สถานการณ์ COVID-19 ถือว่าทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ จากการระบาดรอบที่ 3 ที่ผ่านมาทำให้ธุรกิจหลาย ๆ ภาคส่วนต่างหยุดชะงักไปตาม ๆ กัน ซึ่งวิธีเดียวที่จะสามารถบรรเทาสถานการณ์นี้ได้คือการเริ่มแจกจ่ายวัคซีนให้กับประชาชนให้ได้ไวที่สุด โดยไม่นานมานี้หอการค้าได้เจรจากับหน่วยงานรัฐเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการเอกชนที่มีกำลังเงินสามารถซื้อวัคซีนเพื่อฉีดให้กับบุคลากรในบริษัทได้แล้ว
เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการเอกชนจ่ายค่าวัคซีนให้พนักงาน
แบบฟอร์มแสดงความประสงค์ซื้อ “Vaccine ฟื้นเศรษฐกิจ” https://thaichamber.org/question/159
สภาหอการค้าไทยได้เปิดเว็บไซต์ ให้ผู้ประกอบการเอกชน ลงชื่อเพื่อขอซื้อวัคซีน COVID-19 ไปฉีดให้กับพนักงานในบริษัทเองได้ (ต้องเป็นนิติบุคคลเท่านั้นนะ) ซึ่งล่าสุดมีหลายองค์กรแจ้งความประสงค์เพื่อซื้อวัคซีนแล้วมากกว่า 1 ล้านโดส ถ้ามีคนลงชื่อครบ 5 ล้านโดสเมื่อไหร่ ทางหอการค้าจะรีบส่งข้อมูลให้กับทางรัฐบาลเพื่อรีบหาซื้อวัคซีนมาให้ฉีดในทันทีเลย เห็นแบบนี้ถ้าบริษัทห้างร้านต่าง ๆ เริ่มฉีดวัคซีนก่อนคนอื่น ธุรกิจอาจฟื้นฟูได้ไวขึ้นก็เป็นได้ครับ
100 ล้านโดสให้ทันสิ้นปี ตอนนี้ไทยมีวัคซีนอะไรบ้าง
ชาร์ตสรุปจำนวนวัคซีนที่มี และ 35 ล้านโดสที่เหลือที่ต้องหาเพิ่ม
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตั้งเป้าว่าจะหาวัคซีนให้ได้เพิ่มเติมจนครบ 100 ล้านโดส (จากเดิมที่ตั้งไว 70 ล้าน) เพื่อฉีดให้กับประชาชนไทยราว ๆ 50 ล้านคน (นับเป็น 70% ของประชากรทั้งหมด ) ให้ทันสิ้นปี 2564 ซึ่งถ้าสรุปรวม ๆ แล้วตอนนี้ประเทศไทยมีวัคซีนดังนี้ (รวมเป็นประมาณ 65 ล้านโดส)
- AstraZeneca – 61 ล้านโดส เริ่มส่งเดือนมิถุนายนนี้ 6 ล้านโดส และเดือนต่อไปเรื่อย ๆ เดือนละ 10 ล้านโดส
- Sinovac – 3 ล้านโดส ได้มาก่อนหน้านี้แล้ว 2.5 ล้านโดส บวกกับที่รัฐบาลจีนบริจาคให้เพิ่มอีก 500,000 โดส
ส่วนที่เหลืออีก 35 ล้านโดส ที่ต้องหามาเพิ่ม ตอนนี้ก็ยังมีเพียงแผนการคร่าว ๆ เท่านั้น สรุปรวม ๆ ก็จะมีดังนี้
- Sputnik V – 5 ถึง 10 ล้านโดส
- Pfizer – 5 ถึง 10 ล้านโดส
- หอการค้าช่วยจัดหาให้ อีก 10 – 15 ล้านโดส เพื่อให้ผู้ประกอบการเอกชนนำไปฉีดให้พนักงานเองได้
โพสต์ Facebook ของท่านนายก ที่กล่าวถึง วัคซีนอีก 35 ล้านโดส
