จากที่ได้เขียนถึงเรื่องวิธีวัดผลหน้าจอดี มีคุณภาพดูจากปัจจัยอะไรบ้างไปแล้ว วันนี้จะขอมาพูดถึงแท็บเล็ตตัวนึงที่คนให้การยอมรับกันโดยทั่วไปว่าเป็นตัวที่หน้าจอดีที่สุดตัวนึงที่มีวางขายอยู่ตอนนี้ นั่นคือ Samsung Galaxy Tab S ด้วยจุดเด่นที่เป็นหน้าจอ SuperAMOLED ที่ให้สีออกมาได้ถูกต้อง ครบถ้วน ไม่สดเกิน ไม่จืดเกิน พัฒนาต่อยอดมาจนเรียกว่าถ้าใครเคยจับจอ SuperAMOLED มาก่อนแล้วไม่ชอบ อาจจะต้องมีเปลี่ยนใจได้ แต่ว่าวันนี้ผมจะไม่มาบอกว่าผมชอบจอของเจ้า Tab S อย่างไร เพราะสุดท้ายแต่ละคนนั้นชอบไม่เหมือนกัน แต่จะเอาค่าตัวเลขที่ทาง DisplayMate ได้ทำการทดสอบมาสรุปผล เปรียบเทียบกับหน้าจอรุ่นอื่น แชร์ให้อ่านกัน ซึ่งเป็นตัวเลขวัดผลได้จริงไม่ใช่แค่ความรู้สึกครับ

ปัจจัยที่นำมาพิจารณา

  1. ความละเอียด (Resolution)

  2. ความกว้างของเฉดสี (Color Gamut)

  3. ความถูกต้องของสี (Color Accuracy)

  4. ความสว่างสูงสุดและต่ำสุด (Brightness)

  5. Contrast Ratio

  6. มุมภาพที่สามารถรับชมได้ (Viewing Angle)

  7. การใช้พลังงาน (Power Efficiency)

 

สเปคทั่วไป

 Galaxy Tab S 8.4″Galaxy Tab S 10.5″
เทคโนโลยีหน้าจอขนาด 8.4 นิ้ว หน้าจอ
OLED จัดเรียงพิกเซลแบบ Diamond
ขนาด 10.5 นิ้ว หน้าจอ OLED จัดเรียงพิกเซลแบบ RGB Stripe
สัดส่วนจอ16:10 = 1.60
Aspect Ratio
16:10 = 1.60
Aspect Ratio
พื้นที่ใช้งาน31.5 ตารางนิ้ว49.7 ตารางนิ้ว
ความละเอียด2560 x 1600 pixels
2.5K Quad HD
2560 x 1600 pixels
2.5K Quad HD
จำนวนพิกเซล4.1 ล้านพิกเซล4.1 ล้านพิกเซล
จำนวนพิกเซล ต่อนิ้ว361 PPI แบบ Diamond287 PPI แบบ RGB Stripe

ทั้งสองหน้าจอมีความละเอียดคมชัดระดับตาแยกพิกเซลไม่ออกทั้งคู่ ซึ่งแม้ว่าจำนวน PPI ของ Tab S 10.5 จะตำ่กว่า 300 แต่ด้วยขนาดหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นจึงทำให้มีระยะห่างจากตา-หน้าจอที่ไกลขึ้น และทำให้ 287 PPI ยังเป็น ความละเอียดระดับที่สายตามองไม่เห็นเม็ดพิกเซลอยู่เช่นเดิม


ความกว้างของเฉดสี

จากผลการทดสอบ หน้าจอของ Tab S มีการจูนเฉดสี ปรับออกมาให้แสดงได้หลายระดับเพื่อ ความเหมาะสมกับการแสดงภาพแบบต่างๆ ซึ่งเมื่อเปิดโหมด Adaptive Display แล้วจะทำการปรับภาพให้อัตโนมัติเพื่อความเหมาะสมกับเนื้อหาและภาพบนหน้าจอ เพราะการที่หน้าจอสามารถแสดงเฉดสีได้กว้างมากเกินกว่าภาพนั้นอาจทำให้เกิดสีเพี้ยนได้

