จากความสำเร็จของหูฟังตัดเสียงรบกวนหรือ Noise Canceling ของโซนี่ทำให้ในช่วงที่ผ่านมานั้นหูฟังซีรีส์ 1000X เป็นที่พูดถึงอย่างมากในตลาดหูฟัง โดยเฉพาะหูฟังครอบหู WH-1000XM3 ที่แม้จะอายุร่วมปีกว่าแล้วก็ยังครองตำแหน่งหูฟังยอดนิยม ตามมาด้วยหูฟัง True Wireless อย่าง WF-1000XM3 อีกรุ่นที่คว้าใจผู้ใช้งานกันไปได้จำนวนมาก และแล้วล่าสุดโซนี่ก็ได้อัพเกรดหูฟังอีกรุ่นนึงของซีรีส์ซึ่งเป็นหูฟัง in-ear แบบ neckband ห้อยคอออกมาในชื่อว่า WI-1000XM2 พร้อมกับเริ่มวางขายในประเทศไทยแล้ว ทางผมเองที่เคยใช้รุ่นก่อนหน้ามาก็ไม่พลาดที่จะสอยมาโดยเร็ว พร้อมกับนำมาเล่าให้เพื่อนๆ ฟังกันครับ
สำหรับบล็อกนี้จะเป็นการ Unbox เปิดกล่องดูข้างในกันครับว่าสำหรับ WI-1000XM2 นั้นเป็นยังไงกันบ้าง พร้อมกันจะพูดถึงภาพรวมของมันสักเล็กน้อยว่าต่างจากรุ่นก่อนคือ WI-1000X ที่ห่างกัน 2 ปีแล้วอย่างไรบ้าง แล้วไว้ผมจะมารีวิวโดยละเอียดอีกทีหนึ่งในภายหลังครับ เอาล่ะ ไปดูกันเลยดีกว่าครับ
เริ่มกันที่หน้าตากล่อง จะเห็นว่าขนาดไม่ได้ใหญ่นักครับ ส่วนหนึ่งก็เกิดจากการออกแบบใหม่ที่ทำให้มันกะทัดรัดขึ้นกว่าเดิมนั่นเอง
สำหรับการเปิดกล่องนั้น จะเป็นการดึงออกทางด้านข้างครับ (ตอนมาใหม่มีพลาสติกหุ้ม เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวมันไหล)
เปิดออกมาก็จะเจอคำแนะนำสำหรับการดาวน์โหลดแอป Headphone Connect ของโซนี่เพื่อการจัดการและตั้งค่าหูฟัง (ไม่ต้องใช้ก็เชื่อมต่อได้ครับ แต่ปรับแต่งได้น้อยหน่อย)
ไม่รอช้า เราก็ดึงมันออกมาแล้วดูของที่อยู่ข้างในกันเลยครับ
ภายในกล่องนั้นดูเรียบๆ ครับ ประกอบไปด้วยเคสใส่หูฟังพร้อมหูฟังข้างใน และฝั่งซ้ายในภาพก็คือชุดจุกหูฟังที่โซนี่แถมมาให้ โดยจะประกอบไปด้วยแบบ Hybrid Silicone ทั้งหมด 4 ไซส์ (SS, S, M อยู่กับตัวหูฟัง, L) และจุกแบบ Triple-comfort เป็นแบบเมโมรี่โฟมทำนองนั้นครับ มาด้วยกับ 3 ไซส์ (S, M, L)
ส่วนฐานที่อยู่ข้างล่างจุกหูฟังนั่นก็คือ…
อุปกรณ์เสริมนั่นเอง ประกอบไปด้วย
- สาย stereo jack สำหรับใช้กับตัวหูฟัง ต่อใช้แบบสายได้เลยครับ
- สายชาร์จ USB-A to USB-C
- อแดปเตอร์สำหรับใช้งานบนเครื่องบิน
กลับมาที่พระเอกของเรากันนั่นก็คือตัวหูฟังนั่นเอง มาเริ่มจากตัวเคสกันเลยครับ
