ปลายเดือนนี้แล้วที่เราจะได้เห็นเรือธงรุ่นใหม่ Xiaomi Mi 9 ซึ่งมีกำหนดเปิดตัวในงาน Mobile World Congree ล่าสุดก็ได้มีภาพหลุดของ Wang Teng Thomas ผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์ของ Xiaomi ที่กำลังเล่นมือถือซึ่งดูแล้วมีกล้องหลัง 3 ตัว คล้ายกับภาพหลุดของ Mi 9

ภาพหลุดของ Xiaomi Mi 9 ก่อนหน้านี้

จากภาพหลุดดังกล่าว ถึงแม้ว่าจะเห็นตัวเครื่องไม่ชัดนักเนื่องจากมือของตา Wang Teng Thomas บังเครื่องซะเกือบหมด แถมยังเป็นมุมของตัวเครื่องด้านหลังอีกต่างหาก แต่ก็ยังพอเห็นได้ว่ากล้องหลังของมือถือที่คาดว่าจะเป็น Xiaomi Mi 9 มีทั้งหมด 3 ตัว เรียงเป็นแนวตั้ง และมีแฟลชอยู่ด้านล่างสุด ซึ่งตรงกับข่าวลือก่อนหน้านี้พอดี

ข้อมูลอื่นๆ เท่าที่มีหลุดออกมาในตอนนี้ก็คือ กล้องตัวหลักจะใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX586 ความละเอียด 48MP, กล้องตัวที่สองความละเอียด 12MP, ตัวที่สามเป็นเซ็นเซอร์ 3D แบบ ToF ส่วนกล้องจะใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX576 ความละเอียด 24MP

ส่วนสเปคตัวเครื่องนั้นคาดว่าจะใช้หน้าจอ AMOLED ขนาด 6.4 นิ้ว ความละเอียด Full HD+ (1080 x 2220) ที่จะเปลี่ยนดีไซน์จาก Notch แถบยาวในรุ่นที่แล้ว กลายเป็นแบบหยดน้ำแทน, CPU ใช้ Snapdragon 855, หน่วยความจำมีให้เลือกสองแบบคือ 6GB/128GB และ 8GB/256GB, แบตเตอรี่ขนาด 3500 mAh (รองรับการชาร์จไว), ใช้ระบบ Android Pie, มีเซ็นเซอร์สแกนนิ้วมือบนจอที่มีพื้นที่กว้างกว่าเดิมประมาณ 5 เท่า เพื่อการสแกนนิ้วที่สะดวกกว่าเดิมไม่จำกัดอยู่แค่วงแคบๆ เหมือนก่อน และอาจจะมีระบบสแกนใบหน้าใส่มาให้ด้วย

นอกจากนี้ประธานบริษัท Xiaomi ยังบอกว่าจะมีรุ่นพิเศษ Explorer Edition ตามมาอีกเช่นเคย ซึ่งรุ่นนี้จะไม่ได้เหนือกว่าแค่สเปคเท่านั้น แต่จะมีฟีเจอร์พิเศษที่ไม่มีใน Mi 9 รุ่นธรรมดาอีกด้วย (และอาจจะมีฝาหลังแบบใสเหมือนเดิม)

และจากการที่ Xiaomi ได้แยกมือถือในซีรีส์ Redmi ออกไปเป็นแบรนด์ลูก ทำให้ต่อจากนี้แบรนด์ Xiaomi จะพุ่งเป้าไปที่การพัฒนาและจำหน่ายมือถือเรือธงระดับไฮเอนด์อย่าง Xiaomi Mi ซึ่งจะวางขายทั้งแบบออนไลน์และหน้าร้าน ส่วนแบรนด์ Redmi ที่เป็นมือถือระดับกลางจะเน้นขายแบบออนไลน์เพียงอย่างเดียว

สำหรับมือถือแบรนด์ Xiaomi ในตอนนี้ นับว่าประสบความสำเร็จสุดๆ ในตลาดประเทศอินเดีย และกำลังจะขยายตลาดเข้าไปในโซนยุโรปอีก แต่คาดว่าจะยังไม่สามารถข้ามไปเจาะตลาดอเมริกาได้ง่ายๆ แน่นอน เพราะตอนนี้พี่กันเหมือนจะพยายามกีดกันสินค้าทางฝั่งจีน ไม่ว่าจะเป็นของ Huawei และ ZTE ที่อยู่ๆ ก็กลายเป็นภัยคุกคามทางด้านความปลอดภัยของอเมริกาไปแล้ว

 

ที่มา : Phone arena , gizchina