สวัสดีเพื่อนสมาชิก Droidsans ทุกท่านกันอีกครั้ง วันนี้ผมจะมาแนะนำมือถือในซีรีย์ Eagle เหยี่ยวเวหาตัวล่าสุดจาก dtac มันคือ dtac Eagle X ที่คราวนี้ทาง dtac ได้จับมือกับ ZTE เพื่อทำมือถือรุ่นนี้ออกมาโดยมีวางจำหน่ายแล้วตาม dtac Shop และร้านมือถือทั่วไปในสนนราคา 5,990 บาท มีให้เลือกสีเดียวคือ สีเงินขาว เรามาดูรายละเอียดกันดีกว่าครับ
dtac Eagle X นั้นเป็นชื่อทางการค้าของ dtac ครับ จริงๆแล้วถ้าเป็นชื่อรุ่นตามฝั่ง ZTE มันมีชื่อว่า ZTE Blade S6 Lite ใช่แล้วครับ มือถือรุ่นนี้คือ ZTE Blade S6 ที่มีการลดสเป็คบางส่วนลงมาเพื่อให้สามารถขายได้ในราคาที่ถูกลงนั่นเอง โดยหน้าตายังคงเหมือนกับ “รุ่นต้นแบบ” ทุกประการ รุ่นต้นแบบผมหมายถึง ZTE Blade S6 ไม่ใช่รุ่นอื่นนะ อิอิ ว่าแล้วก็มาแกะกล่องกันดีกว่า
ในกล่องมีอะไรให้บ้าง?
ในกล่องก็มีอุปกรณ์มาให้ตามมาตรฐานทั่วไป ประกอบด้วย
dtac Eagle X
Adaptor สำหรับชาร์จ ขนาด 5V 1A
สาย USB
หูหัง Stereo smalltalk
เข็มจิ้มถาดซิม
คู่มือและใบรับประกัน
รูปร่างหน้าตาที่คุ้นเคย…
อย่างที่บอกไปว่าเจ้า dtac Eagle X มันคือ ZTE Blade S6 Lite ที่หน้าตาถอดแบบมาจากตัวแม่เลย และตัวแม่อย่าง ZTE Blade S6 เองก็ได้รับการขนานนามว่า ZTE iPhone 6 เพราะหน้าตามันช่างเหมือนกับ Apple iPhone 6 จริงๆเสียนี่กระไร ว่ากันง่ายๆ ตอนที่ผมถือเครื่องนี้อยู่จะมีคนมาทักว่า “เปลี่ยนมาใช้ iPhone เหรอ?” อยู่ตลอดเวลา เสียงเป็นเอกฉันท์ขนาดนี้คงจะคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้แล้วล่ะ มาดูรายละเอียดของตัวเครื่องกันดีกว่า
เริ่มที่ด้านหน้าตรงส่วนบนจะประกอบด้วยกล้องหน้า, ลำโพงสนทนา และ Proximity sensor ซึ่งจริงๆก็จะมีเซ็นเซอร์วัดแสงอยู่ด้วย
ส่วนล่างของด้านหน้าจะไม่มีปุ่มสัมผัสอยู่ 3 ปุ่มคือ ปุ่ม Home อยู่ตรงกลาง ซึ่งทำหน้าที่เป็นไฟแจ้งเตือน (Notification LED) ด้วย ส่วนทางด้านซ้ายและขวาจะเป็นปุ่ม Back กับปุ่ม Menu ซึ่งตั้งค่าได้ว่าจะให้อันไหนอยู่ซ้ายและอันไหนอยู่ขวาครับ ด้วยเหตุนี้มันจึงเป็นรูปจุดนั่นเอง ไม่ได้เป็นรูปสัญลักษณ์เหมือนกับรุ่นอื่น
ด้านล่างของตัวเครื่องจะมีไมค์สนทนาและพอร์ต microUSB สำหรับเสียบสายชาร์จอยู่
ด้านบนของตัวเครื่องจะมีเพียงรูเสียบหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตรเท่านั้น
ด้านขวาจะมีปุ่ม Power และปุ่มปรับเสียงอยู่ตามมาตรฐานของ Android
ด้านซ้ายจะมีช่องใส่ SIM และช่องใส่ microSD อยู่ ซึ่งต้องใช้เข็มจิ้มเอาถาดออกมาทั้ง 2 ช่องเพื่อใส่ SIM หรือ microSD card นะครับ
