ช่วงนี้มีข่าวมิจฉาชีพมีเพิ่มขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะกลุ่มมิจฉาชีพหลอกว่าจ้างให้เหยื่อใช้บัตรประชาชนซื้อโทรศัพท์พร้อมแพ็กเกจราคาพิเศษจากค่ายมือถือต่าง ๆ แล้วนำเครื่องกลับไปให้กลุ่มมิจฉาชีพ เพื่อแลกกับค่าตอบแทน จากนั้นกลุ่มโจรนี้ก็จะเอาโทรศัพท์ที่ได้ไปขายต่อ และทิ้งซิมการ์ดหนี ทำให้คนที่หลงเชื่อใช้บัตรประชาชนไปแลกซื้อมานั้นเสี่ยงโดนฟ้องร้องคดีฉ้อโกง และคนที่ซื้อโทรศัพท์ต่อก็เสี่ยงรับซื้อของโจรได้

(กระบวนการของกลุ่มมิจฉาชีพหลอกเหยื่อซื้อมือถือ)

อย่างที่เรารู้กันดี การจะซื้อโทรศัพท์ราคาพิเศษจากค่ายมือถือ จำเป็นต้องใช้บัตรประชาชนในการใช้สิทธิ์ ซึ่งมีเงื่อนไขคือต้องชำระค่าบริการรายเดือนตามที่บริษัทกำหนดด้วย ซึ่งได้มีกลุ่มมิจฉาชีพฉวยโอกาสนี้หลอกลวงว่าจ้างเหยื่อให้ใช้บัตรประชาชนของตัวเองไปซื้อเครื่องโทรศัพท์เครื่องใหม่พร้อมแพ็กเกจ จากนั้นก็ให้เหยื่อเอาโทรศัพท์ไปแลกกับค่าตอบแทนที่ตกลงกันไว้ เมื่อกลุ่มมิจฉาชีพได้โทรศัพท์มาแล้ว ก็ได้เอาซิมออก นำเครื่องเปล่าไปขายต่อร้านแทน

ซึ่งค่ายมือถือเองก็พบปัญหานี้เป็นจำนวนมาก พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า ทำไมเบอร์ที่ซื้อไปพร้อมเครื่องถึงไม่ได้มีการใช้งาน และไม่ได้ชำระค่าบริการตั้งแต่เดือนแรก จึงได้มีการส่งจดหมายแจ้งเตือนชำระค่าบริการไป พอเหยื่อเห็นบิลค้างชำระรู้ตัวทันทีว่าโดนหลอก ทำให้เหยื่อติด Blacklist ของค่ายมือถือ ทำให้ไม่สามารถทำธุรกรรมกับค่ายมือถือนั้นได้อีก และอาจโดนค่ายมือถือฟ้องร้องดำเนินคดีฉ้อโกง มีโทษตามมาตรา 341 ฐานฉ้อโกง โทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือ ปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ

โดยเครื่องที่มักจะถูกหลอกเอาบัตรประชาชนไปใช้เปิดมาจะเป็นเครื่องที่มีมูลค่าสูง บัตรหนึ่งใบได้หลายหมื่นบาท ส่วนคนที่ยอมบางครั้งก็มีความเชื่อว่าเครือข่ายจะไม่มีการฟ้องร้องลูกค้าจริง ดั่งเช่นในอดีตจะมีกรณีตัวอย่างที่ไม่เยอะนัก แต่ด้วยความที่ปัจจุบันมีการทำแบบนี้เป็นจำนวนที่มากขึ้น บางแห่งทำกันทั้งหมู่บ้าน และคนก็ยินยอมกันเพื่อแลกกับเงินตอบแทนไม่ถึงพันบาท พอถึงเวลาทางเครือข่ายฟ้องร้องกันขึ้นมาก็โอดครวญกัน ซึ่งพื้นที่ที่เกิดปัญหากันโดยมากจะอยู่รอบนอกกรุงเทพ เช่น ปทุมธานี สมุทรปราการ

และนอกเหนือจากนี้ร้านค้าที่รับซื้อเครื่องต่อจากมิจฉาชีพนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะรอดตัวนะคะ เพราะร้านที่รับซื้อเองก็อาจจะโดนคดีรับซื้อของโจรด้วย มาตรา 357 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือ ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งทางค่ายมือถือนั้นสามารถเอาเรื่องกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดได้

ดังนั้นจากกรณีที่เกิดขึ้นก็เลยอยากจะเตือนทุกคนนะคะ ว่าอย่าหลงเชื่อและให้บัตรประชาชนใครเป็นซื้อมือถือแบบในลักษณะนี้เด็ดขาด อีกทั้งหากใครที่จะซื้อโทรศัพท์มือถือต่อใคร ก็ขอให้ตรวจสอบแหล่งที่มาให้ดี เพราะอาจมีความเสี่ยงทั้งคุณภาพของสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่มีการรับประกันและผิดกฎหมายรับของโจรอีกด้วย แนะนำว่าซื้อจากร้านค้าหรือคนที่ไว้ใจได้ดีที่สุดค่ะ

 

ที่มา : อีเมลประชาสัมพันธ์จาก AIS