Basic Mode – โหมดที่เหมาะกับการใช้งานทั่วไป มีความใกล้เคียงกับเฉด sRGB (เส้นดำ) ที่สุด ซึ่งเนื้อหาโดยทั่วไปอย่างภาพบนเว็บ ภาพถ่ายจากกล้องทั่วไป มาตรฐานการแสดงผลของหน้าจอและปริ้นเตอร์ก็มักจะอิงกับเฉด sRGB ทั้งสิ้น เรียกได้ว่าการใช้งานปกติที่นอกเหนือจากการดูภาพจากกล้องโปร หรือดูหนังแล้ว จะใช้โหมดนี้เป็นหลักทั้งสิ้น 

AMOLED Photo – โหมดสำหรับดูภาพถ่ายจากกล้องระดับโปร ซึ่งกล้องแบบนี้มักจะเลือกใช้มาตรฐาน Adobe RGB ที่สามารถเก็บเฉดสีของภาพได้มากกว่า ซึ่งโดยปกติหากเราไปเปิดบนหน้าจอทั่วไปที่แสดงผลได้ระดับ sRGB ก็จะแทบไม่เห็นความต่าง แต่เมื่อมาเปิดบน Galaxy Tab S ที่แสดงผลได้ราว 75% ของ Adobe RGB จะได้สีสันที่สวยสด ถูกต้องยิ่งกว่าเดิม


ความถูกต้องของสี

แน่นอนว่าเฉดสีที่กว้างเป็นเรื่องที่ดี แต่หากความกว้างนั้นกลับไม่สามารถแสดงผลออกมาได้ถูกต้องตรงตามความจริงได้ก็คงจะดูไม่ดีนัก ซึ่งตัว Galaxy Tab S นี้ก็ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ อย่างจริงจัง ดูได้จากการปรับจูนสีที่มีความถูกต้องสูงมากเลยทีเดียว

กราฟสำหรับเปรียบเทียบสี โดยจะดูว่าหน้าจอให้สีถูกต้องตามตำแหน่งนั้นๆหรือไม่ โดยจุดสีขาวตรงกลางจะเรียกว่าสุด D65 ที่จะเป็นสีขาวที่ขาวบริสุทธิ์ไม่มีสีอื่นเจอปน

จะเห็นได้ว่าหน้าจอ SuperAMOLED ของ Galaxy Tab S ให้สีออกมาได้ตรงมาก เมื่อเทียบกับ Kindle Fire HDX หรือ iPad Air ที่นิยมกัน ก็ถือว่าทำออกมาได้ดีกว่าพอสมควรเลย และสามารถแสดงสีขาวได้ใกล้เคียงกับจุด D65 มากกว่าตัวอื่นอีกด้วย

และสำหรับภาพที่ใช้โปรไฟล์สีเป็น Adobe RGB ก็จะสามารถแสดงสีสันได้ครบถ้วนตรงตามจริงได้มากกว่า ซึ่งถ้าเป็น Tablet อื่นจะเห็นสีที่ซีดลงไป ไม่สามารถแสดงสีได้ถูกต้องครับ


ความสว่างและคอนทราส

 Galaxy Tab S 8.4Galaxy Tab S 10.5iPad Air
อัตราเฉลี่ยการสะท้อนแสงจากทุกทางแสงรอบข้างสะท้อนได้ 4.7%แสงรอบข้างสะท้อนได้ 4.7%แสงรอบข้างสะท้อนได้ 6.5%
อัตราการสะท้อนภาพจากแสงตกกระทบภาพสะท้อนราว 7.6%ภาพสะท้อนราว 7.5%ภาพสะท้อนราว 8.5%
ให้แสงสว่างสูงสุด544 cd/m2518 cd/m2449 cd/m2
ให้แสงสว่างต่ำสุด2 cd/m22 cd/m20.39 cd/m2
แสงสว่างเมื่อแสดงสีดำเท่านั้น0 cd/m20 cd/m20.39 cd/m2
คอนทราสในสภาพแสงน้อยinfinite (เจ๋งสุดๆ)infinite (เจ๋งสุดๆ)1151 cd/m2 (ดีมาก)