เคสเป็นแบบอยู่ทรง น่าจะกันโดนแรงทับได้พอประมาณครับ จากภาพจะเห็นว่าขนาดกำลังดีเลย น่าจะสะดวกดีทีเดียวสำหรับตอนจัดใส่กระเป๋าไปเดินทาง
เปิดออกมาก็จะเจอกับหูฟังของเราครับ มีการจัดทรงไว้อยู่เพื่อความสวยงาม แต่เดี๋ยวเราก็แกะออกครับ ฮ่าๆ ส่วนฝั่งซ้ายในภาพจะเป็นช่องใส่ของกระจุกกระจิก ออกแบบมาให้จับเอาอุปกรณ์เสริมที่แถมมายัดเข้าไปได้ครับ เก็บหมดเอาอยู่
และนี่ก็คือสาเหตุที่โซนี่สามารถทำกล่องให้เล็กลงได้ รวมถึงเคสเก็บก็มีความกว้างที่ค่อนข้างน้อย เพราะตัวหูฟังนั้นสามารถม้วนเก็บแบบนี้ได้นั่นเอง อันนี้ไม่ต้องกลัวจะเสียหายเลยครับ เพราะเป็นท่าที่ทางโซนี่แนะนำมาเองเลย แว้บแรกที่ผมเห็นก็ชะงักไปเหมือนกัน คิดอยู่ว่าเอายังงี้เลยหรอ ฮ่าๆ
เอาหูฟังออกมาแล้ว สีที่ผมซื้อมาเป็นสีดำ โดยดีไซน์ก็จะเป็นโทนเดียวกับ WH-1000XM3 และ WF-1000XM3 ที่ใช้สีทองมาประกอบ ดีไซน์ไปทางเดียวกันขนาดนี้ ทำไมตัวนี้มันยังเป็น M2 (Mark 2) อยู่ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ตั้งชื่อรุ่นหูฟังออกมายากไม่พอ ยังไล่เลขได้งงอีกด้วย
สำหรับก้านฝั่งซ้าย (ซ้ายเวลาเราใส่) จะมีปุ่ม Power อยู่ครับ และจากที่ผมหยิบคู่มือมาอ่าน โซนี่บอกว่าเสาอากาศสำหรับ Bluetooth ก็อยู่ในฝั่งนี้ด้วยครับ แล้วถ้าเราดูด้านในก็จะเจอกับ
ช่องเสียบ stereo jack และช่องชาร์จที่เป็น USB-C ครับ ทั้งหมดจบอยู่ที่ก้านฝั่งซ้ายหมดเลยครับ
ก้านฝั่งขวาจะมีแต่ตำแหน่งของชิป NFC สำหรับเอามือถือมาแตะแล้ว Pair ได้ง่ายๆ นั่นเอง
ตัวคอนโทรลจะอยู่กับสายหูฟังข้างซ้าย มีปุ่มครบครันตั้งแต่ เพิ่ม/ลดเสียง ปุ่ม Play/pause ที่กด 2 ครั้งข้ามเพลง, กด 3 ครั้งย้อนเพลง และปุ่มด้านล่างสำหรับตั้งค่าได้ โดยจะเลือกใช้เป็นการปรับโหมดกการตัดเสียงรบกวน หรือจะใช้เรียก Google Assistant ก็ได้ครับ ส่วนด้านหลังจะมีช่องไมโครโฟนสนทนาครับ ดูจากตำแหน่งแล้วน่าจะไม่มีปัญหาเรื่องเสียงตอนคุยโทรศัพท์แบบรุ่นก่อนแน่ๆ
ส่วนของตัวที่รับกับคอของเรา (หาคำเรียกไม่ถูก) เรียกได้ว่าปรับจากรุ่นก่อนระดับหน้ามือเป็นหลังมือเลยครับ เพราะ WI-1000X นั้นจะเป็นแบบแข็งๆ มีโครงโลหะ แต่ใน WI-1000XM2 กลายเป็นเหมือนยางที่มีความยืดหยุ่นสูง ม้วนเก็บได้แบบภาพข้างบน ผมมองว่าเป็นการแก้ Pain Point ของลูกค้าที่ตรงจุดมาก เพราะผมเองก็แอบหงุดหงิดกับรุ่นก่อนพอสมควร
