สำหรับมือถือเรือธงรุ่นใหม่ ที่เพิ่งจะเปิดตัวไป ทั้ง Samsung Galaxy S24 Ultra และ iPhone 15 Pro Max ที่มีฟีเจอร์เด็ดทั้งเหมือนและแตกต่างกัน ทำเอาผู้ใช้หลายคนตัดสินใจลำบากว่าจะเลือกใช้รุ่นไหนดี วันนี้เราได้นำในส่วนของกล้องถ่ายรูป ที่ถือว่าเป็นอีกส่วนสำคัญที่ทำให้คนตัดสินใจซื้อ มาถ่ายภาพเทียบกันแบบ 1 ต่อ 1 ในแต่ละโหมดของกล้องถ่ายรูป ที่เล่นเอาทำตัดสินใจซื้อยากไปมากกว่าเดิมอีก
ซอฟต์แวร์เครื่อง
สำหรับ Samsung Galaxy S24 Ultra ที่เราหยิบมาเทียบกล้องนั้น ปัจจุบันได้ใช้เป็นระบบปฏิบัติการ One UI 6.1 ส่วน iPhone 15 Pro Max นั้นใช้เป็นระบบปฏิบัติการ iOS 17.3 และตั้งค่ากล้องให้เหมือนกันทุกอย่าง ตลอดจนเวลาที่กดถ่าย ใช้ระบบ Auto Focus จะให้มือถือปรับแสงเอง ไม่มีการแตะโฟกัสกล้องใด ๆ
สเปคกล้อง Samsung Galaxy S24 Ultra และ iPhone 15 Pro Max
รุ่น | Galaxy S24 Ultra | iPhone 15 Pro Max |
กล้องหลัก | 200MP (𝑓/1.7), ระบบกันสั่น OIS | 48 MP (f/1.8) ระบบกันสั่น OIS Sensor Shift |
กล้องอัลตราไวด์ | 12MP (𝑓/2.2), มุมกว้าง 120 องศา | 12MP (f/2.2) มุมกว้าง 120 องศา |
กล้องเทเลโฟโต้ | 10MP (𝑓/2.4) ซูมออปติคัล 3 เท่า, ระบบกันสั่น OIS | – |
กล้อง Periscope | 50MP (𝑓/3.4) ซูมออปติคัล 5 เท่า, ซูมในเซนเซอร์ 10 เท่า, ระบบกันสั่น OIS | 12MP (f/2.8) ระบบกันสั่น OIS Sensor Shift ซูมออปติคัล 5 เท่า, |
กล้องหน้า | 12MP (𝑓/2.2) | 12MP (f/1.9) |
Optical Zoom | 1X, 3X, 5X / In Sensor 10X | 1X, 2X, 5X |
Digital Zoom (Max) | 100X | 25X |
**ภาพถ่ายจะเรียงจาก Samsung Galaxy S24 Ultra (ซ้าย) แล้วไป iPhone 15 Pro Max (ขวา) **
ภาพถ่ายกลางวัน
ภาพถ่ายกล้องหลักโหมดปกติ
สำหรับภาพถ่ายปกติรูปแรกเป็นของ Samsung Galaxy S24 Ultra เมื่อเทียบกับ iPhone 15 Pro Max ภาพที่ได้คือทางฝั่งของ Samsung จะดึงความสว่างของแสงแดดออกมาได้มากกว่า ภาพที่ออกมาจะดูอิ่มสีสันมากกว่า แต่ทางด้านความคม iPhone 15 Pro Max ตัวสีของแสงแดดจะดรอปลงมาเล็กน้อย
ภาพถ่ายจากโหมด Portrait ในร่ม ใช้แสงธรรมชาติ
ในโหมด Portrait เราได้ทำการปรับค่าการซูมแบบ Optical ไปที่ระยะปกติ 1x, 3x/2x และ 5X ตามลำดับ มาดูที่ระยะแรก 1x ก่อน ไล่ดูจากขอบของภาพ ทั้งสองรุ่นเบลอออกมาได้เนียนดี ไม่มีขอบหลุด แถมตรงจุดที่โฟกัสก็ไม่ได้สูญเสียความละเอียดไป ภาพคนตรงกลางคมชัด ส่วนของสี Samsung ดึงสีเขียวรอบข้างได้สดกว่า iPhone อย่างเห็นได้ชัด แต่ภาพจากกล้อง Samsung จะดูมืดกว่า
