อุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะ หรือ Wearables จนถึงตอนนี้กลายเป็นที่หลายคนรู้จักกันดีแล้ว แม้ว่าหลายคนจะซื้อไปใส่เพื่อความโก้เก๋เป็นหลัก ใช้ดูแจ้งเตือนเพื่อความสะดวกบ้างเป็นรอง แต่มากไปกว่านั้นยังมีคนอีกกลุ่มนึงที่ใส่ไปเพื่อสุขภาพ ที่ไม่ใช่แค่เพื่อลดน้ำหนัก ซึ่งหลายคนอาจจะคิดไม่ถึงว่ามันช่วยได้จริง แต่ในต่างประเทศมีคนรอดชีวิตจากการใส่และดูข้อมูลจาก Wearables พวกนี้ไม่น้อยเลย

เหตุผลที่ดีพอให้คนอยากจะสวมใส่

จากวันที่เหล่าอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะออกมาเป็นตัวแรก ผ่านมาจนถึงตอนนี้ก็จัดว่าหลายปีแล้ว หลายคนคิดว่ายังไม่มีทีท่าที่มันจะบูมจนสวมใส่กันทุกคนเหมือนกับสมาร์ทโฟนที่ใช้เวลาราว 5 ปีก็ติดลมบนจนกลายเป็นทุกคนใช้กัน แต่ด้วยไอเดียที่เปลี่ยนให้สินค้าสวมใส่เหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ความโก้เก๋ แต่ใส่เอาไว้เป็นเหมือนหลักประกันว่าสุขภาพเรายังดีอยู่ จะไม่ตายแบบฉับพลัน ก็ดูจะเริ่มขยับให้หลายคนสนใจจะหาเอามาติดตัวกันเอาไว้ หรือซื้อให้คนที่เรารักใส่กันไม่น้อย โดยปัจจุบันนาฬิกาที่เป็นริเริ่มไอเดียของการเป็นอุปกรณ์เพื่อสุขภาพและการแพทย์ก็คือ Apple Watch นั่นเอง โดยมีฟีเจอร์ที่เกี่ยวข้องใส่มาให้พอสมควร ไม่ว่าจะเป็นการโทรออกอัตโนมัติเมื่อตรวจจับการล้ม (Fall Detection), หรือตัวตรวจจับการเต้นผิดปกติของหัวใจ ก็สามารถทำได้เลยด้วย ซึ่ง​ ณ วันที่ออกมานั้น ก็มีหลายคนถึงกับเอ่ยปากว่าจะซื้อให้พ่อแม่ ญาติผู้ใหญ่ใส่กันเลยทีเดียว และแน่นอนว่านาฬิกายี่ห้ออื่นๆ รวมถึง WearOS ก็เตรียมจะยัดฟีเจอร์แบบนี้ตามมาให้ด้วยในเร็ววัน

เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น เดี๋ยวผมจะลองยกตัวอย่างเคสของผู้ใช้จริงๆ ที่รอดชีวิตจากการดูสัญญาณการแจ้งเตือนของนาฬิกาอัจฉริยะเหล่านี้มาให้ทราบกันครับ

สังเกตการค่าการเต้นของหัวใจให้ดี

พอดีไปอ่านเจอเคสของคนที่ใส่ของพวกนี้และรอดชีวิตมาได้ เพราะสังเกตเห็นความผิดปกติของการเต้นของหัวใจ และคิดว่าน่าจะมีประโยชน์สำหรับคนที่คิดจะหามาใส่ หรือคนที่กำลังใส่อยู่ ว่าถ้าวันดีคืนดีเจ้านาฬิกาอัจฉริยะ หรือสายข้อมืออัจฉริยะที่สวมใส่อยู่ มันร้องแจ้งเตือนแบบนี้ขึ้นมา คุณอาจจะตกอยู่ในสภาวะใดสภาวะหนึ่งดังนี้ก็เป็นได้

ไตวาย

Deanna Recktenwald, นักศึกษา

อายุ 18 ปี

อุปกรณ์ : Apple Watch

อาการ : หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ 190 ครั้งต่อนาที

หลังจากที่ใส่ Apple Watch ตามปกติในแต่ละวัน วันดีคืนดีน้องเค้าก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นว่านาฬิกาแจ้งเตือนว่าหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ แบบที่คนธรรมดาในวัยเดียวกันซึ่งควรจะเต้นเพียง 60-100 ครั้งต่อนาทีเท่านั้น แต่ตัวของ Deanna เต้นสูงขึ้นไปถึง 190 ครั้งต่อนาที ทำให้แม่ของเค้ารีบพาไปหาหมอ และพบว่าน้องเค้าเป็นโรคไตวาย ซึ่งถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที น้องเค้ามีสิทธิ์หลับและไหลตายไปทันที และที่น่าสนใจคือทั้งครอบครัวของ Deanna ได้เข้ารับการตรวจไต ก็พบว่า พ่อ แม่ และน้องสาวอีก 3 คนต่างก็มีอาการอีกด้วย

