ใครที่เพิ่งถอย iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max มาใหม่ๆ  แล้วอยากลองใช้งานกล้องที่เขาเคลมไว้ว่าเทพได้แบบเต็มประสิทธิภาพ วันนี้เราเลยมี 10 เทคนิคลับที่ช่วยให้เราถ่ายภาพได้สวย ๆ แบบไม่ต้องง้อกล้องใหญ่ มีแค่ iPhone 15 Pro Series เครื่องเดียวก็จบงานได้แล้ว

เลือกระยะ Focal Lenght บนเลนส์หลักที่ชอบได้ 3 ระดับ

บน iPhone 15 Pro และ Pro Max มาพร้อมกับฟีเจอร์ลับตัวใหม่ ที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ เช่นเราสามารถเปลี่ยนระยะ Focal Lenght ของเซนเซอร์หลักได้ 3 ระยะ เพียงแค่กดปุ่มซูม 1x ย้ำ ๆ เท่านั้น  โดยใช้หลักการครอปภาพจากความละเอียดเต็ม 48MP เป็นภาพความละเอียด 24MP ทำให้ได้คุณภาพที่ใกล้เคียงกับการซูมแบบ Optical โดยระยะที่มีให้เลือกปรับ มีดังนี้

  • 1x (24 มม.)
  • 1.2x (28 มม.)
  • 1.5x (35 มม.)

นอกจากนี้ หากถูกใจระยะไหนเป็นพิเศษ สามารถตั้งค่าให้ตัวกล้องใช้ระยะเลนส์ที่เราชื่นชอบเป็นค่ามาตรฐานได้ เพียงแค่ทำตามขั้นตอน ดังนี้

  • เข้าแอปตั้งค่า
  • เลื่อนหาการตั้งค่า “กล้อง”
  • เลือกเมนู “กล้องหลัก”
  • เลือกระยะเลนส์ที่ต้องการ เป็นอันเสร็จสิ้น เพียงเท่านี้ก็จะได้ระยะกล้องที่ถูกใจ ไว้ใช้ถ่ายภาพสวย ๆ โดยที่ไม่ต้องคอยกดซูมเองให้เสียเวลา

เปิด Grid Line ช่วยจัดองค์ประกอบภาพ

Grid Line หรือเส้นตาราง เรียกได้ว่าเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยภาพถ่ายของเราดูลงตัว เพราะเส้นตารางนี้ เป็นเส้นที่จะคอยช่วยจัดองค์ประกอบต่าง ๆ ในภาพให้ดูดี มีความสมดุลมากขึ้น รวมถึงช่วยนำสายตาของผู้ชมภาพไปยังวัตถุที่เราจัดวางไว้ในจุดตัดของภาพ ซึ่งวิธีการเปิดเส้นตารางบนมือถือ iPhone 15 Pro และ 15 Pro Max รวมถึง iPhone รุ่นอื่น ๆ มีขั้นตอน ดังนี้

  • เข้าแอปตั้งค่า
  • เลื่อนหาการตั้งค่า “กล้อง”
  • กดเปิดเมนู “เส้นตาราง”
Tips | 10 วิธีถ่ายรูปบนมือถือสวย ๆ ด้วย Grid lines เส้นจุดตัด 9 ช่อง

สำหรับวิธีการใช้งานเส้นตาราง 9 ช่องขั้นพื้นฐาน เราก็เคยสอนเทคนิกง่าย ๆ กันไว้แล้ว สามารถเข้าไปอ่านได้เลย และถ้าหากใช้ฟีเจอร์นี้เป็น จะช่วยให้ภาพถ่ายจาก iPhone ของเราดูดีขึ้นอีกเป็นกองเลยทีเดียว

ปรับความละเอียด เพิ่มความคมชัดของภาพถ่าย

สำหรับใครที่ต้องการไฟล์ภาพขนาดใหญ่ นำไปพิมพ์บนพื้นที่ใหญ่ ๆ แล้วภาพไม่แตก บน iPhone 15 Pro และ 15 Pro Max มาพร้อมกับฟีเจอร์ใหม่ ที่ให้ผู้ใช้งานสามารถปรับความละเอียดภาพมาตรฐานเลนส์หลักได้ 2 ความละเอียด ได้แก่ 12MP และ  24MP ซึ่งการเปลี่ยนก็ทำได้ง่าย ๆ 

