HyperOS ไม่ได้มีเพียงแค่มือถือรุ่นใหม่จาก Xiaomi เท่านั้นที่ได้ใช้งาน เพราะงานเปิดตัวมือถือเรือธงรุ่นใหม่ที่ผ่านมา Xiaomi Watch S3 ก็ได้เปิดตัวมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ HyperOS เป็นรุ่นแรก แถมยังมาในดีไซน์สุดเท่เหมาะกับสายคัสตอม เพราะนอกจากจะเปลี่ยนตัวสายได้แล้ว วงแหวนบนตัวเรือนยังสามารถถอดเปลี่ยนได้ด้วย ทำให้ครีเอตลุคได้ไม่ซ้ำกัน แม้จะมีนาฬิกาเพียงเรือนเดียว

Xiaomi Watch S3 มาพร้อมดีไซน์ตัวเรือนแบบวงกลมดูหรูหรา มีขนาดหน้าปัดอยู่ที่ 47 มม. ตัวเรือนใช้วัสดุ Aluminiom Alloy น้ำหนักเบาเพียง 44 กรัม มาพร้อมขอบหน้าปัดวงแหวนวัสดุ Stainless Steel ทนทานต่อรอยขีดข่วน และการสึกหรอ และรองรับมาตรฐานทนน้ำ ATM5

ความพิเศษของรุ่นนี้อยู่ที่ขอบเฟรมวงแหวนหน้าปัด ที่สามารถเปลี่ยนตัววงแหวนได้โดยใช้กลไกแม่เหล็กในการยึดติดกับตัวเรือน และเมื่อเปลี่ยนวงแหวนแล้ว ตัวธีมของหน้าปัดก็จะเปลี่ยนดีไซน์ ตามวงแหวนที่เราเลือกใส่ รวมถึงยังมีเสียง Sound Effect ที่มาพร้อมกับหน้าปัดชนิดนั้น ๆ ด้วย

ด้านหน้าจอแสดงผล รุ่นนี้ให้มาที่ขนาด 1.43 นิ้ว พาเนล AMOLED ความละเอียด 466×466 พิกเซล รองรับความสว่างสูงสุด 600 nits รองรับการปรับแสงสว่างอัตโนมัติ 256 ระดับ รองรับรีเฟรชเรต 60Hz โดยตัวกระจกเมื่อถอดกรอบวงแหวนออกมาแล้ว กระจกที่ครอบจอจะเป็นกระจกทนรอยขีดข่วนที่ยื่นออกมาเป็นชั้น ทำให้เวลาใส่วงแหวนแล้วจะดูเป็นชิ้นเดียวกัน

ตัวเซนเซอร์สุขภาพในรุ่นนี้ให้ เซนเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจแบบ 12 Channel ทำให้สามารถเก็บค่าสุขภาพได้ดีกว่าเดิมถึง 20% และแม่นยำถึง 97.95% รองรับการตรวจจับค่าออกซิเจนในเลือด ตรวจจับความเครียด ตรวจจับและช่วยฝึกฝนการหายใจ รวมถึงสามารถติดตามรอบเดือนของคุณผู้หญิงได้ รวมถึงยังพัฒนาอัลกอรึทึมให้ตรวจจับการนอนได้แม่นยำกว่าเดิมถึง 15%

ด้านฟีเจอร์ออกกำลังกายในรุ่นนี้มีให้เลือกกว่า 150 โหมด พร้อมรองรับระบบติดตามตำแหน่ง GNSS 5 มาตรฐานชั้นนำของโลก นอกจากนี้ยังมีการออกแบบตัวรับสัญญาณ Antenna ทำให้เก็บแผนที่ และติดตามตำแหน่งในขณะออกกำลังกายได้แม่นยำ และรวดเร็วกว่าเดิม 50% พร้อมรองรับ NFC แตะเพื่อจ่ายเงินได้ด้วย