ถัดมาในระยะซูมที่ 3x/2X จะเห็นบุคคลตรงกลางชัดขึ้นกว่าเดิม จะเห็นได้ว่าภาพของ iPhone จะมีความสว่างกว่านิดหน่อย แสงจะไปทางโทนสีขาวมากกว่า เครื่องสำอางบนหน้าจะถูกเบลนไปกับผิวมากกว่า Samsung จะมีสีออกไปทางเหลือง ส่วนความเบลอหลังยังทำได้ดีดังเดิม แบ่งพาร์ทวัตถุที่อยู่ด้านหน้าและฉากหลังได้อย่างแนบเนียนทั้งคู่
สำหรับการซูมแบบ Optical ระยะ 5X รูปนี้คือวัดผิวหน้าสุด ๆ ไปเลย ซึ่งในระยะนี้จะเห็นรายละเอียดบนผิวได้ชัดเจนทั้ง 2 รุ่น แต่ Samsung จะมีความเหมือนผิวจริงและเห็นรายละเอียดได้ชัดกว่า ทางด้านสีจะออกโทนเหลืองมากกว่า ในขณะที่ iPhone สีจะออกโทนชมพูและภาพจะดูมีความเงาและอิ่มสี
ภาพถ่ายโหมดปกติ ที่กลางแจ้ง
สองรูปนี้เป็นภาพที่ถ่ายกลางแจ้งในขณะที่แสงไม่จ้าเท่าไหร่ ภาพที่ได้คมชัดเท่ากัน แต่จากรูปนี้ดูเหมือนว่า Samsung จะให้สีที่นวลกว่า อาจเพราะว่าตัวกล้องดึงสีเขียวออกมาได้สดกว่า แล้วแบคกราวน์ของภาพเป็นสีเขียวซะส่วนใหญ่ด้วย ส่วน iPhone ภาพที่ได้จะสว่างกว่า สีตรงเสื้อผ้าจะจืดกว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่ว่ามีความใกล้เคียงสีจริงมากกว่า
ภาพถ่ายโหมด Portrait ฟิลเตอร์แสงสตูดิโอ อยู่กลางแจ้ง
สำหรับภาพถ่ายโหมด Portrait ฟิลเตอร์แสงสตูดิโอนั้น สามารถเบลอหลังออกมาได้เนียนทั้งสองรุ่นเลยเช่นกัน แต่ที่ทำให้รู้สึกว่าต่างก็คือ iPhone จะดึงรายละเอียดของตัวบุคคลได้ออกมาเด่นชัด เหมือนแยกกันเลยระหว่างบุคคลกับพื้นหลัง ส่วน Samsung ก็หน้าชัดหลังเบลอได้ปกติ แต่ตัวบุคคลจะเหมือนถูกเบลนไปกับบรรยากาศด้านหลัง
เซลฟี่กล้องหน้า
ภาพถ่ายเซลฟี่กล้องหน้าแบบไม่ใช้ฟิลเตอร์เรียกได้ว่าทำออกมาดีทั้งคู่จนตัดสินยากจริง ๆ ว่าด้วยรายละเอียดริ้วรอยบนหน้าก่อน ทั้งสองรุ่นคือเก็บรายละเอียดได้ครบทุกเม็ด แต่ว่า iPhone จะดึงสีเครื่องสำอางบนหน้าได้ชัดเจนกว่า ทั้งสีของแก้มและสีของลิปสติก ส่วน Samsung จะออกมาเป็นธรรมชาติและลดสีลงมานิดหน่อย
เซลฟี่กล้องหน้า โหมด Portrait ฟิลเตอร์แสงสตูดิโอ
ส่วนการเซลฟี่ในโหมด Portrait ฟิลเตอร์แสงสตูดิโอ จะเพิ่มความสว่างของตัวบุคคลขึ้นมา ซึ่ง Samsung จะให้ภาพที่เป็นธรรมชาติมากกว่า ดึงแสงสว่างน้อยกว่า ส่วน iPhone นี่ค่อนข้างชัดเจนเลยว่าภาพจะขาวจ้าขึ้นมา ผิวหน้าดูเหมือนเติมแป้งเพิ่ม มีความเนียน มีความเงา และอวบอิ่มกว่ามาก
ถ่ายอาหารโหมด Portrait ฟิลเตอร์แสงสตูดิโอ