  • เข้าแอปตั้งค่า
  • เลื่อนหาการตั้งค่า “กล้อง”
  • กดเปิดเมนู “รูปแบบ” 
  • เลือกเมนู “โหมดรูปภาพ” และเลือกความละเอียดที่ต้องการ
ขนาดไฟล์เพิ่มขึ้นมาเท่าตัวเลย

อย่างไรก็ตาม ภาพที่ความละเอียดสูงขึ้น ก็ต้องแลกมาด้วยขนาดไฟล์ที่ใหญ่ขึ้นเป็น 2 เท่า แต่ถ้าหากถ่ายรูปในโหมด Macro, โหมดภาพบุคคล หรือ Night Mode ระบบจะสลับมาใช้ความละเอียด 12MP ทันที

นอกจากนี้ หากใครที่อยากได้ภาพที่เต็มความละเอียดกล้อง 48MP และอยากได้ภาพที่มีค่าสีที่สามารถแต่งต่อได้แบบละเอียด สีไม่เพี้ยน ก็สามารถเปิดโหมด ProRAW Max เพื่อถ่ายภาพแบบเต็มความละเอียด 48MP ได้เลย โดยวิธีการเปิดมีดังนี้

  • เข้าแอปตั้งค่า
  • เลื่อนหาการตั้งค่า “กล้อง”
  • กดเปิดเมนู “รูปแบบ” 
  • เปิดการตั้งค่า ควบคุม ProRAW และความละเอียด
  • เลือกความละเอียดค่าเริ่มต้นแบบ Pro เป็น ProRAW Max

ซึ่งเมื่อตั้งค่าแล้ว หากจะถ่ายรูปแบบเต็มความละเอียด ก็สามารถเลือกเปิดจากมุมขวาบนที่หน้าแอปกล้องได้เลย แต่ฟีเจอร์นี้จะสงวนไว้ให้แค่ iPhone 14 Pro Series ขึ้นไปเท่านั้น รุ่นอื่น ๆ จะไม่สามารถเปิดฟีเจอร์นี้ได้

ปรับระยะโฟกัสวัตถุได้เลย ไม่ต้องเข้าโหมด Portrait

บน iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max ยังมีอีกหนึ่งฟีเจอร์ลับ ที่มีเฉพาะบนรุ่นนี้เท่านั้น อย่างการปรับระยะโฟกัสวัตถุผ่านโหมดปกติได้เลย โดยไม่ต้องเปิดโหมดภาพถ่ายบุคคล ทำให้การถ่ายภาพหน้าชัด หลังเบลอไม่ต้องมีเอฟเฟ็กต์แสงต่าง ๆ มาคอยกวนใจ

ส่วนวิธีการใช้งานก็ง่ายมาก ๆ เพียงแค่จ่อกล้อง และโฟกัสไปที่วัตถุที่เราต้องการจะถ่าย หลังจากนั้นกดปุ่ม f ที่โผล่ขึ้นมาที่มุมของเฟรมภาพ เพียงเท่านี้ก็จะเป็นการเปิดใช้การปรับระยะหน้าชัดหลังเบลอแล้ว 

และถ้าอยากปรับระดับความเบลอเพียงแค่ปัดแถบเมนูกล้องด้านล่าง กดปุ่ม f จากนั้นก็ปรับระดับความชัด ความเบลอได้เลย

ตัวอย่างภาพถ่านที่ได้จากฟีเจอร์ดังกล่าว

แปลงภาพถ่ายธรรมดา ให้กลายเป็นภาพหน้าชัดหลังเบลอได้

บางครั้งหากจะมาคอยนั่งปรับความชัดความเบลอขณะถ่าย ก็อาจจะไม่ทันใจสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะสัตว์เลี้ยงที่ชอบขยับตัวเป็นพิเศษ บน iPhone 15 Pro และ 15 Pro Max ก็มาพร้อมกับฟีเจอร์ที่เราสามารถถ่ายภาพในโหมดธรรมดา และมาเลือกวัตถุ และเบลอฉากหลังได้ในภายหลังในแอปอัลบั้ม ซึ่งวิธีการเปิดใช้งานนั้นเพียงแค่

  • ถ่ายรูปในโหมดปกติ
  • เปิดอัลบั้ม เลือกรูปที่ต้องการ
  • เลือกเปิด “ภาพถ่ายบุคคล” ที่อยู่มุมบนซ้ายมือของภาพ

