อีกหนึ่งโปรดักส์ที่หลายคนรอคอยเปิดตัวในงาน Apple Event นั่นก็คือ Apple Watch Series 9 และ Apple Watch 2 Ultra ที่ชูจุดเด่นด้านสุขภาพแบบสุด ๆ และคราวนี้ได้อัปเกรดระบบมาให้ใช้งานได้อย่างแม่นยำมากกว่าเดิม ทั้งชิปใหม่ S9 SIP ฟีเจอร์ใหม่ Double Tap ควบคุมการใช้งานได้ผ่านการแตะนิ้วสองครั้ง

Apple Watch Series 9

Apple Watch Series 9 รุ่นนี้เป็นบอดี้ Stainless steel ส่วนประกอบของตัวเครื่องสายนาฬิกาทำจากการรีไซเคิล มาพร้อมสีใหม่  Pink, Starlight, Silver (PRODUCT)RED, Gold, Graphite และ Midnight มีด้วยจอสว่าง 2,000 นิต และปรับลงต่ำสุดได้ 1 นิต 

ใช้งาน Siri ได้ง่ายมากขึ้น พร้อมทั้งใช้งานอื่นได้ง่ายขึ้น ทั้งการเชื่อมต่อ,การใช้ปลดล็อคอุปกรณ์ต่าง ๆ ใช้นอกจากนี้ยังมาพร้อมฟีเจอร์ใหม่อย่างการใช้งาน Double tap หรือกระดิกนิ้วแตะกัน ก็สามารถรับสาย หรือเลื่อนหน้าจอไปมาได้ ปิดนาฬิกาปลุก จับเวลา หรือกดถ่ายภาพได้ด้วยแค่ปลายนิ้วจริง ๆ 

การตรวจจับการลื่นล้มและกด SOS แจ้งเหตุฉุกเฉินแบบง่าย ๆ พร้อมทั้งมีการตรวจจับการชนกันใส่มาให้ด้วยเหมือนเดิม และเพิ่มฟีเจอร์ปั่นจันจักรยานมาให้

ตัวชิปได้อัปเกรดเป็น S9 SIP ทำให้ GPU เร็วขึ้น 30% และ Neural Engine เร็วขึ้น 2 เท่า ทำให้ผู้ใช้ Apple สามารถใช้ค้นหาติดตามตำแหน่งผ่าน Find My App ได้แม่นขึ้นกว่าเดิม 

มีแบตเตอรี่ใช้ที่เคลมว่าชาร์จไวกว่าเดิม และงานต่อเนื่องได้นาน 18 ชั่วโมง ตลอดทั้งวัน พร้อมสร้างความหรูหราในไลฟสไตล์ด้วยการคอแลบกับแบรนด์ดังหลาย ๆ แบรนด์ ไม่ว่าจะ Hermes, Nike เป็นต้น 

Apple Watch Ultra 2  

Apple Watch Ultra 2 รุ่นนี้มาด้วยดีไซน์โครงบอดี้แบบเหล็กไทเทเนียม แข็งแรง ทนทาน จอเป็นแก้ว Sapphire Crystal ขนาด 49 มม. และเป็นครั้งแรกของแบรนด์ที่ใช้ตัวเลือก Carbon Neutral มีจอที่ใหญ่และสว่าง 3000 นิต สว่างที่สุดเมื่อเทียบเท่ากับรุ่นอื่น และอัดแน่นฟีเจอร์เรียกว่าเอาใจสายเอ็กส์สตรีมเลยก็ว่าได้ 

มีสีให้เลือก ได้แก่ มีจุดเด่นเป็นปุ่ม Action button มาให้, ทนน้ำทนฝุ่นมาตรฐาน IP6X, เพิ่มความสว่างไฟฉาย, 2 เท่า, ปรับการใช้งานเข้าสู่โหมดกลางคืนแบบอัตโนมัติและรับรอง MIL-STD 810H ตัวจบสายลุย ไม่ว่าจะขึ้นเขาเอเวอร์เรสต์หรือดำดิ่งลงสู่ทะเลลึก 40 เมตร รุ่นนี้ก็เอาอยู่ 

