สถาบันรอยเตอร์ (Reuters Institute) ได้เผยข้อมูลการศึกษาด้านการรับข่าวสารของผู้คนทั่วโลก ในปี 2023 ซึ่งได้พบพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปในการติดตามข่าวของผู้คน โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางที่คนรับข่าวสารมากสุด ในไทยคนใช้ TikTok พุ่งขึ้นที่ 1 ของโลก และเป็นช่องทางที่วัยรุ่นใช้ในการติดตามข่าวสารมากที่สุด
สรุปรายงานผลของประเทศไทย
โดยในงานวิจัยชิ้นดังกล่าว ได้มีการเผยสถิติการเสพข่าวของคนไทย โดยได้ตั้งข้อสังเกตว่า หลังการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2566 ที่ผ่านมา ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่สื่อจะมีเสรีภาพในการนำเสนอข่าวมากขึ้น ตั้งแต่หลังเหตุการณ์รัฐประหารเป็นต้นมา ที่เห็นได้ชัด คือการหันไปใช้สื่อโซเชียลมีเดียของพรรคการเมืองในการเชิญชวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งอายุน้อยไปใช้สิทธิ
และชี้ว่าด้วยกฎหมายและใบอนุญาตทำให้สื่อหลักถูกคุกคามได้ง่ายจากกฎหมายที่อาจจะถูกระงับใบอนุญาตได้ ทำให้สื่อออนไลน์ขนาดเล็กมีโอกาสเติบโตมากขึ้น อย่างอดีตนักข่าวหลายคน ก็ได้ออกมาสร้างช่องทางนำเสนอข่าวของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Facebook หรือ YouTube โดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่มีการทำเพจและบัญชีการใช้งานเพื่อเผยแพร่คอนเทนต์ด้านต่างๆ จากคนทั่วไปมากขึ้น
รายการข่าวและละครน้ำเน่า เป็นรายการยอดนิยมของคนไทย เห็นได้จากการเพิ่มเวลาโฆษณาบน TV และบริการสตรีมมิ่ง วิดีโอแบบสั้นบน Facebook, YouTube และ TikTok ก็ได้รับความสนใจและความสำคัญมากขึ้นเช่นกัน แม้ว่าโทรทัศน์ยังคงเป็นแหล่งข่าวที่สำคัญสำหรับผู้สูงอายุ แต่แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย คือช่องทางที่คนไทยใช้ติดตามข่าวสารมากที่สุด ได้แก่ Facebook, YouTube, Line และ TikTok จึงเป็นเหตุผลที่องค์กรข่าวส่วนใหญ่ต้องสร้างบัญชีสื่อโซเชียลเกือบทุกช่องทางเพื่อเผยแพร่คอนเทนต์
และยังพบว่าการใช้งาน TikTok ในไทยเติบโตขึ้นอีกครั้งในปีนี้ ขึ้นอันดับ 1 ของโลก โดยครึ่งหนึ่งของกลุ่มตัวอย่าง 51% ใช้เพื่อดูอื่นๆ และ 30% ใช้เพื่อดูข่าว – เพิ่มขึ้น 8% จากปีที่แล้ว และวัยรุ่นใช้เยอะสุด ขณะที่ช่วงอายุอื่นจะชอบดูแบบวิดีโอที่ยาวขึ้นผ่าน YouTube การสำรวจยังยืนยันเพิ่มว่า คนไทยชอบดูคลิปข่าวออนไลน์มากกว่าอ่านหรือฟัง ซึ่งเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่แสดงแนวโน้มนี้ ทำให้การนำเสนอข่าวผ่านหนังสือพิมพ์ เว็บไซต์ และแอปข่าว เติบโตได้ยากขึ้น การสมัครสมาชิกรายเดือน เพื่อติดตามข่าวโดยเฉพาะแทบจะเป็นไปได้ยากในประเทศไทย
สรุปรายงานผลจากทั่วโลก
ช่องทางการติดตามข่าว
แนวโน้มช่องทางการเสพข่าวของผู้คนได้เปลี่ยนไป การเข้าถึงข่าวผ่านเว็บไซต์ข่าวโดยตรงได้ลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่วนการติดตามข่าวผ่านโซเชียลมีเดียได้เพิ่มสูงขึ้น
ช่องทางหลักที่ใช้ติดตามข่าวสาร
โดยรายงานได้นำผลสำรวจช่องทางหลักในการติดตามข่าวของแต่ละประเทศมา โดยแบ่งเป็น 3 ช่องทาง คือ 1.เข้าจากเว็บข่าวโดยตรง 2.โซเชียลมีเดีย 3.ผ่านการเสิร์จ/เว็บรวบรวมข่าว