35 ล้านโดสที่เหลือจะทำการจัดซื้อโดยกระทรวงสาธารณสุข และองค์การเภสัชกรรม ไปเจรจากับ Sputnik Vaccine และ Pfizer เพื่อจัดหาวัคซีนเพิ่มเติม ให้ภาคเอกชนบริจาคเงินเพื่อไปซื้อ 10-15 ล้านโดส นำไปฉีดให้พนักงานเอง ส่วนโรงพยาบาลเอกชนสามารถขอจัดซื้อเองได้เพื่อไปฉีดให้กับกลุ่มเป้าหมายมีความเสี่ยง ที่ไปรักษาในโรงพยาบาลเอกชนของตนเองแต่จะต้องทำตามเงื่อนไขความปลอดภัยที่รัฐบาลตั้งไว้ทั้งหมดดังนี้
- มีระบบดูแลความปลอดภัยการฉีดวัคซีนตามที่กรมควบคุมโรคกำหนด
- มีการออกหนังสือรับรองการฉีดวัคซีนที่ถูกต้อง
- มีระบบติดตามอาการ และผลข้างเคียงจากวัคซีนตามที่กรมควบคุมโรคกำหนด
สาเหตุที่วัคซีนไม่สามารถนำเข้า และจำหน่ายผ่านเอกชนได้เป็นเพราะว่ายังเป็นวัคซีนฉุกเฉินอยู่ และไม่มีวางขายทั่วไป เพราะฉะนั้นถ้าเอกชนต้องการจะเจรจาซื้อเองต้องมีองค์การเภสัชกรรมเป็นผู้รับรองการซื้อขายเท่านั้น ทำให้ก่อนหน้านี้เราไม่ได้เห็นองค์กรเอกชนที่ไหนนำเข้าวัคซีนมาเอง (ยกเว้นจะจดทะเบียนเอาเองซึ่งก็ไม่ได้มีใครทำ)
สรุป Timeline วัคซีนในไทย
ตารางสรุป Timeline การได้รับวัคซีนตามข้อมูลล่าสุด (27 เมษายน 2564)
แล้วแบบนี้คนไทยจะได้เริ่มฉีดวัคซีนกันเมื่อไหร่ ? ตอนนี้ข้อมูลที่แน่ชัดมีเพียง Sinovac 3 ล้านโดสที่ได้รับมาแล้วตั้งแต่ช่วงเดือน มี.ค. AstraZeneca ก็สรุปข้อตกลง จะได้รับ 6 ล้านโดสแรกช่วงเดือน มิ.ย. นี้ และหลังจากนั้นอีกเดือนละ 10 ล้านโดสจนครบหมดในช่วงเดือน ธ.ค. Pfizer มีความเป็นไปได้ที่จะส่งวัคซีนให้ไทยในเดือน ก.ค. จนถึงสิ้นปี จำนวนประมาณ 5 – 10 ล้านโดส
ส่วน Sputnik V ได้เริ่มมีการเคลื่อนไหวแล้ว โดยรอทาง Sputnik Vaccine ส่งคนมาเจรจาเพื่อสรุปข้อตกลงกันต่อไป ส่วนของหอการค้าที่จะจัดหาให้เอกชนก็ต้องรอล่ารายชื่อครบแล้วส่งให้กระทรวงสาธารณสุขทำเรื่องเพื่อขอซื้อต่อไปครับ คาดว่าด้วย Timeline แบบนี้ประชาชนไทยก็จะได้ทยอยรับการฉีดวัคซีนไปเรื่อย ๆ จนถึงสิ้นปีตามที่วางแผนไว้
ทำไม 100 ล้านโดสถึงฉีดให้ได้แค่ 50 ล้านคน ?
อ้างอิงจากข้อมูลเว็บไซต์ ศูนย์ควบคุม และป้องกันโรคสหรัฐฯ (CDC) ระบุว่า COVID-19 เป็นโรคที่จำเป็นต้องมี Follow-up Dose (การฉีดวัคซีนซ้ำหลังจากเข็มแรก) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของวัคซีน ซึ่งควรเว้นระยะห่างราว ๆ 3-4 สัปดาห์ขึ้นอยู่กับชนิดวัคซีนที่ฉีดไป แถมจำเป็นต้องฉีดเข็มที่สองเป็นชนิดเดียวกับเข็มแรก เช่นถ้าฉีด AstraZeneca เข็มแรก เข็มที่ 2 ก็ต้องใช้ AstraZeneca อีกครั้งนั่นเอง เพราะฉะนั้น 100 ล้านโดส จะคำนวณออกมาอยู่ที่คนละ 2 โดส เป็น 50 ล้านคนนั่นเอง
แล้ววัคซีนของใครดีที่สุด?