ในการใช้ Portrait ฟิลเตอร์แสงสตูดิโอถ่ายภาพอาหาร ก็ทำออกมาได้น่ากินทั้งสองรูป ซึ่ง iPhone จะดึงสีเหลืองออกมาได้เข้มกว่า Samsung นิดหน่อย ส่วนการเบลอหลังภาพเก็บขอบได้เนียนดีทั้งคู่
ถ่ายวัตถุใกล้ ๆ แบบไม่ต้องกดโฟกัส
ในการถ่ายภาพระยะใกล้โดยที่ไม่ได้กดแตะโฟกัสเลยสักนิด ในระยะห่างจากวัตถุไม่ถึง 10 ซม. พบว่า Samsung จะเห็นภาพได้ชัดในช่วงกลางของตัววัตถุเป็นต้นไป และในส่วนที่อยู่ใกล้กล้องมากที่สุดจะมีความเบลอ ส่วน iPhone จะเก็บรายละเอียดส่วนที่ใกล้ที่สุดได้ชัดสุด ส่วนรายละเอียดที่อยู่ไกลออกไปจะมีความเบลอไล่ไปเป็นระดับ
เทียบการซูมภาพแบบ Shot ต่อ Shot
Samsung ระยะ 0.6x, 1x, 3x, 5x, 10x, 25x
iPhone ระยะ 0.5x, 1x, 2x, 5x, 10x, 25x
จากการที่ลองถ่ายรูปมาที่ระยะแรกก็คือ 0.6X และ iPhone 0.5X กันก่อน ภาพของ Samsung จะเห็นรายละเอียดได้ชัดกว่าตั้งแต่ต้นไม้ที่อยู่ใกล้ ไปจนถึงตึกที่อยู่ไกล เพราะว่าภาพมีความสว่างมากกว่า และมุมภาพจะติดขอบเคสมือถือที่อยู่บริเวณกล้องมานิดนึง ส่วนภาพของ iPhone ถึงจะมืดกว่าเล็กน้อย แต่ก็ยังคงเห็นรายละเอียดได้ชัด
และตามที่ถ่ายตามระยะซูมที่มือถือมีให้ ในระยะ 2X,3X, 5X,10X และ 25X ของทั้งสองรุ่นไม่ได้มีระยะห่างแตกต่างกันมากนัก ถ้าจะต่างก็จะเป็นในเรื่องของความคมชัดของภาพมากกว่า ซึ่งภาพของ iPhone จะออกฟุ้ง ๆ อมฝุ่นหน่อย ๆ จึงทำให้ความชัดของภาพลดน้อยลงไป แต่รายละเอียดอื่น ๆ สามารถมองเห็นได้เท่ากับ Samsung เลยค่ะ
ภาพถ่ายแสงน้อย/กลางคืน
ภาพจากกล้องหลัก แบบไม่เปิด Night Mode
ภาพจากกล้องหลัก แบบเปิด Night Mode
จากที่เห็นในภาพถ่ายตอนกลางคืนแบบไม่เปิด Night Mode ก็คือสามาเห็นรายละเอียดในระยะไกลได้อย่างชัด ๆ แต่ว่าภาพของ Samsung จะสว่างมากกว่า สังเกตได้จากรอยบนกำแพงที่อยู่ซ้ายมือ และสีบนท้องฟ้า แต่โดยรวมแล้วองค์ประกอบของรายละเอียดยังคงชัด และเมื่อเปิดใช้งาน Night Mode ภาพที่ได้คือ iPhone มีความคมเข้มกว่า สีออกมาคนละแบบกันเลย ซึ่งทาง Samsung จะให้เฉดสีขาว ในขณะที่ iPhone จะอมเหลือง ๆ หน่อย
Zoom กลางคืน ไม่เปิด Night Mode
Samsung Galaxy S24 Ultra ระยะ 0.6x, 1x, 3x, 5x, 10x, 25x
iPhone 15 Pro Max 0.5x, 1x, 2x, 5x, 10x, 25x
ในเมื่อถ่ายซูมกลางวันแล้ว ก็ต้องมาทดสอบภาพซูมกลางคืนกันบ้าง ซึ่งขนาดไม่เปิด Night Mode นะ ตัวกล้องของทั้งคู่ยังซูมภาพออกมาเห็นเป็นรายละเอียดชัด ๆ จากที่ดูในภาพระยะซูมภาพแรกถึงภาพที่ 4 Samsung จะดึงแสงสีส้มออกมาได้มากกว่า iPhone นิดหน่อย จากที่ดูจากแสงไฟที่อยู่ไกล ๆ สุดขอบฟ้าแล้วนั้น ส่วนระยะซูมในภาพที่ 5 และ 6 ส่วนที่เป็นสีแดงของ iPhone จะจางกว่าและตัวอักษรจะหนา ๆ กว่านิดหน่อย แต่ภาพกลับสว่างกว่า Samsung ซะงั้น
