หลังจากที่ Apple ได้รีเฟรชนำ iPad Air 5 มาเปิดตัวในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ล่าสุดวันนี้ทางทีมงาน DroidSans ก็เลยถือโอกาสเขียนบทความเลือกซื้อ iPad ขึ้นมา ฉบับอัปเดตปี 2022 เลือกซื้อรุ่นไหนดีระหว่าง iPad 9th Gen, iPad mini 6, iPad Air 5 ตัวใหม่ล่าสุด หรือเพิ่มเงินอีกนิดไปซื้อ iPad Pro (2021) เลย
เปรียบเทียบสเปค iPad รุ่นที่ 9 – iPad mini 6 – iPad Air 5 – iPad Pro (2021) รุ่นจอ 12.9 นิ้ว
iPad รุ่นที่ 9 | iPad mini 6 | iPad Air 5 | iPad Pro (2021) | |
หน้าจอ | Retina 10.2″ | Liquid Retina 8.3″ | Liquid Retina 10.9″ | Liquid Retina XDR 12.9″ |
ความละเอียด | 1620 x 2160 | 1488 x 2266 | 1640 x 2360 | 2048 x 2732 |
รีเฟรชเรท | 60Hz | 120Hz | ||
ชิปเซ็ต | A13 Bionic | A15 Bionic | M1 | |
ROM | 64GB – 256GB | 128GB – 256GB – 512GB – 1TB – 2TB | ||
กล้องหน้า | 12MP f/2.4 มุมกว้าง 122 องศา รองรับ Center Stage | 12MP f/2.4 HDR panorama รองรับ Center Stage | ||
กล้องหลัง | 8MP f/2.4, AF | 12MP f/1.8, AF | 12MP f/1.8 AF | 12MP f/1.8 AF + Ultra-Wide 10MP มุมกว้าง 125 องศา + ToF LiDAR |
ถ่ายวิดีโอ | Full HD@30fps | 4K@60fps | 4K@60fps | 4K@60fps |
Apple Pencil | รุ่นที่ 1 | รุ่นที่ 2 | ||
Keyboard | Smart Keyboard | Keyboard Bluetooth | Magic Keyboard + Smart Keyboard Folio | |
การเชื่อมต่อ | WiFi 802.11 a/b/g/n/ac + Bluetooth 4.2 | WiFi 802.11. a/b/g/n/ac/6 + Bluetooth 5.0 | ||
รูหูฟัง | มี | ไม่มี | ||
5G | ไม่รองรับ | รองรับ | ||
สแกนลายนิ้วมือ | มี | ไม่มี | ||
Face ID | ไม่รองรับ | รองรับ | ||
พอร์ต | Lightning + Smart Connector | USB-C (ตัว Pro รองรับ Thunderbolt) | ||
ลำโพง | สเตอริโอ | สเตอริโอ (แนวนอน) | 4 ลำโพง | |
มาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น | ไม่รองรับ | |||
แบตเตอรี่ | ดูวิดีโอ 10 ชม. | |||
น้ำหนัก | 487 – 498 กรัม | 293 + 297 กรัม | 458 – 460 กรัม | 682 + 685 กรัม |
ราคาเริ่มต้น | 11,400 บาท | 17,900 บาท | 20,900 บาท | 37,900 บาท |
iPad รุ่นที่ 9 – รุ่นเริ่มต้น สเปคเพียงพอต่อการประชุม – ทำงาน – เรียนออนไลน์
แม้ว่าจะมีศักดินาเป็นเพียงน้องเล็กสุดในซีรีส์ iPad ของ Apple แต่ประสิทธิภาพของ iPad 9th Gen หรือรุ่นที่ 9 ก็ไม่ได้เป็นสองรองใครเลย เมื่อเทียบกับแท็บเล็ตรุ่นอื่น ๆ ในตลาดที่มีราคาอยู่ในละแวกใกล้เคียงกัน โดยด้วยความที่มีราคาเริ่มต้น 11,400 บาท ซึ่งราคาอาจจะสูงเกินไปหน่อยสำหรับคนอยากซื้อมา Work from Home หรือ Online Study แต่ถ้ามองในแง่สเปค ต้องบอกว่า iPad รุ่นที่ 9 จัดว่าเป็นรุ่นท็อป ๆ ตัวนึงในตลาดเลยล่ะ ทั้งชิปเซ็ต A13 Bionic ตัวเดียวกับที่ใช้บน iPhone 11 Series ทั้งสี่รุ่น เอามาเล่นเกม ใช้งานทั่วไป ดูหนังหรือคลิปออนไลน์บน Netflix หรือ YouTube ได้แบบสบาย ๆ
