จากที่ได้เขียนถึงเรื่องวิธีวัดผลหน้าจอดี มีคุณภาพดูจากปัจจัยอะไรบ้างไปแล้ว วันนี้จะขอมาพูดถึงแท็บเล็ตตัวนึงที่คนให้การยอมรับกันโดยทั่วไปว่าเป็นตัวที่หน้าจอดีที่สุดตัวนึงที่มีวางขายอยู่ตอนนี้ นั่นคือ Samsung Galaxy Tab S ด้วยจุดเด่นที่เป็นหน้าจอ SuperAMOLED ที่ให้สีออกมาได้ถูกต้อง ครบถ้วน ไม่สดเกิน ไม่จืดเกิน พัฒนาต่อยอดมาจนเรียกว่าถ้าใครเคยจับจอ SuperAMOLED มาก่อนแล้วไม่ชอบ อาจจะต้องมีเปลี่ยนใจได้ แต่ว่าวันนี้ผมจะไม่มาบอกว่าผมชอบจอของเจ้า Tab S อย่างไร เพราะสุดท้ายแต่ละคนนั้นชอบไม่เหมือนกัน แต่จะเอาค่าตัวเลขที่ทาง DisplayMate ได้ทำการทดสอบมาสรุปผล เปรียบเทียบกับหน้าจอรุ่นอื่น แชร์ให้อ่านกัน ซึ่งเป็นตัวเลขวัดผลได้จริงไม่ใช่แค่ความรู้สึกครับ
ปัจจัยที่นำมาพิจารณา
ความละเอียด (Resolution)
ความกว้างของเฉดสี (Color Gamut)
ความถูกต้องของสี (Color Accuracy)
ความสว่างสูงสุดและต่ำสุด (Brightness)
Contrast Ratio
มุมภาพที่สามารถรับชมได้ (Viewing Angle)
การใช้พลังงาน (Power Efficiency)
สเปคทั่วไป
Galaxy Tab S 8.4″ | Galaxy Tab S 10.5″ | |
เทคโนโลยีหน้าจอ | ขนาด 8.4 นิ้ว หน้าจอ OLED จัดเรียงพิกเซลแบบ Diamond | ขนาด 10.5 นิ้ว หน้าจอ OLED จัดเรียงพิกเซลแบบ RGB Stripe |
สัดส่วนจอ | 16:10 = 1.60 Aspect Ratio | 16:10 = 1.60 Aspect Ratio |
พื้นที่ใช้งาน | 31.5 ตารางนิ้ว | 49.7 ตารางนิ้ว |
ความละเอียด | 2560 x 1600 pixels 2.5K Quad HD | 2560 x 1600 pixels 2.5K Quad HD |
จำนวนพิกเซล | 4.1 ล้านพิกเซล | 4.1 ล้านพิกเซล |
จำนวนพิกเซล ต่อนิ้ว | 361 PPI แบบ Diamond | 287 PPI แบบ RGB Stripe |
ทั้งสองหน้าจอมีความละเอียดคมชัดระดับตาแยกพิกเซลไม่ออกทั้งคู่ ซึ่งแม้ว่าจำนวน PPI ของ Tab S 10.5 จะตำ่กว่า 300 แต่ด้วยขนาดหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นจึงทำให้มีระยะห่างจากตา-หน้าจอที่ไกลขึ้น และทำให้ 287 PPI ยังเป็น ความละเอียดระดับที่สายตามองไม่เห็นเม็ดพิกเซลอยู่เช่นเดิม
ความกว้างของเฉดสี
จากผลการทดสอบ หน้าจอของ Tab S มีการจูนเฉดสี ปรับออกมาให้แสดงได้หลายระดับเพื่อ ความเหมาะสมกับการแสดงภาพแบบต่างๆ ซึ่งเมื่อเปิดโหมด Adaptive Display แล้วจะทำการปรับภาพให้อัตโนมัติเพื่อความเหมาะสมกับเนื้อหาและภาพบนหน้าจอ เพราะการที่หน้าจอสามารถแสดงเฉดสีได้กว้างมากเกินกว่าภาพนั้นอาจทำให้เกิดสีเพี้ยนได้
