Xiaomi เปิดตัว HyperOS เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เป็นระบบปฏิบัติการใหม่ที่จะนำมาแทน MIUI เดิมที่ใช้งานมานาน 13 ปี มาวันนี้ Xiaomi ประกาศข้อมูลเพิ่มเติมในงาน Leap Beyond the Moment ในจีน พร้อมเผยโฉมอุปกรณ์กลุ่มแรกที่รันด้วย HyperOS อย่างเป็นทางการ ได้แก่ Xiaomi 14 series, Xiaomi Watch S3 และ Xiaomi TV S Pro 85″ MiniLED
จุดเริ่มต้นของ HyperOS หนึ่งเดียวเชื่อมโยงทุกสรรพสิ่ง

Xiaomi ให้ข้อมูลว่า HyperOS เริ่มพัฒนามาตั้งแต่เมื่อ 6 ปีก่อน จุดเริ่มต้นมาจากการที่ Xiaomi ทำอุปกรณ์ IoT ออกมาขายหลายอย่างนอกเหนือจากมือถือและแท็บเล็ต หมวดหมู่ของสินค้าโดยรวมทยอยเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปี จนเกิน 200 หมวดหมู่ไปแล้ว และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต
เพราะความแตกต่างทางด้านฮาร์ดแวร์ของสินค้าเหล่านี้ เป็นการยากที่ Xiaomi จะทำให้ทั้งหมดทำงานร่วมกันอย่างสมบูรณ์แบบไร้รอยต่อด้วยระบบปฏิบัติการที่มีอยู่ Xiaomi จึงออก HyperOS มาเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว หวังเชื่อมโยงระบบนิเวศทั้งหมดในเครือเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว ทั้งมือถือ แท็บเล็ต อุปกรณ์สมาร์ทโฮม และรถยนต์ไฟฟ้า
ข้อแตกต่างระหว่าง HyperOS และ Android แบบเก่า

ระบบปฏิบัติการ HyperOS ยังมี Android เป็นพื้นฐาน แต่ในส่วนของ Kernel ถูกพัฒนาขึ้นใหม่ โดยผสานระหว่าง Linux และ Xiaomi Vela ที่ Xiaomi พัฒนาขึ้นเอง ทำให้ HyperOS รองรับ SKU ได้หลานพันรายการ สามารถนำไปปรับใช้งานกับอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้อย่างยืดหยุ่น แม้แต่อุปกรณ์ที่มี RAM เพียง 64KB ก็สามารถรันได้ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เป็นระบบปฏิบัติการที่กินทรัพยากรน้อย ทาง Xiaomi ได้ยกตัวอย่างเปรียบเทียบว่า HyperOS บนแพลตฟอร์มมือถือ ต้องการพื้นที่แค่ 8.75GB เล็กที่สุดในตลาด ในขณะที่คู่แข่งใช้พื้นที่ตั้งแต่ 11.36GB ไปจนถึง 21.20GB

Xiaomi บอกว่า HyperOS สามารถปรับความแรงซีพียูให้เหมาะสมตามสถานการณ์ที่หลากหลายและซับซ้อนได้อย่างแม่นยำแบบเรียลไทม์ ช่วยรักษาเฟรมเรตให้คงที่ขณะเล่นเกม และประหยัดแบตเตอรี่มากกว่าในภาพรวมเมื่อเทียบกับ Android แบบเดิม ตัว HyperOS ยังรองรับการแบ่งงานระหว่างหน่วยประมวลผลย่อยหลายหน่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ Xiaomi เคลมว่า แม้ใช้งานไปนาน 5 ปี ความเร็วก็แทบไม่ตกลงไปจากตอนเปิดใช้งานครั้งแรกสุดเลย
อุปกรณ์ในระบบทำงานร่วมกับแบบไร้รอยต่อ ด้วย HyperConnect

ของใหม่อีกอย่างใน HyperOS คือ HyperConnect เฟรมเวิร์กการเชื่อมต่อแบบ Cross-End ที่ผู้ใช้งานสามารถควบคุมอุปกรณ์เกือบทุกอย่างได้จากในที่เดียว และรองรับการทำงานร่วมกันแบบข้ามอุปกรณ์ เช่น ซิงก์การแจ้งเตือนจากมือถือไปยังแท็บเล็ต สตรีมภาพจากกล้องมือถือไปยังหน้าจอแท็บเล็ตแบบเรียลไทม์ ก๊อบปี้และวางไฟล์ข้ามไปข้ามมาระหว่างอุปกรณ์ เป็นต้น
HyperMind คิดแทน ทำแทน เรื่องง่าย ๆ ไม่ต้องรอให้สั่งงาน

