มีรายงานของสำนักงานใหญ่ของ Apple ที่เมือง Cupertino ได้ยื่นขอจดสิทธิบัตรใหม่กับ USPTO (สำนักงานสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าของสหรัฐอเมริกา) เกี่ยวกับแว่นตา Apple Glass ที่เลนส์จะสามารถปรับเปลี่ยนแสงการแสดงผลให้เข้ากับสภาพแวดล้อมในโลกแห่งความเป็นจริงได้ ซึ่งคาดว่าจะนำคุณสมบัตินี้มาใช้กับผลิตภัณฑ์ใหม่อย่าง Apple Glass

ถ้าเพื่อน ๆ จำกันได้ ก่อนหน้านี้ได้มีข่าวลือว่าแว่นตา Apple Glass จะมาภายในปี 2023 พร้อมกับชุด AR Headset อุปกรณ์ที่ใช้สำหรับเล่นเกม, ดูวิดีโอ และประสบการณ์เหมือนจริงอย่าง AR และ VR โดยเฉพาะ ดูท่าจะใกล้ความเป็นจริงมากขึ้นจากการที่ Apple ได้ยื่นจดสิทธิบัตรใหม่เกี่ยวกับเลนส์แว่นตาต่อสำนักสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา ในชื่อหัวข้อ “Display System With Localized Optical Adjustments”

ซึ่งหัวข้อดังกล่าวแปลได้ว่า “ระบบแสดงผลพร้อมกับการปรับแสงตามสภาพแวดล้อม” ที่อาจหมายความว่า เลนส์ของแว่นตา Apple Glass จะสามารถปรับเปลี่ยนการแสดงผลแสงให้เนื้อหาสว่างขึ้น หรือ เนื้อหามืดลงได้อย่างเหมาะสมตามการทำงานผู้ใช้ หรือ พื้นที่สภาพแวดล้อมต่าง ๆ ได้อย่างอัตโนมัติ

โดยสิทธิบัตรใหม่นี้จะช่วยให้การทำหน้าที่แสดงผลโลกเสมือนจริงของเลนส์สำหรับวัตถุต่างๆสามารถมองเห็นได้ดีและมีความคมชัดมากขึ้น คาดว่าผู้ใช้งานจะสามารถปรับตั้งค่าได้ และอาจจะใช้งานร่วมกับแว่นสายตาได้อีกด้วย

ภาพจำลอง Apple Glass

ความจริงแล้วแว่นตา Apple Glass ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร เพราะก่อนหน้านี้ Google ก็เคยเปิดตัวแว่นตาไฮเทค Google Glass ในปี 2012 ซึ่งเป็นอุปกรณ์ Wearable ที่ล้ำยุคที่สุดชิ้นหนึ่งที่เคยมีมา โดยแว่นตานี้จะแสดงผลผ่านเลนส์ของแว่นตา ด้วยการใช้เทคโนโลยี AR จะผสานภาพกราฟิกต่าง ๆ เข้ากับโลกแห่งความเป็นจริง

และแว่นตาดังกล่าวก็ไม่ได้รับความนิยมจากลูกค้าทั่วไปเท่าไหร่นัก แต่นั่นก็ไม่ทำให้ Google Glass ล้มหายตายจากไปไหน เพราะมันได้รับการอัปเกรดใหม่มาในชื่อว่า Google Glass Enterprise Edition ซึ่งเป็นแว่นตาที่เน้นใช้งานในองค์กรและอุตสาหกรรม

Google Glass Enterprise Edition

อย่างไรก็ตามตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับแว่นตาอัจฉริยะ Apple Glass เลย เราก็คงจะต้องติดตามกันต่อไปครับว่าการที่ Apple จะเปิดตัวอุปกรณ์ Wearable จะสามารถดึงดูดคนให้มาสนใจได้มากแค่ไหน และประสิทธิภาพจะดีกว่าแว่นตาที่มีอยู่ในตลาดปัจจุบันหรือเปล่า ซึ่งก็ต้องรอกันไปยาว ๆ จนถึงปี 2023 เลยครับ

 

ที่มา : Gizmochina