สำหรับตัว Housing ของหูฟังนั้นจะมีทรงแปร่งๆ อ้วนๆ นิดหน่อย แต่ก็ทำสีสันออกมาได้สวยอยู่ครับ มีการเปลี่ยนลักษณะของรูไมโครโฟนสำหรับตัดเสียงรบกวนไปจากรุ่นก่อน พร้อมกับแต้มสีทองเอาได้ด้วย แล้วก็ทำให้ผมย้อนกลับไปดูที่เคสที่แถมมา ก็เห็นว่าตัวซิปของเคสโซนี่ก็เก็บรายละเอียดทำเสียงทองมาเหมือนกัน เรียกว่าคุมธีมได้ครบถ้วนจริงๆ
ทั้งหมดนี้ก็คือการแกะกล่องดูหูฟัง WI-1000XM2 ครับ ถ้าหากใครมีข้อสงสัยอยากถาม หรืออยากให้ทดลองอะไรสามารถคอมเมนท์ทิ้งไว้ได้เลยครับ แล้วเดี๋ยวผมจะรวบไปตอบพร้อมกับบล็อกหน้าที่จะรีวิวเจ้าหูฟังตัวนี้รวดเดียวครับ สำหรับรีวิวนั้นอาจจะต้องขอเวลาอีกพักนึง จะมีการเทียบกับรุ่นก่อนหน้าด้วย จะได้ทราบกันว่ามีอะไรพัฒนาขึ้นไปบ้างมากน้อยแค่ไหน
สำหรับค่าตัวของ WI-1000XM2 นั้นอยู่ที่ 10,990 บาทครับ ถ้าใครสนใจแต่ยังไม่ชัวร์ ก็รออ่านรีวิวกันก่อนได้ครับ เดี๋ยวผมจะรีบจัดออกมาให้ไม่นานเกินรอแน่นอน 😀
ไม่ค่อยชอบที่ต้องคล้องคอเลยอะ
ปล.เล็บยาวจัง 😛
แฮ่ ว่าจะตัดๆ แต่ขอปั่นบล็อกก่อน //หลบไปตัดละ
แหล่มดีครับ น่าสนดีแท้ 🙂 🙂
จริงๆ แอบสนใจรุ่นนี้เพราะที่ผ่านมา
ครอบหู X1000 ใส่ออกข้างนอก อากาศร้อน ใส่แล้วยิ่งร้อน
true wireless พอจะถอดข้างหนึ่ง แล้วไม่มีกระเป๋าเสื้อ ไม่รู้จะเอามันไปไว้ไหน ถ้าในมือมีของที่จะถือด้วยจะหงุดหงิด
คล้องคอนี่ยังไม่เคยลอง แต่คิดว่าคงตอบโจทย์สำหรับผมแหละ
สไตล์เดียวกับผมเลยครับ เกือบจะซื้อ WH-1000XM3 มาใช้แล้ว แต่ไม่ชอบร้อนๆ หูฟังจะเปื้อนเหงื่อ ถอดพักบนคอก็เหนียวเหนอะหนะ พอไปมอง WF-1000XM3 true wireless ก็ไม่ชอบตรงถอดแล้วต้องหาที่วางพัก บวกกับมันขาด LDAC ไป เลยมาจบกับตัวห้อยคอตัวนี้
รุ่นที่แล้วอ่านรีวิวละก็ซื้อตาม ยังดีอยู่เลย ปล่อยไปตอนนี้ไม่รู้จะเหลือเท่าไร 555
รอบนี้รออ่านรีวิวเรื่องน้อยซ์แคนซลิ่ง(ขอแบบเปิดเฉยๆไม่เปิดเพลง มันจะลดเสียงได้ใกล้ตัวใหญ่ไหมนะ)
ละก็รุ่นที่แล้วจุกหลุดหายง้ายง่าย
ใช้รุ่นแรกมาปีกว่าละครับ ก็ยังชอบอยู่ ตัวใหม่นี่ชอบตรงพับเก็บได้ แต่ไม่ชอบตรงเอาปุ่มไปอยู่ในสายหูฟังเนี่ย คือผมว่าเอาไว้ที่ตัวคล้องคอมันดีอยู่แล้ว ตัวสายจะได้ไม่ต้องมีอะไรเกะกะ