เวลาจิ้มเอาถาด SIM กับถาด microSD ออกมาก็เป้นแบบนี้ครับ โดยรุ่นนี้รองรับ 2 nanoSIM แบบ dual standby ผมชอบการใช้ถาด SIM แยกกับ microSD แบบนี้ ไม่เหมือนกับมือถือหลายรุ่นที่ใช้ถาด SIM แบบ hybrid ต้องให้คนใช้เลือกเอาว่าจะใส่ 2 SIM หรือจะใส่ 1 SIM กับ 1 microSD
ด้านหน้าของตัวมือถือจะถูกปิดด้วยประจกโค้ง 2.5D ทั้งหมดเลย ซึ่งต้องบอกว่าเป็นเทรนด์ที่กำลังฮิตมากในมือถือช่วงหลังๆ และผมก็ชอบซะด้วยสิ
ด้านหลังของตัวเครื่องจะใช้วัสดุเป็นพลาสติกเคลือบสีเงินเหลือบสะท้อนแสงทำให้ดูเหมือนเป็นโลหะ โดยจะโค้งไปเป็นขอบเครื่องทั้ง 4 ด้านเลย เรียกว่า Unibody design ดังนั้นจึงถอดฝาหลังไม่ได้นะครับ
ซูมเข้ามาดูครึ่งบนของด้านหลังจะเห็นกล้องหลังและไฟแฟลชอยู่ด้านซ้าย ส่วนรูเล็กๆนั่นคือ ไมค์ตัวที่สอง เอาไว้สำหรับตัดเสียงรบกวนระหว่างสนทนา ถัดลงมาจะเป็นโลโก้ dtac Phone พร้อมโลโก้ ZTE ผู้ผลิตทำมือถืออันนี้ด้วย
ส่วนล่างก็มีโลโก้ dtac เต็มๆอยู่ตรงกลาง ด้านขวาจะเป็นช่องลำโพงสำหรับเสียงเรียกเข้า โดยข้างๆลำโพงจะมีปุ่มเล็กๆนูนขึ้นมา เอาไว้เวลาวางมือถือราบกับโต๊ะลำโพงจะไม่โดนบัง 100% เพราะมือถือถูกดันขึ้นด้วยเจ้าปุ่มนี้นะครับ เข้าใจคิดดีเหมือนกัน
สิ่งที่ผมชอบอีกอย่างหนึ่งคือ “หน้าจอ” ของมือถือรุ่นนี้ หน้าจอแบบ In-Cell IPS ที่สามารถแสดงภาพได้คมชัด มีความสว่างเพียงพอและสีสันที่สวยงาม
รายละเอียดสเปก dtac Eagle X
ขอบคุณภาพจาก dtac (http://www.dtac.co.th/eagle-x.html)
จากภาพสเปกด้านบน ถ้าเราเอาราคา 5,990 บาทเป็นตัวตั้งแล้ว ต้องบอกว่าสเปกโดยรวมของ dtac Eagle X นั้นไม่ได้ขี้เหร่สักเท่าไหร่ ว่ากันมาตั้งแต่ CPU Snapdragon 410 ซึ่งเป็น CPU 64-bit สำหรับมือถือรุ่นล่างของ Qualcomm สำหรับปีนี้ หน้าจอขนาด 5 นิ้วความละเอียด HD นั้นเพียงพอแล้วสำหรับความชัดเจนของภาพ และ In-Cell IPS ก็ช่วยให้ภาพสวยขึ้นอีก ในส่วนของกล้องหลังความละเอียด 8MP และกล้องหน้า 5MP ก็ถือว่าโอเค สำหรับแบตเตอรี่ 2,400 mAh ก็ถือว่าเพียงพอ ส่วน ROM ขนาด 8GB อาจจะดูน้อยแต่ใส่ microSD เพิ่มได้อีก 32GB ก็ยังถูไถไปได้ สำหรับ OS เองก็เป็น Android 5.0 Lollipop มาเรียบร้อยแล้ว
แต่สิ่งเดียวที่ถือว่า “ขี้เหร่” สำหรับมือถือรุ่นนี้คือ RAM ที่ให้มาเพียง 1GB ซึ่งต้องบอกว่าไม่เพียงพอสำหรับการใช้งานแอพทั่วไปในยุคปัจจุบันแล้ว
Android อมยิ้มและ Mifavor 3.0 UI