เพียงเท่านี้เราก็จะได้ภาพถ่ายหน้าชัดหลังเบลอพร้อมโบเก้สวย ๆ ทันที และถ้าอยากปรับความเบลอของภาพให้มากขึ้น เพียงแค่กดแก้ไข กดปุ่ม f/ ที่มีค่าตัวเลขอยู่ที่มุมซ้ายบนของจอ หลังจากนั้นก็เลื่อนปรับความชัด-เบลอได้เลย

Photogenic Style ปรับโทนภาพ แก้ภาพหมอง (iPhone 13 ขึ้นไปก็ใช้ได้)

ใครที่รู้สึกว่ากล้อง iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max ดูหมองไป ถ่ายภาพแล้วสีไม่สวยสมใจ สามารถใช้โหมด Photogenic Style ในการปรับโทนภาพให้ดูมี Mood & Tone ที่แตกต่างจากเดิมได้ ซึ่งฟีเจอร์นี้สามารถใช้งานได้ตั้งแต่ iPhone 13 ขึ้นไป โดยวิธีเปิดใช้งาน Photogenic Style เพียงแค่

  • ปัดจอขึ้นในหน้ากล้อง 
  • เลือกเมนูโลโก้ภาพ 3 ชั้นซ้อนกัน
  • ปัดซ้ายขวาเพื่อเลือก Preset โทนภาพที่ชื่นชอบ โดยโหมด Photogenic Style จะมี Preset ให้เลือกปรับ 4 แบบดังภาพ

ซึ่งหากเราไม่ถูกใจกับ Preset ที่ทาง Apple ให้มา ก็สามารถเลือกปรับค่าความ Contrast และโทนสีต่าง ๆ ได้ตามใจชอบด้วยนะ

ถ่ายรูปไม่กลัวมัว กันกล้องจากรอยขีดข่วนด้วยกระจกกันรอยเลนส์กล้อง และฟิล์มกระจกจาก Focus

มือถือสมัยนี้ไม่ว่าจะ iPhone 15 Pro Series หรือรุ่นไหน ๆ ก็มักจะมาพร้อมเลนส์กล้องที่ยื่นออกมาจากตัวเครื่องพอสมควร บางทีผู้ใช้งานอย่างเรา ๆ ก็ไม่ทันระวังทำให้เลนส์กล้องมือถือของเราเป็นรอยแบบไม่ทันตั้งตัว เพื่อให้ iPhone 15 Pro Series ของเราถ่ายรูปคมชัดเหมือนใหม่ตลอดเวลา Focus ก็มีกระจกเลนส์กล้องรุ่น Iron Ring Titanium Matte คอยช่วยปกป้องเลนส์อีกแรง

กระจกเลนส์กล้อง Focus Iron Ring Titanium Matte มาพร้อมตัวเลนส์ที่ใช้วัสดุกระจกคุณภาพสูงทนรอยขีดข่วนระดับ 9H พร้อมวงแหวนขอบเลนส์วัสดุไทเทเนียม ที่มาในพื้นผิวด้านใกล้เคียงกับสีของตัวเครื่องจริง ๆ ทำให้ดูเนียนตาเหมือนไม่ได้ใส่

ใส่เคส Bumper Case แล้วก็ไม่มีปัญหา

นอกจากนี้ ตัวกระจกเลนส์กล้องยังมีการเคลือบสารลดแสงสะท้อน ไม่ว่าจะถ่ายรูปเปิดแฟลช หรือแดดจ้า ๆ ก็ไม่เจอปัญหาเรื่องแสงสะท้อน รูปถ่ายหลังติดเลนส์กล้องยังคงคมชัด สีสันยังคงเหมือนเดิมไม่มีผิดเพี้ยน แถมตัวเลนส์ยังติดทน และทนน้ำ ทนฝุ่น ใส่กับเคสหนา ๆ ได้ รองรับ iPhone 15 ทุกรุ่น ทุกสีด้วย

ปกป้องหน้าจอไร้รอยกวนใจด้วยฟิล์มกระจกจาก Focus

ส่วนใครที่กลัวหน้าจอเป็นรอย Focus ก็มีฟิล์มกระจก Focus 3D Shield Curved ที่ช่วยปกป้องหน้าจอได้แบบจัดเต็ม โดยตัวฟิล์มเป็นฟิล์มกระจกคุณภาพสูงแบบเต็มจอ ลงขอบโค้ง 3D เนียนไปกับตัวจอเหมือนไม่ได้ติด แถมขอบฟิล์มยังทนทานไม่แตกง่าย และตัวกระจกยังทนรอยขีดข่วนระดับ 9H ด้วย