น่าเสียดายที่พอร์ตชาร์จยังคงให้มาเป็นแบบ Lightning อยู่ ซึ่ง Apple เคลมว่าพอร์ตดังกล่าวมีความแข็งแรงทนทานกว่าพอร์ต USB-C ที่ใช้กันเป็นส่วนมากในปัจจุบัน (รวมถึง iPad mini, Air และ Pro) แต่หากมองในแง่ใช้งานและพกพาไปข้างนอก ต้องยอมรับตามตรงว่าอาจจะลำบากนิด ๆ ต้องพกสาย Lightning ไปด้วย เว้นเสียแต่จะใช้ iPhone พกสาย Lightning เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว
iPad mini 6 – จอเล็กสเปคไฮเอนด์ แต่อาจไม่เหมาะกับการทำงานที่ต้องพิมพ์เยอะ ๆ
ถัดมาที่รุ่น mini กันบ้าง เดินทางมาถึง Generation ที่ 6 แล้ว อัปเกรดครั้งใหญ่ ทั้งดีไซน์และฮาร์ดแวร์ซอฟต์แวร์ด้านใน หน้าตาทันสมัยเหมือนกับ iPad Air 4 และ iPad Pro (2021) แล้ว แถมยังใช้ชิปเซ็ตตัวใหม่ล่าสุดของ Apple อย่าง A15 Bionic ที่ทางบริษัทฯ เคลมว่า แรงกว่าชิปในตลาดสูงสุดถึง 50% ด้วยกัน เหมาะกับคนที่อยากได้แท็บเล็ตแรง ๆ เครื่องเล็ก ๆ มาใช้งานด้าน Entertainment ทั่วไป
ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า iPad mini 6 จะใช้ทำงานหรือเรียนออนไลน์ไม่ดีเหมือนกับรุ่นอื่น ๆ นะครับ เพียงติดข้อจำกัดเรื่องจอ และการที่ไม่รองรับเคสคีย์บอร์ดของ Apple นี่แหละ ต้องพิมพ์บนหน้าจอที่ประสบการณ์ใช้งานเทียบไม่ได้กับคีย์บอร์ดมืออาชีพเลย แต่ยังโชคดีที่สามารถไปหาซื้อ Keyboard Bluetooth จาก Third Party ได้ ..อย่างไรก็ตาม มาตรฐานและประสบการณ์ใช้งานก็อาจจะไม่ได้ดีเด่นเท่ากับตัว Official ของ Apple
iPad Air 5 – สเปคน้อง ๆ รุ่น Pro เหมาะกับ Content Creator สายเริ่มต้น
จะบอกว่า iPad Air 5 ถือเป็นแท็บเล็ตซีรีส์เรือธงของ Apple เลยก็ว่าได้ เพราะสเปคถือว่าลดหลั่นไปจากรุ่น Pro เพียงเล็กน้อยเท่านั้น และส่วนตัวผู้เขียนก็ใช้งานเจ้า iPad Air อยู่เหมือนกัน (แต่เป็น Generation ที่สาม) เอามาใช้ทั้งประชุมออนไลน์ เล่นเกม ดูหนังซีรีส์ หรือแม้กระทั่งแก้งานเขียนบทความ ก็ทำได้แบบง่ายๆ ไม่กระตุก แถมรอบนี้อัปเกรดสเปคมาเป็น Apple M1 แล้ว บอกเลยว่าน้องๆ iPad Pro เลยล่ะ
นอกจากนี้ iPad Air 5 ยังรองรับ Magic Keyboard ที่มี Track Pad ในตัวด้วย เรียกว่าเสียบเข้าไปปุ๊บ แทบจะแปรงร่างเป็น MacBook เลย สามารถใช้ตัดวิดีโอ ทำ vlog อะไรพวกนี้ได้นิดหน่อย แถมยังใช้งานคู่กับ Apple Pencil รุ่นที่ 2 ได้แล้ว ไม่ต้องเก็บดินสอแยกเหมือน iPad Air 3 เพราะสามารถแปะดินสอเข้ากับด้านข้างตัวเครื่องได้เลย
iPad Pro (2021) – จบ ครบ สุด ในเครื่องเดียว สเปคขี่คอ MacBook Pro
มาปิดท้ายกันที่ iPad Pro (2021) ที่รอบนี้เปลี่ยนมาใช้หน้าจอ Liquid Retina XDR ที่พัฒนาบนพื้นฐานเทคโนโลยีใหม่ Mini-LED อีกที ประสิทธิภาพดีกว่าจอ LCD ของ iPad, iPad mini และ iPad Air อยู่พอสมควร ชิปเซ็ตใช้เป็นตัว M1 แบบเดียวกับ MacBooks เหมาะกับมือโปรที่ต้องทำงานกราฟิกหรือตัดต่อเป็นอาชีพหลัก พาพกไปไหนมาไหนสะดวก สามารถใช้แทน MacBook ได้แบบกลาย ๆ แบบไม่เคอะเขินเลยทีเดียวล่ะ
สรุปรุ่นไหนเหมาะกับใครมากที่สุด?