จากผลการทดสอบ iPad Air คู่แข่งของเจ้า Galaxy Tab S ทำออกมาได้ดีน่าพอใจ แต่สำหรับเจ้า Galaxy Tab S ก็ยังทำออกมาได้ดียิ่งกว่า เพราะสามารถลดแสงสะท้อนได้ดี ใช้งานในที่มีแสงรบกวนได้ไม่ลำบาก รวมถึงให้สีดำได้ดำสุดๆ ถึงใจจอร์จมาก ด้วยคุณสมบัติพิเศษของหน้าจอ OLED ที่เวลาแสดงสีดำ คือเหมือนดับไฟตรงจุดพิกเซลนั้นๆไปเลย ซึ่งนี่เป็นจุดที่จอ OLED ทำได้เกินขีดจำกัดของจอ LCD ทั่วไปนั่นเอง


มุมภาพที่สามารถรับชมได้ (Viewing Angle)

 Galaxy Tab S 8.4Galaxy Tab S 10.5iPad Air
ความสว่างลดลง เมื่อเปลี่ยนมุมมอง 30˚22%22%61%
คอนทราสที่ความสว่าง 0 lux เมื่อเปลี่ยนมุมมอง 30˚infiniteinfinite665 (แนวตั้ง)
478 (แนวนอน)
ดีมากสำหรับจอมือถือ
สีขาวเปลี่ยนไป เมื่อเปลี่ยนมุมมอง 30˚ (ยิ่งน้อยยิ่งดี)1.5 JNCD1.4 JNCD1.2 JNCD
แม่สีเปลี่ยนไป เมื่อเปลี่ยนมุมมอง 30˚ (ยิ่งน้อยยิ่งดี)8.2 JNCD6.4 JNCD0.0027 JNCD
สีโดยรวมที่เปลี่ยนไป เมื่อเปลี่ยนมุมมอง 30˚ (ยิ่งน้อยยิ่งดี)3.6 JNCD2.9 JNCD1.0 JNCD

จากตาราง จะเห็นได้ว่า Galaxy Tab S เมื่อมองจากด้านข้าง จะยังดูได้ชัดเจนดีอยู่ เพราะแสงจะไม่ได้ลดลงมากนัก แต่อาจจะเห็นสีเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย


การใช้พลังงาน (Power Efficiency)

 Galaxy Tab S 8.4Galaxy Tab S 10.5iPad Air
อัตราการกินพลังงาน ที่ความสว่างสูงสุด ของหน้าจอที่แสดงภาพ 50% ของพื้นที่1.75 watts
328 cd/m2
3.60 watts
301 cd/m2
4.8 watts
อัตราการกินพลังงาน ที่ความสว่างสูงสุด ของหน้าจอที่เป็นแสงสีขาว3.10 watts
286 cd/m2
7.00 watts
280 cd/m2
4.8 watts

สำหรับการใช้พลังงานของ Galaxy Tab S หากเป็นหน้าจอสีขาวเยอะๆหรือล้วนไปเลยแล้ว ก็จะกินไฟไม่น้อย แต่ถ้าเป็นการใช้ทั่วไป โดยเฉลี่ยแล้วถือว่าไม่ได้กินแบบโหดร้ายอะไรนัก เรียกว่าทำได้ดีกว่าจอ LCD ในบางกรณี ซึ่งเมื่อใช้จริงแล้วน่าจะให้ผลเรื่องการกินไฟไม่ต่างกันเท่าไหร่นักครับ

 

สรุป

จากผลการทดสอบมาทั้งหมด จะเห็นได้ว่า Galaxy Tab S เป็นแท็บเล็ตที่หน้าจอมีความโดดเด่นในด้านต่างๆสมตามที่โฆษณาจริง แต่ว่าสุดท้ายแล้วคุณจะชอบหรือไม่ชอบ ก็คงแล้วแต่ตาของแต่ละคนไป แต่อย่างน้อยผมว่าคุณน่าจะลองเปิดใจไปลองจับเจ้า Galaxy Tab S เพื่อพิสูจน์ผลการทดลองนี้กันสักทีแล้วล่ะครับ 😉

source:

DisplayMate: OLED Tablet Display Technology Shoot-Out, Flagship Tablet Display Technology Shoot-Out, Reference Colors for the Standard Color Gamuts Galaxy Tab S Absolute Color Accuracy Plots