เมื่อติดฟิล์ม Focus 3D Shield Curved แล้ว ตัวจอแสดงผลยังทัชลื่นไหลปกติ สีสันไม่ดร็อป นอกจากนี้ เมื่อติดแล้วยังสามารถใส่เคสหนา ๆ ได้โดยที่ตัวฟิล์มไม่ถูกเคสดันออกมา เมื่อแกะออกแล้วก็ไม่ทิ้งคราบกาวให้เสียเวลาเช็ด แถมภายในกล่องยังมีฟิล์มหลังให้ติดเพื่อเสริมการป้องกันอีกขั้นด้วย

ใครที่สนใจกระจกครอบเลนส์ และฟิล์มกระจกจาก Focus เพื่อช่วยปกป้อง iPhone 15 ได้แบบครบรอบด้าน สามารถหาซื้อได้ที่ focusshield.com, Focus Store และร้านตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ 

ถ่ายภาพโบเก้สวย ๆ ด้วย Portrait Mode

ใครที่เคยเห็นภาพเบลอหลัง และมีดวงไฟโบเก้กลม ๆ สวย ๆ แล้วอยากถ่ายให้ได้แบบนั้นบ้าง เราสามารถใช้โหมด Portrait ที่มีมาตั้งแต่ iPhone 7 Plus ขึ้นไป ในการถ่ายภาพพร้อมเอฟเฟกต์โบเก้ได้โดยที่ไม่ต้องใช้กล้องใหญ่ ซึ่งวิธีการถ่ายก็ง่าย ๆ เพียงแค่

  • เปิดกล้อง ปัดทางซ้ายเพื่อเปลี่ยนเป็นโหมดถ่ายภาพบุคคล
  • เลือกโหมดแสงที่ต้องการ
  • ปรับความเบลอด้วยปุ่ม f จนเห็นไฟด้านหลังเปลี่ยนเป็นเอฟเฟกต์โบเก้
    (ยิ่งปรับต่ำ พื้นหลังยิ่งเบลอ แต่จะดูไม่เป็นธรรมชาติ)
  • ถ่ายภาพ

เพียงเท่านี้เราก็จะได้ภาพถ่ายโบเก้สวย ๆ ทันที นอกจากนี้ ถ้ายังรู้สึกว่าเอฟเฟกต์เบลอหลังยังไม่พอ สามารถเข้าไปปรับแต่งความเบลอได้เพิ่มเติมในแอปอัลบั้มได้ และถ้าใครใช้ตั้งแต่ iPhone 13 ขึ้นไป ยังสามารถเลือกวัตถุในการโฟกัสหลังจากถ่ายเสร็จได้ด้วย 

เลือกเปลี่ยนวัตถุที่ต้องการโฟกัสในอัลบั้มได้เลย

ถ่ายรูปคนให้สวยขึ้น เพียงใช้โหมด Studio Light

กล้อง iPhone ยุคหลัง ๆ โดยเฉพาะ iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max ถือเป็นกล้องที่เลื่องชื่อมาก ๆ ในการถ่ายภาพคนให้ดูสมจริงจนขุดร่องรอยบนใบหน้าที่เราไม่เคยเห็นออกมาหมด 

และสำหรับใครที่กลัวเรื่องริ้วรอย แต่อยากได้งานผิวที่สว่าง และเรียบเนียน แต่ยังคงความเรียลคล้ายกล้องสดไว้อยู่ แนะนำว่าเวลาจะเซลฟี่ หรือถ่ายภาพให้คนอื่น ให้เปิดโหมดแสง Studio Light ในโหมดภาพถ่ายบุคคล พร้อมปรับตั้งค่าระดับของโหมดแสงไว้ที่ประมาณ 25 – 70%

โหมดนี้จะช่วยกลบร่องรอยจุดด่างดำให้เรา พร้อมปรับความสว่างของใบหน้าให้ไบร์ทขึ้นเยอะมาก ๆ แต่แนะนำว่าอย่าปรับเกินกว่า 70% เพราะจะทำให้หน้าดูฟุ้งหลอกตาพอสมควร โดยฟีเจอร์นี้ใช้งานได้ตั้งแต่ iPhone 7 Plus เป็นต้นไป แต่ถ้าอยากถ่ายโดยใช้กล้องหน้า จะต้องเป็น iPhone X ขึ้นไปเท่านั้น