Basic Mode – โหมดที่เหมาะกับการใช้งานทั่วไป มีความใกล้เคียงกับเฉด sRGB (เส้นดำ) ที่สุด ซึ่งเนื้อหาโดยทั่วไปอย่างภาพบนเว็บ ภาพถ่ายจากกล้องทั่วไป มาตรฐานการแสดงผลของหน้าจอและปริ้นเตอร์ก็มักจะอิงกับเฉด sRGB ทั้งสิ้น เรียกได้ว่าการใช้งานปกติที่นอกเหนือจากการดูภาพจากกล้องโปร หรือดูหนังแล้ว จะใช้โหมดนี้เป็นหลักทั้งสิ้น
AMOLED Photo – โหมดสำหรับดูภาพถ่ายจากกล้องระดับโปร ซึ่งกล้องแบบนี้มักจะเลือกใช้มาตรฐาน Adobe RGB ที่สามารถเก็บเฉดสีของภาพได้มากกว่า ซึ่งโดยปกติหากเราไปเปิดบนหน้าจอทั่วไปที่แสดงผลได้ระดับ sRGB ก็จะแทบไม่เห็นความต่าง แต่เมื่อมาเปิดบน Galaxy Tab S ที่แสดงผลได้ราว 75% ของ Adobe RGB จะได้สีสันที่สวยสด ถูกต้องยิ่งกว่าเดิม
ความถูกต้องของสี
แน่นอนว่าเฉดสีที่กว้างเป็นเรื่องที่ดี แต่หากความกว้างนั้นกลับไม่สามารถแสดงผลออกมาได้ถูกต้องตรงตามความจริงได้ก็คงจะดูไม่ดีนัก ซึ่งตัว Galaxy Tab S นี้ก็ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ อย่างจริงจัง ดูได้จากการปรับจูนสีที่มีความถูกต้องสูงมากเลยทีเดียว
กราฟสำหรับเปรียบเทียบสี โดยจะดูว่าหน้าจอให้สีถูกต้องตามตำแหน่งนั้นๆหรือไม่ โดยจุดสีขาวตรงกลางจะเรียกว่าสุด D65 ที่จะเป็นสีขาวที่ขาวบริสุทธิ์ไม่มีสีอื่นเจอปน
จะเห็นได้ว่าหน้าจอ SuperAMOLED ของ Galaxy Tab S ให้สีออกมาได้ตรงมาก เมื่อเทียบกับ Kindle Fire HDX หรือ iPad Air ที่นิยมกัน ก็ถือว่าทำออกมาได้ดีกว่าพอสมควรเลย และสามารถแสดงสีขาวได้ใกล้เคียงกับจุด D65 มากกว่าตัวอื่นอีกด้วย
และสำหรับภาพที่ใช้โปรไฟล์สีเป็น Adobe RGB ก็จะสามารถแสดงสีสันได้ครบถ้วนตรงตามจริงได้มากกว่า ซึ่งถ้าเป็น Tablet อื่นจะเห็นสีที่ซีดลงไป ไม่สามารถแสดงสีได้ถูกต้องครับ
ความสว่างและคอนทราส
Galaxy Tab S 8.4 | Galaxy Tab S 10.5 | iPad Air | |
อัตราเฉลี่ยการสะท้อนแสงจากทุกทาง | แสงรอบข้างสะท้อนได้ 4.7% | แสงรอบข้างสะท้อนได้ 4.7% | แสงรอบข้างสะท้อนได้ 6.5% |
อัตราการสะท้อนภาพจากแสงตกกระทบ | ภาพสะท้อนราว 7.6% | ภาพสะท้อนราว 7.5% | ภาพสะท้อนราว 8.5% |
ให้แสงสว่างสูงสุด | 544 cd/m2 | 518 cd/m2 | 449 cd/m2 |
ให้แสงสว่างต่ำสุด | 2 cd/m2 | 2 cd/m2 | 0.39 cd/m2 |
แสงสว่างเมื่อแสดงสีดำเท่านั้น | 0 cd/m2 | 0 cd/m2 | 0.39 cd/m2 |
คอนทราสในสภาพแสงน้อย | infinite (เจ๋งสุดๆ) | infinite (เจ๋งสุดๆ) | 1151 cd/m2 (ดีมาก) |