พร้อมกันนี้ Xiaomi ได้เปิดตัว HyperMind ที่เป็นศูนย์กลางการรับรู้ของระบบนิเวศอุปกรณ์ของ Xiaomi มีความสามารถในการรับรู้และทำความเข้าใจสภาพแวดล้อม การมองเห็น เสียง และพฤติกรรม สิ่งนี้เป็นการต่อยอดไปสู่ปัญญาประดิษฐ์เชิงรุก โดยระบบจะนำทั้งสี่อย่างนี้มาเรียนรู้และวิเคราะห์ว่า ควรทำอะไร ที่ไหน และเมื่อไหร่ จากนั้นจะส่งคำสั่งไปยังอุปกรณ์โดยอัตโนมัติ โดยที่ผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องสั่งงานเอง ตัวอย่างการใช้งานแบบง่าย ๆ ที่ Xiaomi นำเสนอคือ หากเปิดประตูห้องนั่งเล่น ไฟในห้องก็จะเปิดตาม
ปรับปรุงการใช้งาน NPU ให้รองรับโมเดล AI ขนาดใหญ่

ตามที่หลายคนคงทราบกันดี ปีนี้เทรนด์ปัญหาประดิษฐ์หรือ AI กำลังมาแรง ทาง Xiaomi ได้พัฒนา HyperOS มาให้สอดรับกับเทรนด์นี้เช่นกัน จากการพัฒนาการทำงาน NPU ร่วมกับระบบย่อยอื่น ๆ บนชิป จนสามารถลดขนาดโมเดลและหน่วยความจำลงได้ 75% และลดเวลาการประมวลผลจากเหลือ 5 วินาที จาก 100 วินาที หรือคิดเป็น 95% ส่งผลให้ Xiaomi AI Assistant ฉลาดกว่าเดิม รองรับฟีเจอร์ปัญญาประดิษฐ์ขั้นสูง เช่น text to image และ image extender
แพลตฟอร์มความปลอดภัยแยก TEE เข้ารหัส E2E

HyperOS มากับแพลตฟอร์มความปลอดภัย TEE ทำงานบนฮาร์ดแวร์เฉพาะ แยกส่วนออกมาจากชิปหลัก สำหรับเก็บข้อมูลที่ละเอียดอ่อน เช่น ลายนิ้วมือ ใบหน้า และรหัสผ่าน รองรับทั้งบนมือถือ แท็บเล็ต และอุปกรณ์อื่น ๆ ลักษณะเดียวกับ Knox Vault ของ Samsung โดยการป้องกันของ TEE เป็นการเข้ารหัสแบบต้นทางสู่ปลายทาง ครอบคลุมทั้งภายในตัวอุปกรณ์นั้น ๆ และโมดูลการเชื่อมต่อ
มือถือ Xiaomi รุ่นไหน ได้ใช้ HyperOS บ้าง
Xiaomi เผยว่า อุปกรณ์กลุ่มแรกที่จะได้อัปเดต HyperOS ภายในเดือนมกราคมปีหน้า มีดังนี้
- Xiaomi 14 Pro (ติดตั้งล่วงหน้า)
- Xiaomi 14 (ติดตั้งล่วงหน้า)
- Xiaomi MIX Fold 3
- Xiaomi MIX Fold 2
- Xiaomi 13 Ultra
- Xiaomi 13 Pro
- Xiaomi 13
- Redmi K60 Ultra
- Redmi K60 Pro
- Redmi K60
ส่วนอุปกรณ์รุ่นอื่น ๆ นอกเหนือจากรายชื่อด้านบน รวมถึงการอัปเดตอุปกรณ์ในตลาดนานาชาติ ต้องรอประกาศเพิ่มเติมภายหลัง
ที่มา : Xiaomi
แล้วมันเข้ากับได้กับ GMS มั๊ย หรือถ้ามาพร้อม HyperOS ก็จะไม่มี GMS มาด้วย