สวัสดีครับเพื่อนสมาชิก Droidsans ทุกท่าน วันนี้ผมจะมาแะกล่องพรีวิวมือถือรุ่นใหม่จาก Wiko มันคือ U Feel Fab มือถือรุ่นล่าสุดในตระกูล U Feel โดยรุ่นนี้เน้นที่ขนาดหน้าจอใหญ่ 5.5 นิ้ว ดีไซน์สองสีแบบเก๋ๆ และความอึดของแบตเตอรี่ระดับ 4000mAh วางจำหน่ายแล้วในราคา 5,690 บาท มาดูรายละเอียดกันครับ
สเปกของ Wiko U Feel Fab
ชื่อและรหัสเครื่อง : Wiko U Feel Fab
สัดส่วน : 154.35 x 77.15 x 10.60 มิลลิเมตร
น้ำหนัก : 201 กรัม
หน้าจอ : IPS On-cell ขนาด 5.5 นิ้ว ความละเอียด HD (1280 x 720) 267 ppi
เครือข่ายที่รองรับ:
4G : FDD-LTE 800 / 1800 / 2100 / 2600 (LTE Cat.4)
3G : WCDMA 850 / 900 / 1900 / 2100
2G : GSM 850 / 900 / 1800 / 1900
SIM : 2 SIM แบบ Micro SIM Dual Standby
CPU : MediaTek MT6737 Quad-Core 1.3 GHz, Cortex-A53
GPU : Mali™-T720
RAM : 2GB
หน่วยความจำภายใน : 16GB รองรับ microSD card สูงสุด 64GB
กล้องหน้า : 5 ล้านพิกเซล พร้อมแฟลช
กล้องหลัง : 13 ล้านพิกเซล พร้อม AF และแฟลช Single-LED
แบตเตอรี่ : 4000mAh
OS : Android 6.0 Marshmallow
สแกนลายนิ้วมือ : มี
NFC : ไม่มี
OTG : มี
ไฟแจ้งเตือน: มี
เซ็นเซอร์และการเชื่อมต่ออื่นๆ:
GPS, A-GPS
Wi-Fi 802.11 b/g/n
Bluetooth 4.0
USB 2.0
หูฟัง 3.5 มิลลิเมตร
Accelerometer, Ambient Light, Gyroscope, Magnetometer, Proximity
สีที่มีให้เลือก : ดำ True Black, เทา Light Grey, เขียวมะนาว Lime, ทองชมพู Rose Gold
แกะกล่อง U Feel Fab
สำหรับกล่องของ U Feel Fab ก็เหมือนกับกล่องของ U Feel รุ่นอื่นๆ เป็นกล่องกระดาษแข็งเปิดจากด้านหน้า มีลวดลายเฉพาะตามแบบของมือถือ Wiko U Feel แต่เพราะความเหมือนนี่แหละ ตอนซื้อให้ดูชื่อรุ่นดีๆด้วย เผื่อไม่ตรงรุ่นนะครับ 55
อุปกรณ์ที่ให้มาในกล่องมีดังนี้ น่าแปลกที่ไม่มีสาย microUSB มาให้ อาจจะเป็นเพราะเครื่องรีวิว เนื่องจากทาง Wiko ระบุในเว็บไซต์ชัดเจนว่ามีสาย microUSB มาให้ในกล่องด้วย
ตัวเครื่อง U Feel Fab
Adapter สำหรับชาร์จ
หูฟังสเตอริโอพร้อมไมค์
เคสซิลิโคน
ฟิล์มกันรอย
คู่มือภาษาไทย
ตัวแปลงซิม
Adaptor สำหรับชาร์จที่ให้มาจ่ายไฟอยู่ที่ 5.0V===1.55A
อันนี้ผมแปลกใจนิดหน่อยคือ ในกล่องแถมตัวแปลงซิมมาให้จาก microSIM หรือ nanoSIM ไปเป็น SIM ขนาดธรรมดา แต่มือถือรุ่นนี้รองรับ microSIM ดังนั้น ตัวแปลงซิมจึงใช้ไม่ได้เพราะใหญ่เกินครับ
งานออกแบบ Hardware
U Feel Fab นั้นมาพร้อมวัสดุฝาหลังที่เป็นโลหะ จึงมีความแข็งแรงและทนทานในตัว โดยงานออกแบบของรุ่นนี้ Wiko เรียกว่า Neo-Retro design คือย้อนยุคแบบร่วมสมัย เป็นการใช้โลหะและพาสติกตัดสีกันชัดเจน โดยผิวสัมผัสจะนุ่มๆคล้ายยาง เวลาถือจะเข้ามือและไม่ลื่นหลุดได้ง่าย ส่วนหน้าจอถูกปกคลุมด้วยกระจกโค้ง 2.5D ตามเทรนด์มือถือยุคปัจจุบัน ส่วนขนาดตัวเครื่องนั้นถือว่าใหญ่ แต่กำลังพอดี มีน้ำหนักเล็กน้อย เพราะขนาดหน้าจอและแบตเตอรี่ 4000mAh ทำให้น้ำหนักของตัวเครื่องไปแตะที่ 201 กรัม แต่ก็ไม่ถึงกับหนักจนน่าเกลียด
