ในที่สุด Google Pixel 3a ก็หลุดออกมาตามข่าวลือกันจนได้ โดยถือว่าเป็นคร้ังแรกที่ Google Pixel ถูกเปิดตัวภายในงาน Google I/O ซึ่งปกติแล้วจะเปิดตัวในงานของ Google Pixel โดยเฉพาะมากกว่า (เข้าใจว่าคงมีการเปิดตัว Google Pixel 4 ภายในงานอยู่ดี) ด้วยราคาที่ถูกอย่างน่าใจหาย (เริ่มต้นที่ $399) จึงทำให้ Google Pixel 3a เป็นที่หมายมองสำหรับใครหลายๆคนที่อยากจะได้สัมผัส Pure Android พร้อมกับกล้องสุดเจ๋งบวกกับ Google Camera อย่างแน่นอน


หลังจากทาง Google ได้ประกาศเปิดตัว Google Pixel 3a ไปในงาน Google I/O 2019 เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา แถมยังวางขายทันทีในวันที่ประกาศเปิดตัวอีกด้วย ซึ่งตอนแรกผู้เขียนก็นึกว่าต้องกดสั่งออนไลน์จาก Google Store เท่านั้น แต่กลายเป็นว่าเราสามารถเดินเข้าไปซื้อที่ Bestbuy ได้ตั้งแต่วันนั้นทันที! (ถึงแม้ว่า Google Store จะมี 1 Day Shipping แต่จะสู้เดินไปซื้อที่ร้านในวันนั้นเลยได้ไงล่ะ)

และในที่สุดมันก็อยู่ในมือของผู้เขียนแล้ววววววววว เย้

ซึ่งผู้เขียนก็สั่งมาทั้ง Google Pixel 3a และ Google Pixel 3a XL นั่นแหละ แต่สำหรับการแกะกล่องขอสาธยายแค่เฉพาะ Google Pixel 3a XL เพียงอย่างเดียวนะ เพราะว่ามันเหมือนกันทั้งคู่ ขนาดกล่องก็เท่ากัน

แกะกล่อง Pixel 3a

โดย Google Pixel 3a XL ที่ผู้เขียนสั่งมาจะเป็นสี Purple-ish ซึ่งเป็นสีใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวมาในรุ่นนี้นั่นเอง (ซึ่งยังคงความกวนๆของ Google กับการตั้งชื่ออยู่เหมือนเดิม)

สำหรับ Google Pixel 3a ไม่ว่าจะเป็นตัวปกติหรือ XL ก็ตาม จะมีแค่ความจุ 64GB เท่านั้น ซึ่งก็ถือว่าเยอะมากพอแล้วสำหรับการใช้งานทั่วไป แถมยังมี Google Photos ที่เอาไว้เก็บรูปได้ไม่จำกัดด้วย ดังนั้นก็มั่นใจได้เลยว่า Storage จะไม่เต็มง่ายๆแน่นอน

โดยกล่องใส่ตัวเครื่องจะมีลักษณะหน้าตาคล้ายกับรุ่นก่อนหน้านี้เลย รวมไปถึงการจัดวางของที่อยู่ข้างในก็ไม่ค่อยแตกต่างกันซักเท่าไร

ซึ่งความน่าสนใจในรุ่นนี้ก็คือมันมีรูหูฟัง 3.5mm กลับมาอีกครั้งแล้ว แต่พอผู้เขียนได้เปิดกล่องออกมาดูก็พบว่า มันไม่แถมหูฟังให้!! สงสัยคงไม่อยากผลิตหูฟังที่เป็นขั้ว 3.5mm แล้วแน่นอน

แต่สิ่งที่อยู่ในกล่องก็มีให้ครบถ้วนตามประสาสมาร์ทโฟนทั่วๆไป (ถ้าไม่นับหูฟัง) โดยจะมีคู่มือพื้นฐาน, ที่จิ้มถาดใส่ SIM, สติ๊กเกอร์ Google และ #teampixel, สาย USB-C to USB-C ความยาว 1 เมตร, ตัวแปลง USB-A to USB-C, อะแดปเตอร์จ่ายไฟ 18W และตัวเครื่อง Google Pixel 3a XL