Zoom กลางคืน เปิด Night Mode
Samsung Galaxy S24 Ultra ระยะ 0.6x, 1x, 3x, 5x, 10x, 25x
iPhone 15 Pro Max 0.5x, 1x, 2x, 5x, 10x, 25x
และเมื่อลองทดสอบด้วยการเปิด Night Mode ในระยะซูมภาพที่ 1-5 พบว่า Samsung ดึงแสงสีส้มออกมาได้ชัดสุด ๆ ส่วน iPhone จะมืดกว่าแต่ได้แสงที่เป็นธรรมชาติ ไม่สว่างจ้า แต่องค์ประกอบอื่น ๆ ที่อยู่ในมุมมืดของภาพนั้น ทาง Samsung จะเห็นได้ชัดกว่า ส่วนระยะซูมในภาพที่ 5 และ 6 จุดที่เป็นสีแดงของ iPhone กลับเข้มและสว่างกว่า Samsung อีกระดับไปเลย
ภาพถ่ายคนแสงน้อยช่วงเย็นๆ/กลางคืน
ภาพถ่ายปกติ ไม่เปิด Night Mode
ภาพถ่ายปกติ เปิด Night Mode
ภาพทั้งสองเซ็ตนี้ ในขณะที่ถ่ายแสงแทบจะหมดไปแล้ว จึงได้ลองหยิบกล้องมาลองถ่ายสักหน่อย ซึ่งเมื่อใช้กล้องธรรมดาแบบไม่เปิด Night Mode ภาพจาก Samsung จะมีความฟุ้ง ๆ เสื้อที่ใส่จะออกมาเป็นสีเขียวจืด ๆ สีผมไม่ดำเข้มมาก ส่วน iPhone จะให้สีที่สดกว่าและรายละเอียดจะเห็นได้ชัดเจนกว่า สังเกตได้จากลายของไม้ที่อยู่ข้างหลัง เห็นเป็นขีด ๆ เลย รวมทั้งสีเสื้อสีผมใด ๆ และเมื่อเปิด Night Mode ภาพจาก Samsung โทนสีดูจะคล้าย ๆ กับตอนที่ปิดอยู่ แต่รายละเอียดจะชัดขึ้นมาอีกระดับนึง เมื่อดูจากความเงาเส้นริ้วรอยต่าง ๆ บนใบหน้า และทางฝั่งของ iPhone นั้นคือภาพจะคมขึ้นกว่าเดิม
ภาพถ่ายโหมด Portrait กลางแจ้ง แสงธรรมชาติ
Samsung Galaxy S24 Ultra : Optical Zoom 1x 3x 5x
iPhone 15 Pro Max : Optical Zoom 1x 2x 5x
สำหรับการถ่ายภาพกลางแจ้งในช่วงเย็น ๆ ที่ยังมีแสงอยู่บ้าง ก็ได้ใช้ Optical Zoom 1x, 3x/2x และ 5x ภาพที่ได้จาก iPhone จะติดไปในโทนเหลืองมากกว่า และดึงสีเขียวออกมาได้สดกว่า ส่วนของ Samsung จะออกโทนชมพู ๆ ทางด้านความสว่างดูจะสว่างเท่า ๆ กัน ส่วนเรื่องการเบลอเก็บขอบได้ดีไม่มีหลุดใกล้เคียงกันเลย
กล้องหลังในที่มืด
Samsung Galaxy S24 Ultra
iPhone 15 Pro Max