พบว่ามีความแตกต่างอย่างมากในแต่ละประเทศ ตลาดยุโรปยังคงมีความเชื่อมั่นในเว็บข่าว อย่าง ฟินแลนด์ คือประเทศที่เข้าดูข่าวผ่านเว็บโดยตรงมากที่สุด ส่วนในบางพื้นที่ของเอเชีย ละตินอเมริกา และแอฟริกา โซเชียลมีเดียเป็นเกตเวย์ที่สำคัญที่สุด ทำให้แบรนด์ข่าวต้องพึ่งพาการเผยแพร่ข่าวผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย โดยประเทศไทย ติดอันดับ 1 ดูข่าวผ่านโซเชียลมีเดีย กลับกับตลาดเอเชีย อย่างเกาหลีใต้ และญี่ปุ่น กลับเข้าผ่านเว็บพอร์ทัลอย่าง Naver และ Yahoo! มากที่สุด
สื่อโซเชียลมีเดียที่คนเข้าดูข่าวมากที่สุด
Facebook ยังคงเป็นช่องทางที่คนรับข่าวสารมากที่สุด 28% แต่ว่ากราฟกลับลดลงเรื่อยๆ ส่วน Instagram 14% และ TikTok 6% แต่พบว่ากราฟกลับพุ่งสุงขึ้นเรื่อยๆ
การติดตามข่าวผ่าน TikTok ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
แม้ว่าค่าเฉลี่ยของ TikTok จะค่อนข้างต่ำ แต่การใช้งานจะสูงกว่ามากในกลุ่มวัยรุ่น และในบางประเทศในเอเชียแปซิฟิก ละตินอเมริกา และแอฟริกา
ซึ่งประเทศไทยเราขึ้นที่ 1 มีเปอร์เซนต์คนใช้งาน Tiktok สูงที่สุดในโลก เพื่อการดูข่าว 30% เท่ากับเปรู ส่วนการดูเพื่อจุดประสงค์อื่นๆ มากถึง 51%
ช่วงอายุที่ใช้ TikTok เพื่อดูข่าว
พบว่าวัยรุ่น หรือกลุ่มคนอายุ 18-24 ปี คือกลุ่มที่ใช้งาน TikTok เพื่อติดตามข่าวสารมากที่สุด
แหล่งข่าวบนแต่ละโซเชียลมีเดีย ที่มีคนติดตามอ่านข่าวมากที่สุด
พบว่า Twitter และ Facebook คนจะอ่านจากสำนักข่าวใหญ่เป็นหลัก ส่วน YouTube, Instagram, Snapchat, TikTok จะไปในทิศทางเดียวกัน คือคนจะติดตามข่าวจากคนดัง และ Influencers มากที่สุด
ที่มา : reutersinstitute
tiktok ทำให้เกิดอุปทานหมู่สำหรับกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ถูกปลูกฝังด้วยข้อมูลเรื่องสำคัญๆ เป็นที่ทราบกันดีแต่ถูกทำให้บิดเบียว จากการให้ชุดข้อมูลเป็นขั้นตอนอย่างเป็นระบบ จนเบี่ยงเบนจากความเป็นจริงที่เป็นอยู่ และถูกฝังหัวในที่สุดโดยไม่มีมุมมองด้านอื่นๆ เนื่องจากยังขาดประสบการณ์ในชีวิตจริงในโลกปัจจุบัน แต่ตรงข้ามกลับตกอยู่ในโลกโซเชียลที่เป็นโลกเสมือนจริงที่ชักจูงได้โดยง่าย หลงเชื่อกลุ่มเพื่อนๆ จึงแพร่กระจายอย่างรวดเร็วในวงกว้าง และไม่ฟังใครหรือไม่มีเหตุผลกับทุกเรื่องที่ถูกปลุกปั่นยุยงมาโดยต่อเนื่อง ถ้าหากมีเหตุการณ์ที่ผิดหวังไม่เป็นไปตามที่คิดก็จะตกอยู่ในพะวังหรืออุปทานหมู่ทำนองนั่น… น่ากลัวมากว่าหากถูกชักจูงให้ลงถนนจะตกเป็นเหยื่อได้โดยง่าย ผู้ปกครองต้องเข้ามาดูใกล้ชิดได้แล้ว ไม่เช่นนั้นอาจเกิดเหตุที่ต้องเสียใจอย่างคาดไม่ถึงได้
อีกไม่นานประเทศไทยต้องซื้อข้าวต่างชาติ เพราะปัญญามันเริ่มอ่อนแอ เหมือนวัว ควาย ที่ถูกสนตะพาย ที่จูงโดยโทรศัพท์มือถือ แล้วจะเรียนหนังสือกันไปทำไม อยากจะรู้อะไรก็เปิด google แต่สุดท้ายมันทำอะไรไม่เป็น เพราะพ่อแม่มันมีลูกจากความใคร่ แบบที่ลูกมันเรียนรู้จากโทรศัพท์มือถือของมัน ฉะนั้นใครที่ตายช้าจะได้เห็นว่า คนไทยรุ่นใหม่ไม่รู้จักคำว่าเศรษฐกิจพอเพียง ทุกวันนี้คนไทยที่เป็นหนี้สูงที่สุดก็คนไทยที่เริ่มทำงานได้ไม่ถึง10 ปี แล้วเศรษฐกิจไทยก็จะต้องพัง เพราะสิ่งของที่ผ่อนก็จะต้องถูกยึด แล้วก็จะต้องออกมาแหกปากความไม่เท่าเทียม ถามหน่อยในโลกใบนี้ประเทศไหนที่มีความเท่าเทียม ประเทศอเมริกายังมีคนที่นอนหลับตามข้างถนน