อย่างแรกที่หลายๆคนสงสัยก็น่าจะเป็นเรื่องสี Purple-ish ว่ามันม่วงนิดๆยังไง ให้ลองนึกถึงสมัยอยู่โรงเรียนแล้วมีเพื่อนซื้อเสื้อใหม่มาใส่ ซึ่งมันจะไม่ใช่สีขาวโอโม่ แต่จะออกม่วงนิดๆมากกว่า นั่นล่ะครับ สี Purple-ish ของ Google Pixel 3a

พรีวิว Pixel 3a

(ซ้าย) Google Pixel 3a XL (ขวา) Google Pixel 3a

ถ้าถือแค่ตัวเครื่องสี Purple-ish จะไม่ค่อยรู้สึกถึงสีม่วงนิดๆซักเท่าไร แต่ถ้าลองเอามาเทียบกับ Clearly White ก็จะรู้สึกถึงความออกสีม่วงนิดๆได้ทันที

Google Pixel 3a XL จะเป็นหน้าจอ OLED ขนาด 6.0 นิ้ว ความละเอียด 2,160 x 1,080 พิกเซล (FHD+) อัตราส่วน 18 : 9

ส่วน Google Pixel 3a จะเป็นหน้าจอ OLED ขนาด 5.6 นิ้ว ความละเอียด 2,220 x 1,080 พิกเซล (FHD+) อัตราส่วน 18.5 : 9

(ซ้าย) Google Pixel 3a XL (ขวา) Google Pixel 3a

ทั้ง 2 รุ่นไม่มี Display Cutout (หรือที่เรียกกันว่า Notch) และด้วยขนาดหน้าจอที่ต่างกันไม่มากขนาดตัวเครื่องจึงต่างกันเพียงเล็กน้อย อยู่ที่ว่าผู้ใช้ชอบหน้าจอขนาดไหนมากกว่ากัน และอัตราส่วนหน้าจอที่แตกต่างกันเล็กน้อยก็ไม่ค่อยมีผลอะไรมากนัก

แต่ความสวยงามของ Google Pixel 3a ไม่ได้อยู่แค่ที่ตัวเครื่องเท่านั้น จุดเด่นสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือปุ่ม Power นั่นเอง

ซึ่งปุ่ม Power ของเครื่องสี Clearly White ในรุ่นนี้จะเป็นสีส้ม (สี Clearly White ของ Google Pixel 3 จะเป็นสีฟ้า) ส่วนของเครื่องสี Purple-ish จะเป็นสี Neon (เหลืองสะท้อนแสง) ส่วนเครื่องสี Just Black ก็เป็นปุ่มสีดำธรรมดาๆ

ดังนั้นสีที่ดูโดดเด่นที่สุดของรุ่นนี้ก็คงไม่พ้น Purple-ish นั่นเอง เพราะมีปุ่ม Power เป็นสี Neon ที่ตัดกับสีม่วงได้เป็นอย่างดี (ถึงแม้ว่าจะเป็นม่วงนิดๆก็ตาม) ส่วนปุ่ม Volume ก็ยังคงเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

(เรียงจากบนลงล่าง) Google Pixel 3 (สี Not Pink), Google Pixel 3a (สี Clearly White) และ Google Pixel 3a XL (สี Purple-ish)

เมื่อลองเอามาเทียบกับ Google Pixel 3 ก็จะพบกับความแตกต่างอย่างหนึ่งก็คือบอดี้ด้านหลังตัวเครื่องจะเป็น Polycarbonate Unibody แล้ว ไม่เหมือนกับ Google Pixel 3 ที่เป็นฝากระจกด้านหลัง (เปรียบเทียบได้จากภาพข้างบน)

และอีกอย่างหนึ่งที่ผู้เขียนสังเกตเห็นก็คือมุมจอของ Google Pixel 3a จะมีรัศมีน้อยกว่าของ Google Pixel 3 ซึ่งการใช้งานปกติจะไม่รู้สึกถึงความแตกต่างมากนัก แต่เมื่อเอามาเทียบกันก็จะเห็นถึงความแตกต่างกันได้อย่างชัดเจน