สำหรับการถ่ายภาพในที่มืด โดยไล่ระดับตั้งแต่ที่มืดสนิท, มืดแบบมีแสงเล็กน้อย และพื้นที่ที่พอมีแสงส่องถึง พบว่า ในพื้นที่มืดสนิทชนิดที่ตามองไม่เห็นกล้องเลยนั้น iPhone จะติดเขียวอย่างเห็นได้ชัด ภาพแบคกราวด์ (ที่สีจริงเป็นสีเทา) ออกมาเป็นสีออกเขียวแบบดูไม่ออกเลยและจะมีความฟุ้ง ๆ ในขณะที่ Samsung จะทำสีออกมาได้ใกล้เคียงสีจริงมากกว่า ส่วนภาพที่ 2 และ 3 คือถ่ายภาพแบบมีแสงลอดเข้ามาในห้องเล็กน้อย ทั้ง Samsung และ iPhone ดึงความสว่างออกมาได้ดี เห็นรายละเอียดทั้งตัวของนางแบบ แต่ว่า Samsung จะมีความสว่างกว่าอย่างเห็นได้ชัดดูจากพื้นหลังจะเห็นเป็นฉาก โต๊ะ ไฟ ส่วน iPhone ความชัดจะไล่ระดับไปคือด้านหน้าที่เป็นนางแบบจะชัดสุดและด้านหลังจะค่อย ๆ มืด
เซลฟี่กล้องหน้าแสงน้อย
Samsung เซลฟี่กล้องหน้า : โหมดปกติ, เปิด Night Mode, เปิดแฟลช
iPhone เซลฟี่กล้องหน้า : โหมดปกติ, เปิด Night Mode, เปิดแฟลช
สำหรับการเซลฟี่ในห้องที่ปิดไฟมืดสนิท ในโหมดปกติภาพถ่ายของ Samsung จะมืดกว่า แต่ภาพของ Samsung จะออกฟุ้ง ๆ นวล ๆ ส่วนในการถ่ายภาพแบบเปิด Night Mode แล้วถ่ายในมุมและแสงเดิมจะเห็นได้ชัดว่า iPhone จะสว่างและดึงสีชมพูออกมาได้มากกว่าทำให้เห็นรอยสิว สีเสื้อ สีลิปแบบโดดเด่นเลย ส่วน Samsung ความสว่างและสีจะดรอปลงเล็กน้อยค่ะ
ส่วนภาพถ่ายแบบใช้แฟลชช่วย ทางฝั่งของ Samsung ผิวจะออกเหลืองมากกว่า และสีชมพูของเสื้อจะซีดกว่า ขณะที่ iPhone ตรงหน้าจะแอบมืดกว่านิดหน่อย มีความ contrast แสงและเงามากกว่า แต่สีชมพูบนเสื้อถูกดึงออกมาได้ชัด
ถ่ายวิดีโอ 4K
ในส่วนของถ่ายวิดีโอ เราได้ทำการเทียบถ่ายมาในความละเอียด 4K 60fps ในขณะที่นั่งรถมอเตอร์ไซค์ โดยใช้มือถือถ่ายเท่านั้นไม่มีขาจับ ไปลองดูเสียงและความคมชัดได้ตามคลิปด้านล่างเลย
ถ่ายรูปเยอะแค่ไหน ก็ไม่ต้องกลัวแบตหมด
หลังจากที่หยิบ Samsung Galaxy S24 Ultra และ iPhone 15 Pro Max มาถ่ายรูปประชันกล้องกันทั้งวันที่คาเฟ่ จนแบตเตอรี่แทบไม่มีเหลือกลับบ้าน แต่โชคดีที่ติด AUKEY Sprint X 20K 65W มาด้วย ไม่ต้องกังวลเลยว่าแบตจะเกลี้ยงแล้วหาที่ชาร์จในร้านไม่ได้ หรือต้องหาปลั๊กมาต่อให้วุ่นวาย แถมชาร์จมือถือ 2 เครื่อง พร้อมกันได้อีกต่างหาก
ซึ่งรุ่นที่เราพกมานั้นก็คือ AUKEY Sprint X 20K 65W (รุ่น PB-Y43 ) เป็นพาวเวอร์แบงค์ที่ให้แบตเตอรี่มาเยอะถึง 20000mAh ที่จ่ายไฟได้สูงสุด 65W ซึ่งนอกจากจะชาร์จได้ไวแล้วยังมีช่องเสียบชาร์จ USB-C มาให้ 2 ช่อง ที่สามารถจ่ายไฟแบบ PPS ได้สูงสุด 45W และช่องเสียบชาร์จ USB-A อีก 1 ช่อง ที่สามารถจ่ายไฟได้สูงสุด 18W ทำให้ชาร์จเร็วกว่าเดิมถึง 4 เท่า ซึ่งเราก็ได้เสียบชาร์จทั้ง Samsung Galaxy S24 Ultra และ iPhone 15 Pro Max พร้อมกันไปเลย