Live Photo ทำได้อะไรได้มากกว่าที่คิด

Live Photo เป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่อยู่คู่กับ iPhone มานานหลายปี แต่หลาย ๆ คนยังไม่รู้ว่าฟีเจอร์ภาพแบบเคลื่อนไหวนี้มันทำอะไรได้ นอกจากจะกินเนื้อที่จัดเก็บภาพให้หนักขึ้น จริง ๆ นี้ฟีเจอร์นี้ก็ถือว่ามีประโยชน์พอสมควร สำหรับการเปิดก็ง่าย ๆ เพียงแค่กดที่ไอคอนรูปวงกลมที่มุมบนขวามือเท่านั้น จากนั้นทุกรูปที่เรากดถ่ายก็จะกลายเป็นภาพแบบ Live Photo ทันที ส่วนการใช้งานอื่น ๆ ที่ทำให้ฟีเจอร์นี้น่าสนใจมีดังนี้

ถ่ายภาพน้ำตกด้วย Long Exposure

เมื่อเราถ่ายภาพน้ำตก หรือพลุด้วยโหมด Live Photo แล้วอยากให้น้ำตกฟุ้งนวล ไหลสวย ๆ เพียงแค่เปิดแอปอัลบั้ม และเปิดรูปที่ต้องการเปลี่ยน กดที่ปุ่ม Live ที่ขึ้นอยู่มุมซ้ายบนของภาพ แล้วเปลี่ยนเป็นโหมด Long Exposure เพียงเท่านี้ก็จะได้ภาพน้ำตกสวย ๆ พร้อมแชร์ทันที

ถ่ายบูมเมอแรงได้โดยไม่ต้องเปิด IG ด้วยโหมด Bounce

วิธีการถ่ายภาพดุ๊กดิ๊ก Boomerang ผ่านกล้อง iPhone ก็ทำได้ง่าย ๆ เมื่อกดถ่ายภาพ ให้เราขยับท่าทางจนกว่าคำว่า Live จะหายไปจากจอ หลังจากนั้นให้เราเปิดภาพดังกล่าวในอัลบั้ม กดที่ปุ่ม Live ที่ขึ้นอยู่มุมซ้ายบนของภาพ แล้วเปลี่ยนเป็นโหมด Bounce เพียงเท่านี้ก็จะได้ภาพ Boomerang พร้อมแชร์ให้เพื่อนดูได้เลย

ภาพหลังเปลี่ยน Live Photo เป็นโหมด Bounce

ถ่ายวิดีโอหน้าชัดหลังเบลอด้วย Cinematic Mode 

นอกเหนือจากการถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอแล้ว ผู้ที่ใช้งาน iPhone 13 ขึ้นไปยังสามารถถ่ายวิดีโอแบบหน้าชัดหลังเบลอได้ด้วยโหมดภาพยนต์ หรือ Cinematic Mode ซึ่งในโหมดนี้เราสามารถเลือกจุดที่ต้องการโฟกัสในขณะถ่าย และปรับความชัดความเบลอของพื้นหลังได้เหมือนการถ่ายภาพ Portrait เลย

และเมื่อถ่ายแล้วยังไม่ถูกใจ เราก็สามารถปรับความเบลอ รวมถึงจุดเปลี่ยนโฟกัสหลังถ่ายเสร็จได้ด้วยผ่านแอปอัลบั้ม เรียกได้ว่าเมื่อใช้โหมดนี้แล้ว ทำให้งานวิดีโอที่ได้ดูโปรกว่ามาก ๆ  

เรียกได้ว่าเป็น 10 ฟีเจอร์ลับ ๆ ที่ช่วยให้เราถ่ายภาพด้วย iPhone 15 Pro Series ได้สวยงามขึ้นอีกเป็นกอง ใครที่ได้ลองใช้งานกันแล้ว ภาพถ่ายเป็นยังไง สามารถนำมาแชร์ให้เราดูได้เลย หรือถ้าใครมีเทคนิคลับเพิ่มเติมอีกก็มาบอกต่อเพื่อน ๆ กันได้นะ