หัวใจอุดตัน

Michael Glenn

อายุ 34 ปี

อุปกรณ์ : Fitbit

อาการ : หัวใจเต้นช้าผิดปกติ 40 ครั้งต่อนาที

จากที่ตอนแรกเค้าซื้อ Fitbit มาเพื่อช่วยติดตามการกินอาหารของตัวเองเพียงเท่านั้น แต่วันดีคืนดีเจ้าสายรัดข้อมืออันนี้กลับแจ้งเตือนว่าอัตราการเต้นของหัวใจเค้าตกลงไปเหลือเพียงแค่ 40 ครั้งต่อนาทีเท่านั้น เมื่อเค้าไปถึงโรงพยาบาลตรวจร่างกาย หมอต้องรีบพาเค้าเข้าไปรับการผ่าตัดฉุกเฉิน เนื่องจากหลอดเลือกหัวใจด้านขวาตีบตัน 100% และหลอดเลือดแดง (Central Artery) อุดตัน 80% ซึ่งโอกาสรอดของเค้ามีเพียง 50% เท่านั้น แต่โชคดีว่าเค้ามาทันเวลา จึงรอดมาได้

ภาวะบีบรัดหัวใจจากความผิดปกติของน้ำรอบนอกหัวใจ

Christina Ling

อายุ 45 ปี

อุปกรณ์ Apple Watch

อาการ : หัวใจเต้นสูงผิดปกติ แม้จะนั่งอยู่นิ่งๆ

ตอนแรกผู้ใส่คิดว่าตัวเองเป็นหวัดตามปกติเท่านั้น แต่เมื่อเห็น Apple Watch ทำการแจ้งเตือนขึ้นมาว่าหัวใจเต้นเร็วถึง 150 ครั้งต่อนาที มากกว่าคนทั่วไปกว่า 50% เลยก็ว่าได้ โดยเค้าก็นั่งอยู่นิ่งๆเป็น 10 นาทีเพื่อหวังให้หัวใจเต้นเร็วน้อยลงบ้าง แต่ก็ไม่เป็นผล จึงพาตัวเองไปโรงพยาบาล และตรวจพบโรคดังกล่าวนั่นเอง

ซื้อไปแล้วใช้ให้เป็น เข็นความสามารถที่แท้จริงออกมาให้ได้

ต้องบอกว่าในอนาคตเราน่าจะได้เห็นกรณีแบบนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ที่อุปกรณ์สวมใส่จะเป็นเครื่องเตือนภัยสุขภาพของเรา โดยไม่ได้เกี่ยวกับว่าเราจะใส่อุปกรณ์ใด ไม่ว่าจะ Wear OS, Apple Watch, Galaxy Watch, หรือแบรนด์ใดๆก็ตาม ถ้าเราได้สวมใส่แล้วยังไงก็อย่าลืมสังเกตค่าต่างๆเหล่านี้ด้วย อย่าคิดว่าเรายังอายุน้อยหรือแข็งแรงอยู่ ไม่น่าจะมีปัญหาแต่อย่างใด ถ้าวันนึงมันมีแจ้งเตือนขึ้นมา ก็อย่านิ่งนอนใจ เดินไปหาหมอรับการตรวจสักหน่อยก็ยังดีครับ

และถ้าจะให้ดี ก็ไปตั้งค่าการแจ้งเตือนกันสักหน่อยให้วันใดวันหนึ่งที่เรามีความเสี่ยงขึ้นมามันจะได้เตือนเราได้ รวมถึงถ้าอุปกรณ์ใครที่สามารถโทรด่วนหาสถานพยาบาล หรือคนสนิทใกล้ชิดให้ได้ทราบได้ เมื่อเราประสบอุบัติเหตุ หกล้มหรืออะไรก็ตาม อย่างน้อยยังมีคนรู้และมาช่วยเหลือเราได้ทันเวลานะ

Source ของเรื่องราวผู้ป่วยจาก USA TODAY ฉบับวันที่ 22 กุมภาพันธ์