(ซ้าย) Google Pixel 3a (ขวา) Google Pixel 3

ลำโพงของ Google Pixel 3a ย้ายไปอยู่ที่ด้านล่างของตัวเครื่องแทน ไม่มีลำโพงใต้หน้าจอแล้ว

(เรียงจากบนลงล่าง) Google Pixel 3, Google Pixel 3a และ Google Pixel 3a XL

ซึ่งผู้เขียนแอบขัดใจกับการย้ายตำแหน่งของลำโพงในรุ่นนี้ เพราะว่ารุ่นนี้ยังเป็นลำโพง Stereo ก็จริง แต่ว่าข้างล่างเป็นแค่ลำโพงตัวเดียวเท่านั้น ส่วนลำโพงอีกข้างอยู่ด้านบนของหน้าจอ จึงทำให้มิติของเสียงของลำโพงซ้ายขวาแตกต่างกันเพราะว่าทิศทางของลำโพงอยู่คนละฝั่งของตัวเครื่อง

หมายความว่าที่ด้านล่างของตัวเครื่องเป็นช่องลำโพง (ช่องฝั่งขวา) และช่องไมโครโฟน (ช่องฝั่งซ้าย) นั่นเอง

(เรียงจากบนลงล่าง) Google Pixel 3a และ Google Pixel 3a XL

ลำโพงด้านบนของหน้าจอจะเป็นทั้งลำโพงปกติและลำโพงสำหรับสนทนาเหมือนกับรุ่นก่อนหน้า

และกล้องหน้าของ Google Pixel 3a จะเป็นกล้องเพียงแค่ตัวเดียว โดยเปลี่ยนเป็นเลนส์ที่มีมุมกว้างมากขึ้น แต่ยังไม่เท่าเลนส์มุมกว้างของ Google Pixel 3 (กว้างกว่าเลนส์ปกติ)

ถึงแม้จะมีกล้องหน้าตัวเดียวแต่ก็ได้เลนส์มุมกว้างกว่าเดิม

ซึ่งกล้องหน้าก็ยังคงเป็นความละเอียด 8 ล้านพิกเซลเหมือนเดิม แต่ที่ดีขึ้นคือรูรับแสงเป็น ƒ/2.0 (Google Pixel 3 เป็น ƒ/2.2)

ส่วนช่องเสียบถาด SIM ก็ย้ายไปอยู่ด้านข้างตัวเครื่องแทน (ฝั่งตรงข้ามปุ่ม Power และ Volume) โดยตัวเครื่องรองรับทั้ง Nano SIM และ eSIM

(เรียงจากบนลงล่าง) Google Pixel 3a และ Google Pixel 3a XL

ส่วนด้านบนของตัวเครื่องจะเป็นช่องเสียบหูฟัง 3.5mm ที่ใครหลายๆคนโหยหา (ผู้เขียนก็ด้วย) และรูไมโครโฟน

(เรียงจากบนลงล่าง) Google Pixel 3a และ Google Pixel 3a XL

สำหรับกล้องด้านหลังมีการตัด Spectral + Flicker Sensor ออกไป (ช่องที่อยู่ระหว่างกล้องหลังกับ LED Flash ของ Google Pixel 3 ที่แก้ปัญหาหน้าจอเป็นเส้นสีดำเวลาใช้กล้องถ่ายหน้าจออุปกรณ์ต่างๆ)

(เรียงจากบนลงล่าง) Google Pixel 3, Google Pixel 3a และ Google Pixel 3a XL

ส่วนกล้องหลังของ Google Pixel 3a ยังคงใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX363 เหมือนกับ Google Pixel 3 ที่ความละเอียด 22 ล้านพิกเซล แต่ไม่มีชิป Pixel Visual Core ที่ช่วยในการประมวลผลภาพแล้ว นั่นหมายความว่าคุณภาพของภาพถ่ายนั้นยังคงเหมือนกับ Google Pixel 3 รวมไปถึงฟีเจอร์ต่างๆของ Google Camera ด้วย แต่ระยะเวลาในการประมวลผลภาพจะใช้เวลานานขึ้นเท่านั้นเอง