หลาย ๆ คนเห็นชนิดของวัคซีนกับ Efficacy Rate (ประสิทธิภาพในการป้องกันโรค) ที่ออกมาจากสถาบันต่าง ๆ ก็อาจจะคิดว่า Moderna กับ Pfizer ของประเทศสหรัฐฯ ที่มีค่า Efficacy Rate สูงถึง 95% จะต้องดีที่ที่สุดแน่นอนเมื่อเทียบกับ Johnson & Johnson ที่มีค่า Efficacy Rate เพียง 66% เท่านั้น แต่มันไม่ใช่แบบนั้นเลย เพราะวัคซีนแต่ละชนิดผ่านการทดสอบที่มีตัวแปรแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลา และสถานที่ ทำให้ความเสี่ยงของตัวอย่างวิจัยไม่เท่ากัน ซึ่ง Moderna กับ Pfizer ทำการทดสอบในช่วงเดือน สิงหาคม – พฤศจิกายนที่มีการระบาดน้อยกว่าช่วงที่ Johnson & Jonhson ทดสอบ ผลจึงออกมาดีกว่านั่นเอง
ภาพแสดงช่วงเวลาการทดสอบวัคซีนของแต่ละชนิด อ้างจากจำนวนเคส COVID-19 ที่ระบาดในช่วงนั้น (ขอบคุณภาพจาก VOX)
ทั้งนี้ทั้งนั้นวัคซีนแต่ละรุ่นไม่ได้มีจุดมุ่งหมายสำคัญเพื่อให้ผู้ฉีด “ไม่ติด COVID อีกเลย” แต่เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับผู้ฉีด ลดความเสี่ยงที่ไวรัสจะทำอันตรายถึงขนาดต้องเสียชีวิต หรือเข้าโรงพยาบาล ทำให้ฉีดแล้วอาจยังมีอาการเหมือนไข้หวัดใหญ่ธรรมดา แต่สามารถหายเองได้เมื่อรักษาตามอาการ เพราะฉะนั้น ฉีดของอะไรก็ได้ดีกว่าไม่ฉีดแน่นอนครับ สำหรับผู้ประกอบการเอกชนที่สนใจสามารถกรอกแบบฟอร์มแสดงความประสงค์ซื้อวัคซีนได้ที่ลิ้งก์ด้านล่างเลยครับ
Source: ThaiChamber, Brandthink, แบบฟอร์มแสดงความประสงค์ซื้อวัคซีน, CDC, HFocus
mRNA ของ Pfizer ใช้เทคโนโลยีใหม่ จริงๆถ้าเทียบกับการทดลองวัคซีนตามมาตรฐานยังอยู่ในขั้นทดลองวงกว้างอยู่เลยมั๊ง
แต่ต้องดันออกมาฉีดแล้วเก็บผล ซึ่งเท่าที่ดูจากการจัดซื้อของบ้านเรา ฝังเสียงจากหมอที่ทำเพจ ส่วนตัวค่อนข้างคิดว่าแพทย์ใหญ่ๆของบ้านเรา
ยังไม่อยากให้คนไทยเสี่ยงกับผลระยะยาว 10-20 ปีหลังฉีด เมื่อเทียบกับเทคโนโลยีเก่า ไม่ว่าจะไวรัสตาย หรืออะไรก็ช่างของค่ายอื่น
แต่ถ้าเปิดช่องให้เอกชน ก็น่าจะให้เขาเลือกได้หน่อย แล้วให้คนจะฉีดเป็นคนเลือกเอง ขายแบบกองทุนก็ได้ ก่อนฉีดฟังหมอพยาบาลอธิบาย แล้วเซ็นต์รับทราบ
ว่าอาจเจอผลข้างเคียงอะไรบ้าง ระยะยาววัคซีนชนิดนั้นๆที่คุณเลือก ยังไม่ได้ทดลองต้องยินยอมรับ และจะไม่ฟ้องร้องภาครัฐที่อนุญาตให้นำเข้าฉุกเฉิน เอกชนผู้ฉีด หรือเอกชนผู้ผลิต
ก็น่าจะลดแรงโจมตี แบบไม่คิดจะเข้าใจการทำงานของ ทีมแพทย์ใหญ่ประจำกระทรวงและ อย ลงไปบ้าง
จริงๆ ตั้งแต่แรกถ้าเอกชนจะซื้อก็ไปดีลล์มาแล้วก็มาแจ้ง องค์การ เภสัช ขออนุญาติ อย. ก็น่าจะจบแล้ว ไม่เห็นต้องทำให้มันดูวุ่นวายเลย เอาาจริงๆ หาซื้อไม่ได้ หรือได้ก็ส่งมอบช้า ประกอบกับไม่กล้ารับผิดชอบ รึเปล่าถึงต้องทำให้มันดูยุ่งยากเหมือนโดนกีดกัน หรือโดนกีดกันจริงๆ