กฎหมาย Common Charger Directive ของสหภาพยุโรปเริ่มมีผลบังคับใช้แล้วเมื่อวันเสาร์ หลังผ่านการอนุมัติจากสภามาตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคมของ 2 ปีก่อน ส่งผลให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในกลุ่มอุปกรณ์วิทยุ (radio equipment) ที่จะวางจำหน่ายในประเทศเครือสหภาพยุโรป ต้องมาพร้อมพอร์ต USB-C ตามมาตรฐานกลาง
อุปกรณ์กลุ่มแรกที่อยู่ในข่ายคือ มือถือ แท็บเล็ต กล้องดิจิทัล เฮดเซต หูฟัง ลำโพงพกพา เครื่องเล่นเกมพกพา เครื่องนำทางพกพา เครื่องอ่านอีบุ๊ก คีย์บอร์ด และเมาส์ ส่วนโน้ตบุ๊กก็อยู่ในข่ายเช่นกัน แต่จะมีผลบังใช้ภายหลัง ตั้งแต่วันที่ 28 เมษายน 2026 เป็นต้นไป
สหภาพฯ บอกว่าการมาของกฎ Common Charger Directive จะช่วยลดขยะอิเล็กทรอนิกส์และช่วยให้ผู้ใช้งานประหยัดเงินได้เป็นจำนวนมหาศาล หากตีออกมาเป็นตัวเลข ก็ตกประมาณปีละ 11,000 ตัน และ 250 ล้านยูโร ตามลำดับ
ประเด็นควรทราบเพิ่มเติมคือ กฎดังกล่าวกำหนดแค่ว่า ‘อุปกรณ์ที่เข้าข่ายต้องมีพอร์ต USB-C’ แต่ไม่ได้ห้ามใส่พอร์ตชาร์จแบบอื่นมาควบคู่กัน หมายความว่า MacBook ของแอปเปิลไม่จำเป็นต้องตัดพอร์ต MagSafe ออก เช่นเดียวกับ Surface ของไมโครซอฟต์ที่ยังใช้ Surface Connect ต่อไปได้ ตราบใดที่บนเครื่องยังมีพอร์ต USB-C ให้เสียบชาร์จอยู่
นอกจากนี้ยังมีข้อกำหนดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการชาร์จอีกเล็กน้อย โดยกำหนดให้อุปกรณ์ใด ๆ ที่รองรับการชาร์จด้วยสายด้วยแรงดันสูงกว่า 5 โวลต์, 3 แอมแปร์ หรือ 15 วัตต์ (>5V / >3A / >15 W) จะต้องรองรับโปรโตคอล USB PD เพื่อให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าอุปกรณ์นั้น ๆ จะสามารถใช้งานฟีเจอร์ ‘ชาร์ไว’ ร่วมกับที่ชาร์จทั้งหลายได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงยี่ห้อ
ที่มา : European Commission
อ่านพาดหัวข่าว เกือบด่าละ ว่าทำไมต้องบังคับรองรับ PD แต่ย่อหน้าท้าย ระบุว่าถ้ารับแรงดันสูง ต้องใช้ PD ได้ อันนี้โอเค ถือว่ามีเหตุผล
กรณีนี้ เท่ากับ iPhone ยังใส่ port lightning ไปได้อยู่ ตราบที่มี usb-C สินะ น่าจะใส่มันทั้ง 2 อย่างเลย สบายใจ