สำหรับใครที่ชอบเล่นกีฬาสกี Xiaomi Watch S3 ก็มาพร้อมโหมดที่เจาะไปในกีฬาด้านนี้โดยเฉพาะ โดยตัวนาฬิกาสามารถตรวจจับ และรวบรวมสถิติการเล่น เช่นระยะเวลาการเล่น, ระยะทางในระหว่างการสกี และความเร็วในขณะที่เราสกีได้แบบครบ ๆ แถมยังสามารถแชร์ข้อมูลสถิติการเล่นสกีของเราให้เพื่อนดูได้ด้วย

Xiaomi Watch S3 ยังมาพร้อมกับรุ่นที่มี eSIM ให้เลือก ซึ่งตัวนาฬิกาจะสามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตได้ไม่ว่าจะอยู่ไหนก็ตาม อีกทั้งยังสามารถคุยโทรศัพท์ได้กับนาฬิกาโดยตรง ไม่ต้องหยิบมือถือออกมาโทร และสามารถฟังเพลงได้ผ่านแอปสตรีมมิ่งโดยตรง ไม่ต้องใช้มือถือเป็นตัวกลาง

สำหรับฟีเจอร์ฉุกเฉินต่าง ๆ ในรุ่นนี้ก็รองรับทั้งการต่อสายเพื่อขอความฉุกเฉินได้ (รุ่นที่ไม่มี eSIM ต้องเชื่อมต่อกับมือถือก่อน) และตัวเรือนยังสามารถตรวจจับการล้ม ซึ่งถ้าล้มจริงก็สามารถกดปุ่มเพื่อต่อสายกับเบอร์ฉุกเฉินได้เลย อีกทั้งยังสามารถเพิ่ม Medical emergency card เข้าไปในตัวนาฬิกาเพื่อใช้ง่ายต่อการติดต่อหากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น

ด้านแบตเตอรี่ในรุ่นนี้ให้แบตเตอรี่มาที่ 486 mAh ใช้งานได้นานสูงสุด 15 วันต่อการชาร์จ 1 ครั้ง / 5 วันเมื่อเปิดโหมด AOD และ 3 – 7 วันเมื่อใช้งานร่วมกับ eSIM แถมยังมีโหมดชาร์จเร็ว ชาร์จ 5 นาที ใช้งานได้นานสูงสุดถึง 2 วันเต็ม ๆ

Xiaomi Watch S3 ติดตั้งมาพร้อมกับ HyperOS เป็นรุ่นแรก ทำให้ตัวนาฬิกามาพร้อมกับหน้าตา UI ที่ดูสบายตา ไอคอนแอปเหมือนกับมือถือทุกอย่าง มาพร้อมระบบการแจ้งเตือนที่แสดงผลเหมือนกับบนมือถือ แถมยังรองรับ Hand Gesture ในรูปแบบต่าง ๆ สามารถสั่งการได้ทั้งในรูปแบบการพลิกข้อมือ และเขย่าข้อมือ และสามารถปรับแต่งคำสั่งได้ด้วยตนเองอย่างอิสระ

ราคา และการวางจำหน่าย

Xiaomi Watch S3 เปิดให้สั่งจองแล้วที่ประเทศจีน โดยมีให้เลือก 2 รุ่น ได้แก่รุ่น BT-WiFi Only และรุ่นรองรับ eSIM มาพร้อมตัวเรือนให้เลือก 3 สี โดยราคาวางจำหน่ายเปิดมาดังนี้

  • Xiaomi Watch S3 รุ่น Bluetooth / Wi-Fi ราคา 799 หยวน หรือราว ๆ 3,955 บาท โดยมีให้เลือก 2 สี
    • สีเงิน + สายยาง Fluoroelastomer สีเทา
    • สีดำ + สายยาง Fluoroelastomer สีดำ
  • Xiaomi Watch S3 รุ่น eSIM ราคา 999 หยวน หรือราว ๆ 4,945 บาท มีเพียงสีเดียวคือสีน้ำตาล พร้อมสายหนังแท้สีเดียวกัน

ที่มา: Xiaomi