dtac Eagle X มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการณ์ Android 5.0.2 Lollipop โดยใช้ Custom UI ของทาง ZTE เองชื่อว่า Mifavor UI เวอร์ชัน 3.0 ตัวล่าสุด สำหรับใครที่ยังไม่รู้จัก Mifavor UI ลองดูวิดีโอแนะนำอย่างเป็นทางการของ ZTE ได้ครับ
อย่างไรก็ตาม Mifavor 3.0 ใน dtac Eagle X นั้นถูกตัด feature หลายๆอย่างออกไปพอสมควร น่าจะเป็นเพราะสเปกที่อาจจะไม่สามารถรองรับการทำงานได้ครบทุก feature นั่นเอง แล้วที่เหลืออยู่มีอะไรให้เล่นบ้าง ลองมาดูกัน
Mifavor Launcher
เป็น Launcher พื้นฐานของมือถือ ZTE อยู่แล้ว โดยการใช้งานจะไม่เหมือนกับ Stock Launcher ของ Android ทั่วๆไป เพราะมันไม่มี App Drawer หรือ “หน้ารวมแอพ” มาให้เราใช้ ซึ่งแอพทั้งหมดจะกองรวมอยู่บนหน้า Homescreen เลย การลบแอพออกจากหน้า Homescreen คือการลบการติดตั้งแอพออกไปจากเครื่องเลยเช่นกัน ข้อสังเกตคือ มือถือที่มาจากผู้ผลิตจีนส่วนใหญ่ จะใช้ Launcher แบบไม่มี App Drawer ทั้งนั้นเลย อันนี้ไม่รู้ว่าเหตุผลคืออะไรเหมือนกัน แต่สำหรับจุดด้อยของ Mifavor Launcher เท่าที่เห็น การจัดเรียงแอพบนหน้าจอ ไม่มีการการอำนวยความสะดวกให้คนใช้แบบ เรียงให้อัตโนมัติ อะไรแบบนี้ ผู้ใช้ต้องมาเรียงแอพบนหน้าจอด้วยการจับลากทีละอันเองทั้งหมด คิดซะว่าบริหารนิ้วละกัน -_-”
Gallery
แอพสำหรับจัดการรูปภาพในเครื่องนั้นถือว่าทำได้ตามมาตรฐานทั่วไป แต่จะมีพีเจอร์พิเศษมาให้ 2 อย่างคือ Collager maker ที่ให้เราเลือกภาพถ่ายหลายๆภาพมาต่อกันใส่กรอบ ใส่ effect ฟรุ้งฟริ้งก็ว่าไป และอีกอย่างคือ Gif maker ที่จะเอาภาพที่เราเลือกมาทำเป็นภาพเคลื่อนไหว Gif animator แบบง่ายๆได้
Calendar
แอพปฏิทินที่ต้องบอกว่าหน้าตาคุ้นๆ เพราะมันคล้ายกับแอพ S Planner ของ Samsung มากเลย โดยฟังก์ชันพื้นฐานที่ควรจะมีก็มาให้ครบเหมือนกัน ทั้งการบันทึกนัดหมาย, การตั้งเตือน และการ sync ปฏิทินจากแหล่งอื่น เช่น Google Calendar และ Outlook โดยสามารถเลือกดูได้ทั้งแบบรายเดือน, รายอาทิตย์, รายวัน และ Agenda
Backup & Restore
เราสามารถ backup ข้อมูลเก็บไว้ในเครื่องแบบออฟไลน์ได้ผ่านทางแอพนี้ ข้อมูลที่จะ backup สามารถเลือกได้ทั้ง Contacts, SMS, ค่า Settings ของระบบ, Wallpaper และอื่นๆ นอกจากนั้นยัง backup แอพและข้อมูลของแอพเก็บไว้ได้ด้วย การ backup สามารถตั้งเวลาไว้ได้ตามต้องการ ไม่ว่าจะเป็น ทำทุกอาทิตย์, ทุก 2 อาทิตย์, ทุกเดือน หรือทุก 2 เดือน เอาที่สบายใจเลยแล้วกัน
Custom bottom key