ในตอนนี้ Google Pixel 3a มาพร้อมกับ Android 9.0 Pie ซึ่งในอนาคตก็จะได้อัพเดทเป็น Android Q อย่างแน่นอน เพียงแค่ว่ายังไม่มี Beta Firmware ให้ทดสอบเหมือนรุ่นอื่นๆเท่านั้นเอง

Google Pixel 3a ที่ขนาดกำลังพอดีมือของผู้เขียน

ส่วนความลื่นไหลของ Google Pixel 3a นั้นยังให้คำตอบไม่ได้ เพราะว่าเพิ่งจะซื้อมาทดลองเล่นได้ไม่นาน ยังไม่มีแอปอะไรในเครื่องมากนัก แต่ที่แน่ๆคือรุ่นนี้ใช้ CPU เป็น Qualcomm Snapdragon 670 ที่เปิดตัวไปเมื่อปีที่แล้ว ดังนั้นความเร็วก็จะน้อยกว่า Google Pixel 3 อย่างแน่นอน

และ Google Pixel 3a ไม่ได้กันน้ำนะ ดังนั้นซื้อไปแล้วอย่าเข้าใจผิดว่ากันน้ำเหมือนแบบ Google Pixel 3 ล่ะ

(เรียงจากซ้ายไปขวา) Google Pixel 3a XL, Google Pixel 3a และ Google Pixel 3

ส่วนแบตเตอรีของ Google Pixel 3a จะมีความจุ 3000 mAh และ Google Pixel 3a XL จะมีความจุ 3700 mAh โดยชาร์จผ่าน USB-C ที่รองรับ Fast Charging แต่ไม่รองรับ Wireless Charging

โดยขนาดตัวเครื่องของ Google Pixel 3a จะใหญ่กว่า Google Pixel 3 พอสมควร เพราะมีพื้นที่ด้านข้างจอเยอะกว่า

(ซ้าย) Google Pixel 3 (ขวา) Google Pixel 3a

แต่ที่น่าแปลกใจไปยิ่งกว่านั้นก็คือ Google Pixel 3a ไม่ได้ Google Photos Unlimited ที่ความละเอียดรูปและวีดีโอระดับ Original เหมือน Google Pixel รุ่นก่อนหน้า สามารถเก็บได้แค่ High Quality เหมือนกับอุปกรณ์แอนดรอยด์อื่นๆ (อ้างอิงจากหมายเหตุ 5 ที่อยู่ใน https://store.google.com/magazine/compare_pixel)

ในการใช้งานทั่วๆไปไม่ได้รู้สึกแตกต่างไปจาก Google Pixel 3 ซักเท่าไร แต่สำหรับการถ่ายภาพก็จะรู้สึกว่าภาพที่มีการ Process ด้วย Software จะใช้เวลานานกว่าเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้นานจนน่าเกลียดอะไร

ภาพถ่ายจาก Pixel 3a

ส่วนภาพถ่ายที่ได้นั้นก็ยังคงความเป็น Google Pixel ได้เป็นอย่างดี

ถึงแม้ว่า Google Pixel 3a จะมีการลดสเปคไปบ้างจาก Google Pixel 3 แต่ด้วยราคาเปิดตัวเริ่มต้นที่ $399 (สำหรับ Google Pixel 3a) และ $479 (สำหรับ Google Pixel 3a XL) จึงทำให้รู้สึกว่าราคาไม่แพงมากนัก เมื่อเทียบกับความสามารถต่างๆของ Google Pixel โดยเฉพาะความเทพของกล้องที่บอกเลยว่าแค่ซื้อมาเพื่อใช้ถ่ายรูปก็คุ้มแล้วววววววววว

สำหรับการลองเล่น Google Pixel 3a XL ของผมก็ขอจบลงเพียงเท่านี้ เนื่องจากมีเวลาเล่นไม่นานมากนัก มัวแต่ไปเดินเที่ยวงาน Google I/O 2019 ส่วนรีวิวฉบับเต็มๆก็ต้องรอส่งต่อตัวเครื่องให้กับทีมงาน Droidsans ท่านอื่นๆมารับช่วงต่อไปนะครับ