และฟีเจอร์ที่ชอบสุด ๆ เลยสำหรับการใช้งาน AUKEY PB-Y43 ก็คือตรงหน้าจอแสดงผล Handy Digital LED Display ที่นอกจากจะแสดงข้อมูลว่าแบตมีกี่เปอร์เซ็นต์แล้ว ยังแสดงผลว่าจ่ายไฟออกหรือไฟเข้ากี่วัตต์ให้ด้วย
ให้แบตเยอะขนาดนี้ แต่ตัวเครื่องมีขนาดที่พอเหมาะพอดีต่อการพกพาไปข้างนอกเลย ซึ่งขนาดของเครื่องจะพอ ๆ จับมือถือเครื่องนึง สามารถพกใส่กระเป๋าไปได้ ไม่แกะกะกินพื้นที่มากนัก และถ้าอยากเพิ่มความเร็วก็ต้องใช้งานคู่กับสาย AUKEY Impulse Braided PD 100W (รุ่น CB-CD21) นี่เลยค่ะ
ซึ่งสายชาร์จนี้เป็นสายชาร์จเร็ว 5A 100W USB 3.1 Gen 2 แบบ USB Type C to C ด้วยความเป็นสาย 5A จึงรองรับชาร์จเร็ว PPS 2.0 ใช้ได้กับ Galaxy S24 Series มั่นใจในความเร็วได้ เพราะว่าตัวสายได้ใช้ AUKEY Smart Chip E-Marker ที่จะช่วยให้จ่ายไฟได้เต็มประสิทธิภาพ ตัวสายมีความแน่นหนาดี ซึ่งผลิตมาจากไนลอนถักและ Graphene ใช้งานได้อย่างไร้กังวล ไม่ต้องกลัวสายหักสายงอ
และหลังจากที่ถ่ายรูปเสร็จ ต้องการดูภาพหรือโอนข้อมูลลงเครื่อง ก็ทำได้ง่ายและรวดเร็ว เพราะด้วยเป็นสาย USB 3.1 Gen 2 รองรับการรับ-ส่งข้อมูลความเร็วสูงถึง 10 Gbps รองรับการรับส่งภาพขึ้นจอระดับ Ultra HD 4K ความละเอียด 3840*2160 @60Hz ต่อสัญญาณภาพจากมือถือขึ้นจอทีวีได้
สเปค AUKEY Sprint X 20K 65W
- ความจุ : 20000mAh /74Wh
- USB-1 Input Type C : 5V 3A/9V 3A/ 12V 3A/ 20V 3.25A (65W MAX)
- USB-1 Output Type C : 5V 3A/9V 3A/ 12V 3A/ 20V 3.25A (65W MAX) /3.3-11V 5A (PPS)
- USB-2 Output Type C : 5V 3A/9V 3A/ 12V 2.5A (30W) /3.3-11V 5A (PPS)
- USB-3 Input Type A : 5V 3A/9V 2A/ 12V 1.5A(18W MAX)
- USB-1 Input Type C + USB-2 C /3A/ : 45W+20W/18W
- USB-1 Input Type C + USB-2 C + USB-3 A : 45W+15W
- Max Output : 65W
- ขนาด : 15.6 x 7.3 x 2.5 ซม.
- น้ำหนัก : 390 กรัม
สเปค AUKEY Impulse Braided PD 100W (รุ่น CB-CD21)
- สี: ดำ
- ความยาว : 1.2 เมตร
- วัสดุ : ไนลอน, ยาง TPE, Graphene, อะลูมิเนียม อัลลอยด์
- ชิป : AUKEY E Maker
- รองรับชาร์จไวสูงสุด : 100W
ราคาจำหน่าย
AUKEY Sprint X 20K 65W วางจำหน่ายในราคา 3,590 บาท พิเศษ! ลดเหลือ 2,890 บาท สามารถสั่งซื้อได้ผ่านช่องทาง Shopee และ Lazada เลย
และสายชาร์จ AUKEY Impulse Braided PD 100W วางจำหน่ายในราคา 1,290 บาท พิเศษ! ลดเหลือ 690 บาท สามารถสั่งซื้อได้ที่ร้านค้า Official ทั้ง Shopee และ Lazada เช่นเดียวกันค่ะ
Comment