จากผลการทดสอบ iPad Air คู่แข่งของเจ้า Galaxy Tab S ทำออกมาได้ดีน่าพอใจ แต่สำหรับเจ้า Galaxy Tab S ก็ยังทำออกมาได้ดียิ่งกว่า เพราะสามารถลดแสงสะท้อนได้ดี ใช้งานในที่มีแสงรบกวนได้ไม่ลำบาก รวมถึงให้สีดำได้ดำสุดๆ ถึงใจจอร์จมาก ด้วยคุณสมบัติพิเศษของหน้าจอ OLED ที่เวลาแสดงสีดำ คือเหมือนดับไฟตรงจุดพิกเซลนั้นๆไปเลย ซึ่งนี่เป็นจุดที่จอ OLED ทำได้เกินขีดจำกัดของจอ LCD ทั่วไปนั่นเอง
มุมภาพที่สามารถรับชมได้ (Viewing Angle)
Galaxy Tab S 8.4 | Galaxy Tab S 10.5 | iPad Air | |
ความสว่างลดลง เมื่อเปลี่ยนมุมมอง 30˚ | 22% | 22% | 61% |
คอนทราสที่ความสว่าง 0 lux เมื่อเปลี่ยนมุมมอง 30˚ | infinite | infinite | 665 (แนวตั้ง) 478 (แนวนอน) ดีมากสำหรับจอมือถือ |
สีขาวเปลี่ยนไป เมื่อเปลี่ยนมุมมอง 30˚ (ยิ่งน้อยยิ่งดี) | 1.5 JNCD | 1.4 JNCD | 1.2 JNCD |
แม่สีเปลี่ยนไป เมื่อเปลี่ยนมุมมอง 30˚ (ยิ่งน้อยยิ่งดี) | 8.2 JNCD | 6.4 JNCD | 0.0027 JNCD |
สีโดยรวมที่เปลี่ยนไป เมื่อเปลี่ยนมุมมอง 30˚ (ยิ่งน้อยยิ่งดี) | 3.6 JNCD | 2.9 JNCD | 1.0 JNCD |
จากตาราง จะเห็นได้ว่า Galaxy Tab S เมื่อมองจากด้านข้าง จะยังดูได้ชัดเจนดีอยู่ เพราะแสงจะไม่ได้ลดลงมากนัก แต่อาจจะเห็นสีเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย
การใช้พลังงาน (Power Efficiency)
Galaxy Tab S 8.4 | Galaxy Tab S 10.5 | iPad Air | |
อัตราการกินพลังงาน ที่ความสว่างสูงสุด ของหน้าจอที่แสดงภาพ 50% ของพื้นที่ | 1.75 watts 328 cd/m2 | 3.60 watts 301 cd/m2 | 4.8 watts |
อัตราการกินพลังงาน ที่ความสว่างสูงสุด ของหน้าจอที่เป็นแสงสีขาว | 3.10 watts 286 cd/m2 | 7.00 watts 280 cd/m2 | 4.8 watts |
สำหรับการใช้พลังงานของ Galaxy Tab S หากเป็นหน้าจอสีขาวเยอะๆหรือล้วนไปเลยแล้ว ก็จะกินไฟไม่น้อย แต่ถ้าเป็นการใช้ทั่วไป โดยเฉลี่ยแล้วถือว่าไม่ได้กินแบบโหดร้ายอะไรนัก เรียกว่าทำได้ดีกว่าจอ LCD ในบางกรณี ซึ่งเมื่อใช้จริงแล้วน่าจะให้ผลเรื่องการกินไฟไม่ต่างกันเท่าไหร่นักครับ
สรุป
จากผลการทดสอบมาทั้งหมด จะเห็นได้ว่า Galaxy Tab S เป็นแท็บเล็ตที่หน้าจอมีความโดดเด่นในด้านต่างๆสมตามที่โฆษณาจริง แต่ว่าสุดท้ายแล้วคุณจะชอบหรือไม่ชอบ ก็คงแล้วแต่ตาของแต่ละคนไป แต่อย่างน้อยผมว่าคุณน่าจะลองเปิดใจไปลองจับเจ้า Galaxy Tab S เพื่อพิสูจน์ผลการทดลองนี้กันสักทีแล้วล่ะครับ 😉
source:
