นายณภัทร วินิจฉัยกุล คณะกรรมการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงาน กิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือซูเปอร์บอร์ด กสทช. ได้เข้ายื่นหนังสือถึงพลเอกสุกิจ ขมะสุนทร ประธาน กสทช. เรื่องการขอให้ปฏิบัติหน้าที่ตามอำนาจที่กฎหมายบัญญัติและยกเลิกประกาศที่เกี่ยวข้อง เพื่อมีคำสั่งไม่ให้มีการควบรวมกิจการของทรูและดีแทค

นายณภัทร เสนอว่า ให้ กสทช.ยกเลิกประกาศ เรื่องมาตรการกำกับดูแลการควบรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคมปี 2561 ที่จำกัดอำนาจการยับยั้งการพิจารณาควบรวมกิจการที่เคยมี พร้อมแนะนำให้ทำการปัดฝุ่น นำเอาประกาศว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการควบรวมกิจการปี 2553 กลับมาใช้ เพื่อให้การกำกับดูแลกรณีควบรวมกิจการโทรคมนาคมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถที่จะพิจารณาอนุมัติหรือไม่อนุมัติได้

นอกจากนี้ นายณภัทร ได้กล่าวเสริมว่า การดำเนินการของ กสทช.ต่อกรณีทรูและดีแทค เป็นที่เคลือบแคลงสงสัยและไม่ชัดเจน โดยมีนัยที่สำคัญที่ขัดต่อกฎหมาย ตาม พ.ร.บ.การจัดการคลื่นความถี่ฯ ปี 2553 และ พ.ร.บ.การประกอบกิจการโทรคมนาคมปี 2544 รวมถึงประกาศฉบับอื่น ๆ ที่สำคัญตามรัฐธรรมนูญปี 2560 ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ มาตรา 60 ระบุชัดเจนว่า

“รัฐต้องรักษาไว้ซึ่งคลื่นความถี่และสิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมอันเป็นสมบัติของชาติเพื่อใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชน

ทั้งนี้ 1 ใน 5 ซูเปอร์บอร์ด กสทช.ยังให้ความเห็นว่า กสทช.ควรนำข้อเท็จจริงมาเปิดเผยและสื่อสารต่อสาธารณะ รวมถึงเปิดโอกาสให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการถกเถียงและหาข้อสรุป และสำหรับกรณีควบรวมกิจการของทรูและดีแทคในครั้งนี้ ควรเป็นอำนาจหน้าที่ของ กสทช.ชุดใหม่ในการตัดสินใจ ซึ่งขณะนี้กระบวนการสรรหาคณะกรรมการชุดใหม่ทั้ง 5 คนนั้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหลือแค่ขั้นตอนโปรดเกล้าฯ เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม นายณภัทร บอกว่า ตนเองมีหน้าที่ตั้งประเด็น ข้อสังเกต และข้อเสนอแนะ เพื่อรายงานให้ กสทช.รับทราบ ก่อนส่งต่อให้รัฐสภา แต่ในขณะเดียวกันก็ยอมรับว่า ผลในทางปฏิบัตินั้นมีน้อยมาก เพราะอำนาจยังขึ้นอยู่กับ กสทช.

ปัจจุบันนี้ ผู้ให้บริการเครือข่ายฯ อันดับ 1 ในไทยคือเอไอเอส ด้วยจำนวนผู้ใช้งานในระบบ 43.7 ล้านราย ในขณะที่ทรูตามมาเป็นอันดับ 2 จำนวน 31.7 ล้านราย ส่วนดีแทคมีลูกค้า 19.3 ล้านราย ซึ่งถ้า 2 ฝ่ายหลังรวมกันสำเร็จเมื่อไหร่ จะแซงขึ้นเป็นเบอร์ 1 ทันที

 

ที่มา : efinanceThai