ตรงนี้จะเป็นการตั้งค่าปุ่มสัมผัส 2 ปุ่มที่อยู่ข้างปุ่ม Home โดยค่าเริ่มต้นจะตั้งไว้ให้ปุ่มทางด้านซ้ายเป็นปุ่ม Back และด้านขวาเป็นปุ่ม Menu ซึ่งเราสามารถเลือกให้ 2 ปุ่มนี้สลับที่กันได้ผ่านทางการตั้งค่านี้
ประสิทธิภาพและแบตเตอรี่
จากการทดสอบประสิทธิภาพของ dtac Eagle X ด้วยแอพ Benchmark ยอดนิยมอย่าง Antutu และ PCMark พบว่าคะแนนที่ได้ไม่สูงมากนักซึ่งก็ไม่ได้ผิดจากที่คาดเท่าไหร่ จากการใช้งานทั่วไป เช่น เล่น Social Network, ท่องเว็บ, ฟังเพลง, ใช้ Google Maps นำทาง พบว่า dtac Eagle X เอาอยู่ทั้งหมด สามารถใช้งานได้ลื่นไหลสมกับเป็นการ Android Lollipop แต่อาการสะดุดจะเกิดขึ้นตอนที่ RAM เต็ม เพราะ RAM เพียง 1GB นั้นไม่พอสำหรับใช้งานแอพในปัจจุบันหลายๆตัวพร้อมกันอีกแล้ว โดยเฉพาะ Facebook กับ Line นี่ตัวกิน RAM อย่างดีเลย จำเป็นต้องใช้พวกแอพ Clear RAM เข้ามาช่วยด้วยอีกแรง แต่โดยรวมการใช้งานก็ยังถือว่าเร็วในระดับโอเคเลย
ในส่วนของการเล่นเกมส์นั้นพอจะเล่นเกมส์แบบ 2D ภาพกราฟฟิกไม่หนักได้ แต่ถ้าจะเล่นเกมส์ 3D อาจจะต้องคิดอีกที เพราะแค่ผมใช้แอพ 3DMark ทดสอบประสิทธิภาพการประมวลผลภาพ 3 มิติ ก็ยังกระตุกจนแอพปิดตัวเองไปเลยล่ะครับ วางเรื่องเกมส์ 3D ไว้ก่อนละกันสำหรับมือถือรุ่นนี้
สำหรับแบตเตอรี่ขนาด 2,400 mAh ที่ให้มา จากการใช้งานทั่วไปพบว่า สามารถอยู่ได้ประมาณ 1 วัน เริ่มตั้งแต่ถอดสายชาร์จออกจากบ้านประมาณ 8.30 น. กลับมาถึงบ้านประมาณ 22.30 น. แบตเตอรี่เหลืออยู่ประมาณ 11% ก็เสียบสายชาร์จได้พอดี เรียกว่าไม่อึดมากแต่ก็พอใช้นะสำหรับแบตของรุ่นนี้ แต่ผมเป็นคนไม่ค่อยเล่นเกมส์สักเท่าไหร่ ถ้าเล่นเกมส์ด้วยคงต้องพก Powerbank ติดตัวตลอดเวลาครับ
กล้องหน้าและกล้องหลัง
dtac Eagle X มาพร้อมกับกลัองหลังความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ใช้เซ็นเซอร์ของ Toshiba ส่วนเลนส์ก็มีค่า f/2.0 จึงทำให้สามารถรับแสงได้มากขึ้น โดยกล้องจะแบ่งเป็นโหมดหลัก 2 โหมดคือ
Simple mode เน้นการถ่ายภาพแบบง่ายๆ ไม่ต้องปรับค่าอะไร มีโหมดย่อยให้เล่นเพิ่มเติมดังนี้
Auto ตัวแอพจะปรับภาพให้เองตามสภาพแสงตอนที่ถ่าย
HDR ถ่ายภาพหลายๆสภาพแสงแล้วเอามารวมกันเป็นรูปเดียว
Panorama ถ่ายภาพพาโนรามา
Beautify ถ่ายภาพหน้าคนแล้วแต่งหน้าให้สวยได้เลย
Smile เวลากดชัตเตอร์แล้วกล้องจะไม่ถ่ายทันที แต่จะถ่ายเมื่อตรวจเจอรอยยิ้ม
Photo clear จะมีการตัดสิ่งที่เคลื่อนไหวออกจากภาพอัตโนมัติ