DisplayMate: OLED Tablet Display Technology Shoot-Out, Flagship Tablet Display Technology Shoot-Out, Reference Colors for the Standard Color Gamuts Galaxy Tab S Absolute Color Accuracy Plots
ว้าวๆ จอ 2k ขนาด 10.5 นิ้ว อ๊าก อยากได้ 55
บอกตรงๆว่าเมื่อก่อนไม่ชอบเลย SuperAMOLED ตั่งแต่ Galaxy S2 S3 S4 note2 ดูมันมึดๆเข้มๆ ขาวออกเหลืองๆ ดูแล้วไม่สบายตา แต่ตอนนี้ยอมรับว่าเห็นทีนี่ Ipad air ในมือสั่นเลย
แต่ก่อนเค้าจูนสีมาไม่ดีเท่าตอนนี้อ่ะ พอมาใส่ใจเรื่องนี้มากขึ้น เลยทำให้เจ๋งกว่าเดิมมากจริงๆครับ
แต่จอ Amoled ของ S5 สีตรงกว่า S4 , Note 3 พอสมควรเลยนะครับ เท่าที่ได้ลองเปิดเทียบ ณ เวลาเดียวกันมา ทำให้ส่วนตัวให้ความรู้สึกจอ Amoled ไปในทิศทางที่ดีขึ้นครับ
ชอบตั้งแต่ 7.7 แล้วมีถึง 3 เครื่อง tap s 8.4 ก็อีก 2 ตัว อิอิ
ปกติไม่ชอบตระกูล Amoled แต่ว่าตัว Tab S จากที่ได้ใช้มาเดือนนึง ยอมรับว่าทำได้น่าพอใจมากๆ
ข้อเสียหลักของจอ AMOLED คือ อายุการใช้งานสั้น เพราะแต่ละ Pixel กำเนิดแสงได้ด้วยตัวเอง และมีความร้อน
แต่ละ Pixel มีความเสื่อมไม่เท่ากัน
Samsung รับประกันอายุการใช้งานแค่ 15 เดือน หลังจากนั้น ตัวใครตัวมัน
เสียดายตรงนี้แหละครับ S4 ของผม แถบบนก็ไปละ 555
เป็นผลิตภัณฑ์ตัวเดียวของซัมซุง. ที่ผมอยากลองใช้ เพราะ
1.amoled
2. จอใหญ่
3.โทรได้ เมื่อโทรได้และจอใหญ่ด้วยขนาดแปดนิ้วตามข้อสอง. ในท้องตลาดก็มีแต่สเปคเครื่องไม่สูง รวมกับข้อหนึ่งการแสดงผลหน้าจอไม่ละเอียดมาก. ทำให้ sumsung galaxy tab s น่าสนใจสุดๆ
4.ขอบจอแคบมาก ทำให้หน้าจอที่ใหญ่ไม่ดูเทอะทะ. หลุดจากความโบราณที่ยี่ห้ออื่นนิยมอนุรักษ์ไว้สำหรับรำลึกถึงการแข่งรถม้าในสมัยโรมันรุ่งเรืองหรือไร
จุดด้อย(ตามความคิดข้าพเจ้า)
ลำโพง: ขอบจอบนล่างไม่สามารถนำลำโพงมาใว้ด้านหน้าได้ พื้นที่ก็มี พอเอาไปไว้ด้านข้าง. เสียงก็ไม่ได้เข้าหูโดยตรงแม้จะได้ยินก็ตามที ทำนองว่าหูอยู่ทางเสียงไปทาง (แต่ก็ยังดีกว่าอยู่ด้านหลังเหมือนหลายๆยี่ห้อทำ)
โดยรวม ชอบมากครับ
ด้วยความเป็น Samsung กลัวว่ามันจะกระตุก ช้า อืด ในเร็ววัน เลยไม่กล้าใช้อีกแล้ว
ผ่านมา 4 เครื่อง ทั้งชีวิต กลัวเว่อร์ Cooper Tab7+ Note Note3
ต้องใช้ ชิพ จับมังกรครับ พอช่วยได้
อิจฉาพ่อเลยอ่ะที่สอยไปดูหุ้น หาตัง เล่นเนตเรียบร้อย เราก็ note8 ต่อไป อยากจะเปลี่ยนเป็น Tab S 8.4 ใจจะขาด
แต่ก็นะ…ยังหาตังเองไม่ได้ อย่าเยอะ TT