ถ้าถามว่ารุ่นไหนคุ้มสุด ยังไงคำตอบก็ต้องเป็น iPad Pro (2021) รุ่นจอ 12.9 นิ้ว (เพราะตัว 11 นิ้วไม่ได้หน้าจอ Mini-LED) อยู่แล้ว เพราะอัดสเปคมาให้แบบไม่กั๊ก ทั้งจอ OLED แบบ ProMotion อัตรารีเฟรช 120Hz ชิปตัวแรง M1 กล้องถ่ายภาพคุณภาพไม่แพ้มือถือเรือธง มีเซ็นเซอร์ LiDAR ฯลฯ แต่ทั้งหมดนี้ก็แลกมาด้วยราคาค่าตัวที่ค่อนข้างแพงหูฉี่เลยทีเดียว เอาเป็นว่าหากใครที่มีงบไม่จำกัด ก็จัดตัว iPad Pro (2021) เพราะครอบคลุมการใช้งานทั้งหมด ทำงาน – เรียนออนไลน์ ตัดต่อวิดีโอ เผลอ ๆ ซื้อคู่กับ Magic Keyboard ก็สามารถกลายร่างเป็น MacBook ดี ๆ เครื่องนึงได้เลย
แต่ถ้าที่งบไม่สูงมากนัก แต่อยากได้แท็บเล็ตจอใหญ่ ๆ มาประชุมหรือเรียนออนไลน์ ตรงนี้ทาง iPad รุ่นที่ 9 และ iPad Air 5 ดูน่าจะเหมาะสมที่สุด สามารถเลือกจิ้มได้เลยว่าอยากได้ตัวไหน ถ้าไม่แคร์เรื่องประสิทธิภาพอะไรขนาดนั้น ส่วนตัวผู้เขียนแนะนำ iPad รุ่นที่ 9 เพราะถูกกว่าค่อนข้างมาก แต่ถ้าอยากเล่นเกม หรือตัดต่อคลิปอะไรนิดหน่อย ยังไง iPad Air 5 ก็ดีกว่าครับ เหลือดีกว่าขาด ถ้าราคาค่าตัวมันไม่ทำร้ายสุขภาพกระเป๋าตังค์เราเกินไป
ส่วน iPad mini 6 อันนี้จะมีโพสิชั่นชัดเจน เกิดมาเพื่อคนที่ต้องการแท็บเล็ตที่จอไม่ใหญ่มาก แทบสเปคก็เรือธงแบบสุด ๆ เป็นรองเพียงแค่ iPad Pro (2021) เท่านั้น แต่ถ้าจะซื้อมาทำงาน อันนี้อาจจะต้องชะงักนิดนึง เพราะจอไม่ใหญ่มาก แถมไม่รองรับ Smart Keyboard อีกต่างหาก ต้องซื้อคีย์บอร์ด Bluetooth แยก ซึ่งก็ยากต่อการพกพาอีก
คหสต. ถ้าบอกว่าจะเอาแทบเล็ตมาทำงาน คุณไปซื้อโน๊ตบุ๊คเหอะ
จุดลงตัวสุดสำหรับผมคือ mini เท่านั้น
+1
iPad mini 6 ไม่มีรูหูฟังไม่ใช่หรือครับ ส่วน iPad 9 บอดี้เดิมมันต้องมีอยู่แล้ว น่าจะลงข้อมูลสลับกัน
แก้ไขแล้วครับ ขอบคุณมาก ๆ เลยนะครับ
iPad รุ่นที่ 9 สแกนนิ้วตรงปุ่มกดตรงกลางล่าง (ไม่ใช่ปุ่ม Power) นะครับ
"ทั้งขิปเซ็ต A13 Bionic ตัวเดียวกับที่ใช้บน iPhone 13 Series ทั้งสี่รุ่น"
iPad Gen9 ใช้ชิป A13 > แบบ เดียวกับ iPhone 11 ป่ะครับ
ส่วน iPhone 13 ใช้ชิป A15 นะครับ
Gen9 จอRetina Ture toneรึปล่าวครับ
แก้ไขสเปคกล้องหน้าของ ipad 9 ด้วย
ส่วนตัวแล้ว รอ iPad Air 5 เลยละกัน ไม่น่าเกินต้นปีหน้า