Group ถ่ายภาพหมู่ 5 ภาพแล้วให้เรามาเลือกว่าชอบหน้าคนจากภาพไหนบ้าง ก่อนจะรวมกันเป็นรูปเดียว
Straighten เป็นการถ่ายภาพเอกสารแบบ Scanner โดยระบบจะตรวจหาขอบของเอกสารในภาพถ่ายแล้วจับยืดให้ตรงเหมือนเอาเอกสารนั้นไปสแกน
Expert mode จะเป็นการถ่ายรูปแบบปรับค่าเอง โดยเราสามารถปรับค่า ISO, Exposure และ White balance ได้ตามใจชอบ
การถ่ายภาพของ dtac Eagle X ถือว่าทำได้รวดเร็วทั้งในส่วน Autofocus และ Shutter speed แต่ยังจัดการเรื่องภาพสั่นได้ไม่ดีเท่าไหร่ ภาพถ่ายติดเบลอค่อนข้างง่าย มือต้องค่อนข้างนิ่งพอสมควรถึงจะได้ภาพที่ไม่เบลอ สำหรับคุณภาพของภาพถ่ายก็ไม่ได้ดีมากแต่ก็อยู่ในระดับโอเคสำหรับสภาพแสงปกติ แต่ถ้าอยู่ในสภาวะแสงน้อยนั้นถือว่าทำได้ไม่ดีสักเท่าไหร่ ภาพมี noise เยอะ พวกแสงจากหลอดไฟจะออกเบลอๆไปเลย ลองมาดูตัวอย่างภาพกันครับ
ภาพแสงปกติ
ภาพแสงน้อย
อัลบั้มเต็ม
กล้องหน้าของ dtac Eagle X มีความละเอียด 5 ล้านพิกเซล ใช้เซ็นเซอร์ของ Samsung เลนส์มีค่า f/2.2 ถ่ายมุมกว้างได้ 80 องศา โดยคุณภาพถือว่าดีสำหรับกล้อง Selfie เลย และไม่พลาดที่จะมีโหมดหน้าเนียน Beautify มาให้ตามสมัยนิยมด้วย
ข้อสังเกตเพิ่มเติมจากการใช้งาน
ด้วยขนาด RAM เพียง 1GB นั้นทำให้การเปิดใช้งานแอพบนมือถือรุ่นนี้ทำได้ช้าบ่อยครั้ง เพราะตัวแอพโดนปิดไปออกไปอัตโนมัติตอนที่ RAM ไม่พอ แอพที่ผมเจอบ่อยคือ Line โดนปิดเป็นประจำ ทำให้ไม่มีการแจ้งเตือนจาก Line เลย ซึ่งน่าแปลกที่ระบบ Notification ของแอพประเภท chat แบบนี้จะถูกปิดไปด้วย นอกจากนั้นการใช้งานให้ลื่นไหลไม่สะดุด เราควรจะเหลือพืันที่ภายในเครื่องไว้อย่าง 1GB ด้วย เพราะถ้าเหลือพื้นที่น้อยไป การใช้งานจะกระตุกบ่อยๆเลย
อาการแปลกอีกอย่างคือ เวลาเสียบชาร์จมือถือไปสักพัก เครื่องจะ reboot ตัวเอง และผมก็เจออาการนี้ทุกครั้งที่เสียบชาร์จไว้ เหมือนมีการตั้งเวลาไว้เลย ไม่แน่ใจว่าท่านอื่นๆเจอกันบ้างหรือไม่
สรุป
dtac Eagle X นั้นเป็นมือถือที่นับได้ว่า หน้าตาดีพอสมควร ทั้งในเรื่องงานออกแบบและงานประกอบ โดยถ้าเทียบกับมือถือที่เป็นของเครือข่ายเหมือนๆกัน เช่น AIS Lava หรือ True Smart ผมให้ dtac Eagle X เป็นมือถือที่สวยที่สุดในกลุ่มนี้เลย แต่อย่างว่าสวยแต่รูปจูบมันจะหอมมั้ย? ตรงนี้ต้องบอกว่าขึ้นอยู่กับการใช้งาน ถ้าจะเอามาเล่นเกมส์จริงจังคงจะไม่เหมาะ มือถือรุ่นนี้จะเน้นใช้งานทั่วไปแบบเล่น Social, Chat และอินเตอร์เน็ตมากกว่า หรือจะดูหนังฟังเพลงก็ทำได้สบาย แต่ถ้าว่ากันที่สเปกเทียบกับมือถือรุ่นอื่นในช่วงราคาเดียวกันแล้ว