ส่วนบนของหน้าจอจากซ้ายไปขวาประกอบด้วย ไฟแฟลชกล้องหน้า, ลำโพงสนทนา, กล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล และที่มองไม่เห็นคือ ช่องของเซ็นเซอร์ Proximity และวัดแสง อ้อ! มันไฟแจ้งเดือน (Notification LED) ด้วยครับ
ส่วนล่างของหน้าจอจะเป็นปุ่ม Home สารพัดประโยชน์ แบบเดียวกับของ U Feel Go เลยครับ โดยมันจะทำหน้าที่หลักเป็น “เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ” ฟังก์ชันอื่นคือเราสามารถแตะหนึ่งครั้งเพื่อเป็นปุ่ม Back และกดค้างไว้เพื่อเข้าสู่หน้า Recent apps ได้อีกต่างหาก เรียกว่าจบครบในปุ่มเดียว ไม่จำเป็นต้องใช้ปุ่ม Softkeys บนหน้าจอก็ได้ (ปิดได้ใน Settings)
ด้านบนของตัวเครื่องมีเพียงรูเสียบหูฟัง 3.5 มิลลิเมตรสำหรับฟังเพลงผ่านหูฟัง
ด้านล่างของตัวเครื่องประกอบด้วยพอร์ต microUSB ด้านซ้ายสุด ถัดไปเป็นรูไมโครโฟนสำหรับสนทนาครับ
ด้านขวาของตัวเครื่องมีปุ่มปรับเสียงและปุ่ม Power ตามมาตรฐานของ Android
ด้านซ้ายของตัวเครื่องก็เรียบๆ ไม่มีปุ่มอะไร
พลิกมาดูด้านหลังจะเห็นงานออกแบบสไตล์เก๋ๆ ส่วนที่เป็นโลหะสีจะอ่อนกว่าส่วนที่เป็นพลาสติก เห็นตัดกันชัดเจน
พลิกมาดูด้านหลังเครื่องกันบ้าง ด้านหลังมีกล้องหลัง 13 ล้านพิกเซลเด่นเป็นสง่าอยู่ ทางขวาเป็นรูไมโครโฟนตัวที่ 2 สำหรับตัดเสียงรบกวน ถัดลงมาด้านล่างเป็นไฟแฟลชแบบ Single LED
ส่วนด้านล่างที่เห็นเป็นจุดๆนั่นคือ ช่องลำโพงสำหรับเสียงเรียกเข้าและฟังเพลง ซึ่งให้เสียงดังฟังชัดพอตัวเลยทีเดียว
U Feel Fab สามารถแกะฝาหลังออกมาได้ เพื่อใส่ SIM และ microSD ส่วนแบตเตอรี่ถูกฝังอยูในเครื่อง ถอดเองไม่ได้ครับ
มือถือรุ่นนี้รองรับ SIM แบบ microSIM สามารถใส่ได้ 2 ซิมพร้อมกัน ทำงานแบบ dual standby และมีช่อง microSD แยกต่างหากด้วยครับ
โดยรวมในเรื่อง hardware ทั้งสเปกและงานออกแบบของ U Feel Fab จะคล้ายคลึงกับ U Feel Go มากครับ ต่างกันแค่หน้าจอ 5.5 นิ้วกับ 5 นิ้ว และงานออกแบบบางส่วนเท่านั้นเอง เรียกว่าเป็นรุ่น minor change จาก U Feel Go ก็ไม่ผิดนัก
ระบบ Software
Wiko U Feel Fab มาพร้อมระบบปฏิบัติการ Android 6.0 Marshmallow โดยเครื่องรีวิวที่ได้มามี Security update เป็นของเดือนกันยายน 2016 ก็ถือว่าเก่าไปนิดครับ
สำรหรับ UI ของมือถือ Wiko ทุกรุ่นจะมี Wiko Launcher มาให้ใช้งานเหมือนกันทุกรุ่น นอกจากนั้นก็มีแอปเสริมเข้ามาให้ใช้งานเป็นการเพิ่มฟีเจอร์ในเครื่อง เช่น Phone Assist, My Apps และ Fingerprint เป็นต้น โดยรวมแล้วทุกฟีเจอร์เหมือนกับที่มีอยู่ใน U Feel Go เลย สามารถอ่านรายละเอียดได้จาก รีวิว Wiko U Feel Go ที่ผมเคยเขียนไว้ได้เลยครับ
ประสิทธิภาพการใช้งานเบื้องต้น
