เมื่อวานนี้ กระทรวงยุติธรรมสหรัฐ (Department of Justice: DOJ) ร่วมกับอัยการ 15 รัฐ และวอชิงตัน ดี.ซี. ยื่นฟ้อง Apple ต่อศาลกลางของรัฐนิวเจอร์ซีย์ ข้อหาผูกขาดทางการค้าในตลาดสมาร์ทโฟนด้วยเทคนิคและวิธีการกีดกันต่าง ๆ ซึ่งส่งผลเสียต่อทั้งผู้บริโภคและนักพัฒนา โดย Merrick B. Garland อัยการสูงสุดของสหรัฐฯ กล่าวในงานแถลงข่าวว่า Apple เลือกที่จะทำให้คู่แข่งดูแย่ลง แทนที่จะพัฒนาสินค้าและบริการของตนให้ดีขึ้น

Garland ยกตัวอย่างพฤติกรรมบางส่วนของ Apple ที่เจ้าตัวอ้างว่าขัดต่อกฎ Sherman Antitrust Act ของสหรัฐฯ และส่งผลให้ลูกค้าอาจมองว่าสินค้าหรือบริการอื่นจากคู่แข่งมีคุณภาพต่ำกว่าของ Apple เอง ทั้งที่เป็นฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ เช่น

  • ไม่สนับสนุนการรับส่งข้อความข้ามแพลตฟอร์ม (กรณี บับเบิลฟ้า – บับเบิลเขียว)
  • จำกัดฟีเจอร์บางอย่างของแอปประเภทวอลเล็ตที่มาจากนักพัฒนาภายนอก เช่น ฟีเจอร์แตะจ่าย
  • การบล็อกบริการคลาวด์เกมมิงบนมือถือ โดยบังคับให้ใช้งานผ่านเว็บอย่างเดียว

ในคำแถลงของ DOJ ตำหนิ Apple ว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการคุกคามตลาดที่มีความเสรีและยุติธรรมอันเป็นรากฐานเศรษฐกิจของสหรัฐฯ หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่มีใครดำเนินการอะไร Apple ก็คงทำพฤติกรรมในลักษณะผูกขาดตลาดมือถือแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ

DOJ ชี้ให้เห็นว่า ในมุมของนักพัฒนา ต้องถูกจำกัดอยู่ในกฎและข้อบังคับทั้งหลายของ Apple ทำให้ยากต่อการพัฒนาแอปมาแข่งขัน ส่วนในมุมของผู้บริโภค ก็ต้องจ่ายเงินค่าซื้อสินค้าหรือบริการในแอปแพงเกินจำเป็น อันเป็นผลต่อเนื่องมาจากการที่ Apple เรียกเก็บค่าธรรมเนียมกับนักพัฒนาสูงถึง 30%

นอกจากนี้ พฤติกรรมดังกล่าวยังอาจส่งผลให้โทรศัพท์ iPhone, แอปบน App Store สินค้าอื่น ๆ ของ Apple ตลอดจนถึงอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ มีราคาแพงขึ้น แต่ได้ของที่มีคุณภาพต่ำ หรือไม่เกิดการพัฒนาของนวัตกรรมอย่างที่ควรจะเป็น

ทั้งนี้ ปัจจุบัน Apple มีส่วนแบ่งตลาดมือถือในสหรัฐฯ อยู่ที่ประมาณ 65% หรือ 70% หากนับเฉพาะในกลุ่มมือถือระดับพรีเมียมด้วยกัน

ที่มา : DOJ ผ่าน Bloomberg