ต้องบอกว่ารุ่นนี้ยังสู้คู่แข่งไม่ได้ เพราะมีมือถืออีกหลายรุ่นที่สเปกดีกว่านี้ในราคาพอๆกันหรือถูกกว่าด้วยซ้ำไป ดังนั้นกลุ่มเป้าหมายคงไม่ใช่คนที่มองสเปกเป็นหล้ก น่าจะเป็นคนที่มองหน้าตาของมือถือเป็นหลักซะมากกว่า โดยเฉพาะคนที่มองหามือถือหน้าตาแบบ iPhone แต่ราคาถูกกว่าถึง 20,000 บาท ก็คงจะถูกใจรุ่นนี้ได้ไม่ยาก
dtac Eagle X วางจำหน่ายแล้วในราคา 5,990 บาท มีสีเดียวคือ สีขาวเงิน คนที่สนใจสามารถหาซื้อได้ตามร้าน dtac Shop หรือร้านมือถือชั้นนำทั่วไป หรือจะสั่งออนไลน์ผ่านทาง dtac online store ก็ได้ที่ link ข้างล่างนี้ วันนี้ผมขอลาไปก่อน สวัสดีครับ
http://www.dtac.co.th/device/dtac/eagle-x-4-g.html
ข้อสังเกตคือ มือถือที่มาจากผู้ผลิตจีนส่วนใหญ่ จะใช้ Launcher แบบไม่มี App Drawer ทั้งนั้นเลย อันนี้ไม่รู้ว่าเหตุผลคืออะไรเหมือนกัน
ตอบ
เหตุผลเพื่อให้ผู้ใช้ iOS เวลาเกิดอยากจะใช้ Android จะมองเค้าเป็นตัวเลือกแรกครับ
เพราะหน้าตาคล้ายคลึง วิธีการใช้งานคล้ายคลึง ไม่ต้องปรับตัวมากนัก
รูปร่างนะใช้ ZTE Blade S6 แต่ Spec กลับไม่ใช่นะ
แท้ๆ ต้อง มังกรไฟ 615 แรม 2 กิ๊ก รอม 16 กิ๊ก กล้องหลัง 13 หน้า 5 ล้าน คงใช้รอมนอกมาใส่ไม่ได้แน่ๆ
ส่วนเรื่อง เครื่องจีน ไม่มี App Drawer นั้น ผมมองว่าไม่ทั้งหมดนะ แต่ส่วนใหญ่ จะเป็นมือถือจีน
ที่ทำตลาด Inter เสียมากกว่า เพราะ มือถือจีน มีหลายเกรด ราคา คนอาจจะเข้าใจผิดได้ นะครับ
ที่ใช้เป็น strock rom ก็เยอะมาก
ผมว่าประมาณนี้นะครัช
ไปลองเล่นมาก็เครื่องสวยดีนะ เล็งไว้ให้ป้า
แต่ที่ไม่ค่อยชอบเลยคือ ZTE ชอบแบ่ง storage เป็น 2 partition เนี่ยแหละ ^^
นึกว่า ตลาดเครื่องจีนจะดุเดือด
แต่ทว่า ยังมีการแข่งโดย 3 ค่าย
ใช้ยี่ห้อจีนมาแปะยี่ห้อตัวเองอีก
ใหญ่หลวงนัก แอนดรอยด์
ข้างหน้าสวยดี ข้างหลังนี่แบบ..
Dtac Eagle X ควรนำมาเทียบกับ True Lenovo 4G LTE 5.0 มากกว่า
สเปคใกล้เคียง
Mifavor ทำให้นึกถึง MIUI
ตัวเครื่อง สวยคะ แต่ Rom 8 GB Ram1 GB นี่ไม่ไหว จริงๆ
จัดไปวันนี้ว่าออกไปซื้อตัวนี้อะครับ มาดูรีวิวให้ชื่นใจอีกที
หารีวิวอยู่ ดันไปเจอ http://www.topvalue.com/product-48365.html ถูกกว่าร้านอะ อะไรยังไงดีครับ
มีโปรแกรมดีๆ เกี่ยวกับการ sync ปฏิทินมาและ contact มาแนะนำค่ะ เป็นโปรแกรมที่ใช้ง่าย ไม่เป็นปัญหาสำหรับคนที่ไม่ค่อยถนัดคอมเลยค่ะ
http://aliceinitwonderland.blogspot.com/2015/04/synchronize-gmail-contact-outlook.html