ถ้าเอาปุ่มตรงกลางออกเมื่อไร ซื้อทันทีเลย เพราะเกลียดปุ่มกดอันนี้มาก samsungไม่รู้ว่าจะเก็บไว้ทำไม ยี่ห้ออื่นเค้าก็แตะhome ที่touch screen กันหมด
ทุกวันนี้ยังใช้7.7 อ่านe-magazine เล่นเนท แสบตาดี บอดี้เป็นโลหะถือนานๆแล้วเมื่อยนิ้ว ใช้ดีตั้งแต่ซื้อตอนออกใหม่ๆ
ผิดกับผมเลย ที่ผมยังใช้ SS มาจนถึงทุกวันนี้เพราะมีปุ่ม menu home back แยกออกมาจากจอ ถ้า SS เอาไปรวมกับจอเหมือนกับยี่ห้ออื่น ผมจะเลิกใช้ซัมซุงทันที
ปุ่มในจอผมว่าไม่ค่อยสะดวก เล่นเกมบางเกมก็ไม่หลบให้ใน LG G3 ผมปุ่มโฮมกับปุ่มเมนูและปุ่ม Back เป็นจุดที่ผมชอบนะ พอไปใช้รุ่นที่ไม่มีปุ่มรู้สึกแปลกๆๆ หรือเพราะ Lg G3 มันเพิ้ยนเองก็ไม่รู้
ผมเลือก s4 แทน g2 เพราะปุ่มนอกจอนี่แหละ
เพราะมันทำให้ใช้พื้นที่จอได้ 100% อย่างแท้จริง
ถ้าซัมซุงหันไปทำปุ่มบนจอ ความแตกต่างกับยี่ห้อหลัก
เจ้าอื่นเป็นอันจบทันที
คนชอบเขาเยอะนะครับ แต่ผมก็ชอบแบบปุ่มในจอมากกว่า
คือปุ่มในจอ เวลาไม่ใช้มันก็ไม่เกะกะ แต่ที่ชอบมากคือปุ่มหมุนตามจอด้วย กับสบายตอนเสียบเมาส์ใช้กับ TV นี่แหละ
ตรงนี้ปุ่มนอกจอไม่ช่วยจริงๆ แต่ Samsung ไม่เปลี่ยนแน่นอนครับ เพราะนี่เป็นเอกลักษณ์ของเขา
เวลาใช้รุ่นอะไรก็ตามที่ใช้จอ typeประมาณ oled กลัวอยู่หนึ่งอย่างคือ "burn in"
สำหรับคนที่กลัวอาการเบิร์นของจอ จะเล่าให้ฟังว่า Note 1 ซื้อตั้งแต่ 01/2012 ใช้มาจนทุกวันนี้ เริ่มพบอาการจอเบิร์นตรงแถบ Notification ด้านบน จะมองเห็นสีขาวออกไปทางฟ้าๆเป็นแถบลางๆเวลาที่แสดงสีขาวทั้งจอจะสังเกตุเห็นได้ง่าย แต่ถ้าใช้ทั่วไปจะมองแทบไม่เห็นเลย อาการเพิ่งเริ่มสังเกตุเห็นได้เมื่อประมาณกลางปีนี้เอง
สำหรับคนที่ใช้เครื่องไม่เกิน 2 ปี ผมว่าปัญหานี้ของจอ AMOLED คงไม่มีโอกาสได้พบ
พบครับ S4 ของผมใช้มา 1 ปี 4 เดือน แถบด้านบนไปละครับ
super amoled ใช้เกินปี ยังไงก็เบิร์นครับ แถบ notification นี่ตัวแรกที่จะไปก่อนเพื่อนเลย
เทคโนโลยีของสามปีที่แล้ว กับตอนนี้มันคนละเรื่องกันเลย และแถบ notification ก็ไม่ได้ดำเป็นพรืดเหมือนแต่ก่อนแล้ว เลยคิดว่าจอ sAMOLED รุ่นนี้จะมีปัญหาเหมือนเก่า (มั้ง)…ยังขอยืนยันคำเติมว่าลองก่อน อย่าเพิ่งตัดสินว่ามันดีหรือไม่ดีครับ ^^
+1 ครับ
เรื่อง burn ลองไปดู S5 ตัวโชว์ดูครับ ผมเคยดูเมื่อตอนออกมาเดือนเดียวก็ burn เรียบร้อยไปแล้วครับ เข้า google แล้วดูส่วนจอขาวๆดูครับ