ตัวชิปได้อัปเกรดเป็น S9 SIP ที่เพิ่มประสิทธิภาพให้ใช้งานฟีเจอร์ได้หลากหลาย รวดเร็วและแม่นยำได้มากขึ้น ทั้ง ฟีเจอร์ Double tap, ให้ความสว่างมากขึ้น และ ใช้งานบน Siri ได้ดีขึ้น, เชื่อมต่อมือถือแบบไม่หลุด แม้เครื่องกับนาฬิกาจะอยู่ห่างกัน รวมไปถึงค้นหาติดตามตำแหน่งผ่าน Find My App ได้แม่นขึ้นกว่าเดิม และรันบนระบบปฏิบัติการ watchOS 10

ฟีเจอร์ด้านสุขภาพ มีการวัดอัตราการเต้นของหัวใจ, วัดความดันโลหิต, วัดออกซิเจนในเลือด, การติดตามค่าอุณหภูมิ,เก็บข้อมูลการนอนหลับแบบเชิงลึก หรือ ECG 

มีแบตเตอรี่ใช้งานต่อเนื่องได้สูงสุด 36 ชั่วโมง / ชาร์จ และใช้งานใน Low Power Mode ได้ 72 ชั่วโมง มีการอัปเกรดลำโพงให้เสียงดังมากขึ้นถึง พร้อมแจ้งเตือนคนหากเราต้องการความช่วยเหลือ พร้อมทั้งมีการตรวจจับการชนกันใส่มาให้ด้วยเหมือนกัน มีไมโครโฟน 3 ตัว ที่จะคอยวัดเสียงรอบข้างและเเจ้งเตือน และทำให้เราคุยโทรศัพท์ด้วยเสียงคมชัดมากขึ้นแม้จะอยู่ในที่มีลมมาก 

และยังไม่ทิ้งจุดเด่นด้าน GPS ทำให้มีตัวบ่งบอกตำแหน่งที่แม่นยำที่สุดมากกว่าสมาร์ทวอทช์ใด ๆ ที่เคยมีมา ตัวเรือนมีสีให้เลือกเพียงสีเดียว คือ สีไทเทเนียม พร้อมสายให้เลือก 3 แบบ ได้แก่ Alpine Loop, Trail Loop และ Ocean Band

Apple Watch SE 

รอบนี้ SE ก็ตามมาเหมือนเดิม ซึ่งก็เป็นรุ่นที่ทำออกมาให้สามารถจับต้องได้ ด้วยสเปคที่ครบครันอยู่เหมือนกัน ทั้งฟีเจอร์  Activity tracking, การแจ้งเตือนกัตราการเต้นหัวใจ, การตรวจจับการล้ม,Emergency SOS หรือ การตรวจจับการชน และแน่นอนว่ามาพร้อมระบบปฏิบัติการ watchOS 10

ราคาจำหน่าย

Apple Watch Series 9 มีให้เลือกหน้าปัด 41 มม. และ 45 มม. 

  • การเชื่อมต่อ GPS ราคาเริ่มต้น 399 ดอลลาร์ หรือราว 14,200 บาท 
  • การเชื่อมต่อ GPS + Cellular ราคาเริ่มต้น 499 ดอลลาร์ หรือราว  17,700 บาท 

Apple Watch 2 Ultra

  • การเชื่อมต่อ GPS + Cellular เริ่มต้น 799 ดอลลาร์ หรือราว 28,400 บาท

Apple Watch SE

  • มีให้เลือกหน้าปัด 40 มม. และ 44 มม. ราคาเริ่มต้น 249 ดอลลาร์ หรือราว 8,800 บาท

วางขายอย่างเป็นทางการ 22 กันยายน 2566