน้าและกล้องหลังในคราวเดียวกันได้อีกต่างหาก

กล้องทุกตัวจะรองรับการบันทึกวิดีโอ 4K ที่ 60 fps เป็นจุดที่พัฒนาขึ้นจากรุ่นก่อนเช่นกัน ไม่โดนลดความละเอียดเวลาสลับกล้องเหมือนรุ่นก่อน ๆ แล้ว

สำหรับ Galaxy S21 Ultra พี่ใหญ่ในซีรีส์ จะพิเศษกว่าใครเพื่อน เพราะเซนเซอร์ ISOCELL HM3 ตัวใหม่นั้นรองรับการบันทึกไฟล์ RAW แบบ 12-bit สามารถเก็บเฉดสีได้มากถึง 68.7 พันล้านสี เพิ่มขึ้นจากเดิม 64 เท่า หากเทียบกับไฟล์แบบ 10-bit ที่มี 1.07 พันล้านสี และมีเทคโนโลยี nona-binning รวมพิกเซล 9 เป็น 1 จุด ช่วยเพิ่มขนาดพิกเซลจากปกติ 0.8 μm เป็น 2.4 μm เพื่อการถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้เฉียบคมและมีคุณภาพมากขึ้นกว่าเดิม

เผยรายละเอียด Samsung ISOCELL HM3 เซนเซอร์ภาพ 108MP ตัวใหม่ของ Galaxy S21 Ultra

…ถือเป็นการเดินทางที่ยาวนานจริง ๆ สำหรับทั้ง Samsung และมือถือในซีรีส์ Galaxy S ของตัวเอง แม้จะผ่านมา 11 ปีแล้ว แต่บริษัทก็ยังคงรักษามาตรฐานและคุณภาพได้เป็นอย่างดี ในแต่ละปีก็มีเทคโนโลยีที่พัฒนาไปและมีฟีเจอร์ใหม่ ๆ ตลอด โดยเราจะเห็นได้ว่า แทบไม่มีปีไหนเลยที่กล้องถ่ายภาพของ Galaxy จะเป็นรองคู่แข่งในตลาด

พอมาไล่ดูไทม์ไลน์แบบนี้แล้ว ก็ชวนทำให้คิดตามว่า ในปี 2022 เราจะได้เห็นอะไรเด็ด ๆ ว้าว ๆ จาก Samsung กันอีกนะ ? แค่ลองจินตนาการดูเล่น ๆ ก็รู้สึกตื่นเต้นแล้วล่ะครับ

ปล. นอกจากกล้องถ่ายภาพจะพัฒนาขึ้นทุกปีแล้ว ตัวเครื่องเองก็ยาวขึ้นทุกปีเช่นกัน ฮา 🤣

 

อ้างอิง : Samsung | Wikipedia (1, 2, 3)