U Feel Fab มาพร้อมหน่วยประมวลผล MediaTek MT6737 Quad-Core ความเร็ว 1.3 GHz ส่วนของ GPU เป็น Mali-T720 ชิปเซตตัวเดียวกับ U Feel Go เช่นกัน โดยชิปเซ็นรุ่นนี้จัดว่าอยู่ในกลุ่มราคาประหยัดสำหรับกลุ่ม basic user ในส่วนของ RAM ให้มา 2GB สำหรับประสิทธิภาพจากการทดลองใช้งานเบื้องต้นพบว่า ทำงานได้ดี ลื่นไหล มีหน่วงบ้างบางจังหวะ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่คาดหวังได้อยู่แล้ว โดยการวัดประสิทธิภาพด้วย App สำหรับ benchmark พบว่าได้คะแนนตามมาตรฐานดังนี้
Antutu Benchmark
Geekbench 4 : CPU
Geekbench 4 : GPU
กล้องถ่ายรูปและตัวอย่างภาพถ่าย
กล้องหลัง 13 ล้านพิกเซลของ U Feel Fab ถือว่าถ่ายรูปได้ดีตามมาตรฐานของมือถือระดับนี้ ภาพช่วงกลางวันมีรายละเอียดและความคมชัดที่ดี เล่นโฟกัสใกล้ไกลได้ ส่วนภาพกลางคืนก็ตามราคาครับ โดยรวมกล้องสามารถถ่ายได้สนุกๆ ไม่ต้องซีเรียสอะไร
Focus ใกล้
Focus ไกล
ภาพกลางวัน:
ภาพกลางคืน:
สรุปเบื้องต้น
U Feel Fab ถือว่าเป็นรุ่น minor change มาจาก U Feel Go โดยสเปกนั้นแทบจะเหมือนกันทุกอย่าง ต่างกันเพียงขนาดหน้าจอใหญ่และเล็กเท่านั้น U Feel Fab หน้าจอ 5.5 นิ้ว ส่วน U Feel Go หน้าจอ 5 นิ้ว แบตเตอรี่ 4000mAh เท่ากันอึดพอๆกันทั้งสองรุ่น ประสิทธิภาพใช้งานก็ดี ลืนไหล อาการสะดุดหน่วงมีบ้างแต่น้อยมาก เล่นเกมทั่วไปได้โอเค ส่วนราคาถือว่าคุ้มค่าเพียง 5,690 บาทเท่านั้น มี 4 สีให้เลือกคือ ดำ True Black, เทา Light Grey, เขียวมะนาว Lime, ทองชมพู Rose Gold ท่านที่สนใจสามารถหาซิ้อได้แล้วตามร้านมือถือชั้นนำทั่วไปครับ
สเปคถือว่าคุ้ม แต่ถ้าปิดโลโก้ก็บอกไม่ถูกเลยว่ายี่ห้ออะไร 55
ยี่ห้อนี้การอัพเดทเวอร์ชั่นแอนดรอยด์เป็นอย่างไรบ้างครับ
แม้ software จะค่อนข้างเป็น pure android แบบไม่มี app drawer แต่ก็แพตั้งแต่ออกจากโรงงานเช่นกันครับ
ตอนออกใหม่ๆ ridge นั่น สุดยอดมากนะ สเปคแรง ราคาประหยัด
แต่ปัจจุบัน ยุคที่จีนลุยเต็มที่ รวมสเปค การ support software แล้ว ถือว่าแพงกว่าแบรนด์จีน ด้วยสาเหตุหลายประการ (คคหสต.)
1. Software แพตั้งแต่ออกจากโรงงาน มารุ่นไหนตายรุ่นนั้น ขนาด ridge รุ่นที่เป็นรุ่นสร้างชื่อ ที่ว่าจะอัพให้เป็น 5 ก็เหมือนจะมาแบบไม่สมบูรณ์ ทั้งๆ ที่ปีต่อมา ออก pulp ที่ใช้ cpu ตัวเดียวกันมาขาย ยังทำ 5 ได้
2. CPU ด้อยมาก ในราคาเท่ากัน แถมบางทียังเอา cpu ปีเก่ามาขายอีกต่างหาก อย่าง ridge – pulp ออกห่างกันปีนึง แต่ cpu รุ่นเดียวกัน
3. UI ไม่ค่อยเอนกประสงค์เท่าแบรนด์อื่นๆ ในราคาเท่าๆ กัน เพราะมันใกล้เคียง pure android ไปหน่อย ยังดีที่เปลี่ยน launcher ได้
4. Product line เริ่มมั่วละ ออกสเปคมาชนกันกระจาย ราคาก็ชนกัน เพราะออก product ใน range ไม่เกิน 6-7,000 เท่านั้น
แต่ บริการหลังการขายค่ายนี้ดีมาก เท่าที่เคยอ่านมา มีแต่คนชม
คิดถึงสมัยก่อน มือถือเก๋ๆ ของโนเกียคือเก๋มาก
จะรุ่นปีกผีเสื้อ รุ่นกระหรี่ปั๊บ รุ่นแท่งสี่เหลี่ยม รุ่นสบู่โดป
คือเก๋จริงๆ ออกแบบมาแปลกตามาก
เดี๋ยวนี้คือ ต่างแค่สี ปิดยี่ห้อและมองห่างไป 5 เมตรยังไม่รู้เลยยี่ห้ออะไรรุ่นอะไร
ยี่ห้อนี้กั๊กcpuจัง ราคานี้ใส่8หัวง่อยๆอย่าง 6753 6750 มาก็ยังดี