K zoom เบิร์นเพราะวีดีโอที่รันมันรันโดยมันรันในกรอบมีวีดีโอเล่นไปเรื่อยส่วนนอกรอบมันดันเป็นตัวหนังสือที่ขึ้นค้างตลอดเวลาก็ไม่แปลกที่จะเบริ์น ส่วนวีดีโอของs5วิ่งตลอดไม่มีภาพที่รันจุดใดจุดหนึ่งค้างไว้แบบk zoom เท่าที่ลองก็ไม่เห็นเบริ์นนะ ส่วนตัวใช้มาหลายรุ่นก็ไม่เคยเจอเบิร์น
เทคโนโลยีเดี๋ยวนี้ มาเร็วครับ ผมว่าซัก 2ปี ก็อยากเปลี่ยนเครื่องใหม่ก่อนที่มันจะเบิร์นอีก
ถึงเวลาคงนั่งลุ่นว่าเมื่อไหรมันจะเบิร์นซักที จะได้ซื้อเครื่องใหม่ 555
เครื่อง s2ผมอายุ จะ3ปีแล้ว ไม่เห็นจะเบิร์นเลย อาจจะเป็นเพราะใช้ไม่หนัก รึไม่ได้สังเกตุหว่า
ผมว่าซื้อวันนี้ ใช้วันนี้ มีความสุขกว่า ตั้งแง่ว่าเดี๋ยว 1-2ปี มันจะเบิร์นนะ
อันที่จริง tabหน่ะ มันจะใช้ทั้งแนวตั้งแนวนอน พลิกไปพลิกมา ต่างจากโทรศัพท์ ทำให้หน้าจอมันเบิร์นน้อยมั้ง
อีกอย่างเดี๋ยวนี้ app เต็มจอเยอะแยะ แทบไม่ต้องมี menu bar แล้ว เมนูก็เป็นแถบจางๆแทบไม่เห็นด้วยซ้ำต้องเอามือลากลงมา
เจ้าประจำamoled อย่างซัมซุง ก็มีปุ่มเมนูแยกต่างหาก ไม่ต้องง้อแถบดำบนหน้าจอแบบตระกูลไร้ปุ่มทั้งหลาย ยิ่งโอกาศเบิร์น้อยลงอีก
เครื่องที่ร้านเบิร์นจริงครับ เห็นทั้ง S5 และ K zoom แต่มันน่าจะเพราะว่าเปิดแสงสว่างสุดทิ้งไว้ทั้งวัน(บางร้านก็ทั้งคืน) แต่จากการใช้งานจริง น่าจะไม่ถึงขนาดนั้น ว่าแต่ K zoom ออกมาได้เดือนเดียวเองนิ =_=;
แต่ใช้ Tab S แล้วติดใจมาก ตัดใจขาย Find 7a ไปถอย S5 ยอมเพราะจอ หุหุ
เห็นด้วยกับคุณมิกกี้ 43
คัวโชว์นั้นจะรันเดโมทั้งวัน ที่ระดับความสว่างสูงสุด
เปิดโชว์เดือนเดียวอายุจออาจเทียบเท่าการใช้จริงสองปีไม่ใช่เรื่อง
เกินเหตุ
เครื่องเก่าผม s2 ยังคงใช้อยู่(ยกให้หลาน) ถ้าไม่เอามาเพ่งจับผิด
ไม่เห็นรอยครับ
ให้แสงสว่างต่ำสุด อันนี้สำคัญมากสำหรับผม เล่นในที่มืด แสบตาแน่นอน
Galaxy Tab S 2 cd/m2
iPad Air 0.39 cd/m2
เห็นด้วยครับว่า iPad Air ยังทำได้ดีกว่าพอควร แต่ลองเจ้า Tab S ก็ไม่ได้แสบตาอย่างที่คิดแล้วนะ 🙂
Screen filter ช่วยคุณได้ครับ
มือถือ-แท็บเล็ตผมไม่ได้ดีที่จอซักเครื่อง ผมยังปิดไฟเล่นได้โดยไม่แสบตา
ค่า(0.39) นั้นไม่ใช่แสงสว่างต่ำสุดนี้ครับ มันเป็นค่าของ black level ที่ความสว่างสูงสุด
ค่าแสงสว่างต่ำสุดคือ (ยิ่งต่ำยิ่งดี)
Galaxy Tab S : 2 nits
iPad Air : 6 nits
จาก phonearena
สเปคเครื่องเทพมากไปลองมาแล้ว เหนือกว่าไอแพดหลายเท่าตัว แต่แอพนี่สิ IOS ยังคงเป็นพระเอกอยู่วันยังค่ำครับ โดยเฉพาะแอพเกี่ยวกับการแต่งภาพและศิลปะ ดนตรี แอนดรอยยังไม่ไปไหนกันเลย แข่งแต่สเปคและรูปลักษณ์กันอยู่เลยครับ